ทําไม ต้องมีปางพระพุทธรูป
ตอบ เพราะเป็ นสิงระลึกถึงพุทธคุณ สิงเครืองเตือนใจ ให้ละเว้นความชัว ประพฤติความดี
คําว่า ปาง ก็คออิรย าบถหนึ งๆ ตํานานกล่าวว่า พระพุ ทธรูปปางแรกเกิดขึนในโลก ราวพุทธ
ื ิ
ั ั
ศตวรรษที ๗ โดยช่างชาวโยนก (ชาวกรีก) สมัยคันธาระ แคว้นทางตอนหนื อของอินเดียโบราณ (ปจจุบน
เป็ นส่วนหนึงของปากีสถานและอัฟกานิสถาน) สันนิษฐานว่า ผูรเริมสร้างคือพระเจ้าเมนันเดอร์ หรือพระเจ้า
้ิ
มิลนท์ กษัตริย์เชือสายกรีกแห่งแคว้นคันธาระ กล่าวกันว่า พระเจ้ามิลนท์ดาริสร้างทังหมด ๙ ปาง ภายหลัง
ิ
ิ ํ
่
ต่อมาช่างชาวอินเดียฝายใต้ คือชาวกลิงคราฐ รวมถึงยุคสมัยต่างๆ ได้สร้างปางพระพุทธรูปขึนมามากมาย
พระพุทธรูป เป็ นสือสัญลักษณ์ ความศรัทธาของชาวพุทธ เป็ นเสมือนรูปเหมือนของพระพุทธเจ้าที
คอยยึดเหนี ยวจิตใจอย่างเป็ นรูปธรรม และเป็ นสิงสะท้อนอัตลักษณ์ ของชาตินันๆ ทีมีต่ อพระพุทธศาสนา
ั
เช่น ศิลปะลวดลายการปน การประดับตกแต่ง รวมถึงประวัตการสร้าง
ิ
ตามประวัตศาสตร์ทางพระศาสนา ปรากฏในเรืองมหาปรินิพพานสูตร (ที.ม.๑๐/๑๔๑/๑๗๘ (บาลี
ิ
ั
ฉบับสยามรัฐ)) ตอนหนึงกล่าวถึงพระอานนท์ซงเป็ นผู้อุปฐากพระพุทธเจ้าได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า หาก
ึ
พระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว จะให้ใครเป็ นพระศาสดาแทน พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ิ
โย โว อานนฺ ท มยา ธมฺโม จ วิ นโย จ เทสโต ป ญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถาฯ
ฺ
ิ
่
“ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวนัยใด ที เราได้แสดงและบัญญัติ แล้ว แกเธอทังหลาย ธรรมและ
ิ
่
วนัยนันแล จัดเป็ นศาสดาของเธอทังหลาย โดยกาลที เราลวงลับไปแล้ว”
ธรรมะคือ ธรรมชาติ สิงธรรมดาทีมีอ ยู่ แ ล้ ว ในโลกนี แม้ พ ระพุ ท ธเจ้ า จะไม่ ท รงอุ บัติข ึนก็ต ามที
ั
พระพุทธเจ้าทรงมีพระปญญาและค้นพบธรรมะ จึงนํ ามาแสดงแก่พวกเรา เพราะฉะนันพระองค์จงใช้คาว่า
ึ ํ
ิ
เทสโต หมายถึง พระองค์ทรงแสดงหรือนํ ามาเปิ ดเผย ไม่ใช่ทรงบัญญัติหรือ แต่ง ตังขึนมาเอง ส่วนวินัย
หมายถึง ศีล ข้อปฏิบติ ระเบียบข้อบังคับ ทีช่วยให้เข้าถึงธรรมะได้ง่ายยิงขึน พระองค์จงใช้คาว่า ปัญญัตโต
ั
ึ ํ
(บัญญัต) เพราะทรงแต่งตังขึนมา หลังจากมีผทาผิดพลาดมาแล้ว เพือไม่ให้ทาผิดซํารอย
ิ
ู้ ํ
ํ
ดังนัน หากพูดตามความจริง ตัวแทนพระศาสดา (พระพุทธเจ้า) กับพระพุทธรูป จึงมีความหมายคน
ละอย่าง ตัวแทนพระพุทธเจ้าคือพระธรรมและพระวินัย ซึงหมายถึงข้อประพฤติปฏิบติ (ธรรมะ) และข้อห้าม
ั
(วินัย) ทีพระองค์ได้สงสอนไว้ ส่วนพระพุทธรูปคืออิรยาบถหนึ งๆ ทีสะท้อนคุณงามความดีของพระองค์
ั
ิ
(พุทธคุณ) ให้เห็นเป็นรูปร่าง จับต้องสัมผัสได้ หรือมีลกษณะเป็ นรูปธรรม
ั
แต่การเข้าถึงพระศาสนา คือพระธรรมและพระวินัย เป็ นเรืองยาก เพราะเป็ นเรืองของนามธรรม จับ
ต้อ งสัม ผัส ไม่ ไ ด้ พระพุ ท ธรูป จึง เป็ น สิงช่ วยเหนี ยวนํ า จิต ใจให้เ ข้า ถึง พระศาสนาง่ายขึน เช่ น เมือเห็น
พระพุทธรูปหรืออยู่ต่อหน้า จะเกิดการสํารวมระวัง กราบไหว้สกการะ สวดมนต์ ทําสมาธิ เป็ นต้น ต่อไปภาค
ั
หน้าก็มโอกาสเข้าถึงพระศาสนา (ธรรมวินัย) อย่างแท้จริง คือพบเห็นพระพุทธเจ้าด้วยตนเอง ดังทีพระพุทธ
ี
องค์ตรัสว่า โย โข วกฺ กลิ ธมฺม ํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ (สํ.ข.๑๗/๒๑๖/๑๔๗ (บาลีฉบับสยามรัฐ)) แปลว่า
“วักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผูนันเห็นเรา” คือเห็นธรรมะอย่างทีพระพุทธเจ้าทรงเห็น โดยความหมายก็คอการ
้
ื
บรรลุธรรมตามอย่างพระพุทธเจ้านันเอง
พระมหาสุรชัย พุดชู

04.ทำไม ต้องมีปางพระพุทธรูป

  • 1.
    ทําไม ต้องมีปางพระพุทธรูป ตอบ เพราะเป็นสิงระลึกถึงพุทธคุณ สิงเครืองเตือนใจ ให้ละเว้นความชัว ประพฤติความดี คําว่า ปาง ก็คออิรย าบถหนึ งๆ ตํานานกล่าวว่า พระพุ ทธรูปปางแรกเกิดขึนในโลก ราวพุทธ ื ิ ั ั ศตวรรษที ๗ โดยช่างชาวโยนก (ชาวกรีก) สมัยคันธาระ แคว้นทางตอนหนื อของอินเดียโบราณ (ปจจุบน เป็ นส่วนหนึงของปากีสถานและอัฟกานิสถาน) สันนิษฐานว่า ผูรเริมสร้างคือพระเจ้าเมนันเดอร์ หรือพระเจ้า ้ิ มิลนท์ กษัตริย์เชือสายกรีกแห่งแคว้นคันธาระ กล่าวกันว่า พระเจ้ามิลนท์ดาริสร้างทังหมด ๙ ปาง ภายหลัง ิ ิ ํ ่ ต่อมาช่างชาวอินเดียฝายใต้ คือชาวกลิงคราฐ รวมถึงยุคสมัยต่างๆ ได้สร้างปางพระพุทธรูปขึนมามากมาย พระพุทธรูป เป็ นสือสัญลักษณ์ ความศรัทธาของชาวพุทธ เป็ นเสมือนรูปเหมือนของพระพุทธเจ้าที คอยยึดเหนี ยวจิตใจอย่างเป็ นรูปธรรม และเป็ นสิงสะท้อนอัตลักษณ์ ของชาตินันๆ ทีมีต่ อพระพุทธศาสนา ั เช่น ศิลปะลวดลายการปน การประดับตกแต่ง รวมถึงประวัตการสร้าง ิ ตามประวัตศาสตร์ทางพระศาสนา ปรากฏในเรืองมหาปรินิพพานสูตร (ที.ม.๑๐/๑๔๑/๑๗๘ (บาลี ิ ั ฉบับสยามรัฐ)) ตอนหนึงกล่าวถึงพระอานนท์ซงเป็ นผู้อุปฐากพระพุทธเจ้าได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า หาก ึ พระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว จะให้ใครเป็ นพระศาสดาแทน พระพุทธเจ้าตรัสว่า ิ โย โว อานนฺ ท มยา ธมฺโม จ วิ นโย จ เทสโต ป ญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถาฯ ฺ ิ ่ “ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวนัยใด ที เราได้แสดงและบัญญัติ แล้ว แกเธอทังหลาย ธรรมและ ิ ่ วนัยนันแล จัดเป็ นศาสดาของเธอทังหลาย โดยกาลที เราลวงลับไปแล้ว” ธรรมะคือ ธรรมชาติ สิงธรรมดาทีมีอ ยู่ แ ล้ ว ในโลกนี แม้ พ ระพุ ท ธเจ้ า จะไม่ ท รงอุ บัติข ึนก็ต ามที ั พระพุทธเจ้าทรงมีพระปญญาและค้นพบธรรมะ จึงนํ ามาแสดงแก่พวกเรา เพราะฉะนันพระองค์จงใช้คาว่า ึ ํ ิ เทสโต หมายถึง พระองค์ทรงแสดงหรือนํ ามาเปิ ดเผย ไม่ใช่ทรงบัญญัติหรือ แต่ง ตังขึนมาเอง ส่วนวินัย หมายถึง ศีล ข้อปฏิบติ ระเบียบข้อบังคับ ทีช่วยให้เข้าถึงธรรมะได้ง่ายยิงขึน พระองค์จงใช้คาว่า ปัญญัตโต ั ึ ํ (บัญญัต) เพราะทรงแต่งตังขึนมา หลังจากมีผทาผิดพลาดมาแล้ว เพือไม่ให้ทาผิดซํารอย ิ ู้ ํ ํ ดังนัน หากพูดตามความจริง ตัวแทนพระศาสดา (พระพุทธเจ้า) กับพระพุทธรูป จึงมีความหมายคน ละอย่าง ตัวแทนพระพุทธเจ้าคือพระธรรมและพระวินัย ซึงหมายถึงข้อประพฤติปฏิบติ (ธรรมะ) และข้อห้าม ั (วินัย) ทีพระองค์ได้สงสอนไว้ ส่วนพระพุทธรูปคืออิรยาบถหนึ งๆ ทีสะท้อนคุณงามความดีของพระองค์ ั ิ (พุทธคุณ) ให้เห็นเป็นรูปร่าง จับต้องสัมผัสได้ หรือมีลกษณะเป็ นรูปธรรม ั แต่การเข้าถึงพระศาสนา คือพระธรรมและพระวินัย เป็ นเรืองยาก เพราะเป็ นเรืองของนามธรรม จับ ต้อ งสัม ผัส ไม่ ไ ด้ พระพุ ท ธรูป จึง เป็ น สิงช่ วยเหนี ยวนํ า จิต ใจให้เ ข้า ถึง พระศาสนาง่ายขึน เช่ น เมือเห็น พระพุทธรูปหรืออยู่ต่อหน้า จะเกิดการสํารวมระวัง กราบไหว้สกการะ สวดมนต์ ทําสมาธิ เป็ นต้น ต่อไปภาค ั หน้าก็มโอกาสเข้าถึงพระศาสนา (ธรรมวินัย) อย่างแท้จริง คือพบเห็นพระพุทธเจ้าด้วยตนเอง ดังทีพระพุทธ ี
  • 2.
    องค์ตรัสว่า โย โขวกฺ กลิ ธมฺม ํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ (สํ.ข.๑๗/๒๑๖/๑๔๗ (บาลีฉบับสยามรัฐ)) แปลว่า “วักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผูนันเห็นเรา” คือเห็นธรรมะอย่างทีพระพุทธเจ้าทรงเห็น โดยความหมายก็คอการ ้ ื บรรลุธรรมตามอย่างพระพุทธเจ้านันเอง พระมหาสุรชัย พุดชู