ชนิดของอโลหะ
วัสดุสังเคราะห์และวัสดุธรรมชาติที่สาคัญ
1. สี (Paint)
สีเป็นวัสดุช่างที่สาคัญ เนื่องจากใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น เพิ่มความสวยงามให้กับสิ่งที่ผลิตขึ้นมาป้ องกัน
การผุกร่อนของชิ้นงานโลหะ ฯลฯ ในงานแทบทุกชนิดจะต้องมีสีเข้าไปเกี่ยวข้อง เช่น งานก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์
เครื่องจักรกล อุปกรณ์ต่าง ๆ เครื่องใช้ไฟฟ้า
สี ได้มีการผลิตสาหรับใช้งานต่าง ๆ กัน ซึ่งอาจแบ่งประเภทใหญ่ ๆ ตามลักษณะการใช้งานได้ คือ สีน้ามัน สีน้า
พลาสติก สีน้าปูน และสีเคลือบ
สีน้ามัน เป็นสีที่ใช้กันมากในงานที่เกี่ยวกับโลหะและงานเฟอร์นิเจอร์ น้ามันที่ผสมได้แก่ น้ามันสน น้ามันลินสีด
ทินเนอร์ ในเนื้อของสีน้ามันจะประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 ชนิดดังนี้
1. ผงพื้นสี เป็นผงที่ทาให้เนื้อสีเกาะติดผิวงาน โดยทั่วไปจะใช้ผงตะกั่วขาว ผงตะกั่วแดง ผงสังกะสี ออกไซด์
และผงติตาเนียมไดออกไซด์ ซึ่งใช้กับสีขาว จะทาให้มีราคาถูกกว่าผงแม่สีมาก
2. ผงแม่สี เป็นผงสีที่จะเคลือบผงพื้นให้เกิดสีตามต้องการ ส่วนใหญ่จะได้มาจากแร่งธาตุ เช่น สีดาได้จากผงก
ราไฟต์ สีเขียวได้จากผงคอปเปอร์ซัลเฟต สีแดงได้จากผงตะกั่ว สีน้าเงินได้จากผงโคบอลต์ผงแม่สีนี้จะมี
ราคาแพงกว่าผงพื้นสีมาก
3. ตัวละลายสี เป็นสารละลายที่ช่วยผสมผงพื้นสีกับผงแม่สีให้เข้าด้วยกัน เพื่อใช้ทาหรือพ่นลงบนผิวงานได้ตาม
ความต้องการ ซึ่งได้แก่ น้ามันสน น้ามันลินสีด (น้ามันที่ได้จากการสกัดเมล็ดปอชนิดหนึ่ง) น้ามันถั่ว
เหลือง น้ามันเมล็ดฝ้าย หรือน้ามันทินเนอร์ ตัวละลายสีนี้จะมีผลต่อการทาสี คือ เป็นตัวที่ทาให้สีเข้มข้นหรือ
เจือจาง และทาให้สีแห้งเร็วหรือช้า
4. น้ายาซักแห้ง เป็นน้ายาที่ทาให้สีนั้นแห้งเร็วขึ้น น้ายาซักแห้งนี้ทาจากสารละลายผสมตะกั่วแดงแมงกานีส
ออกไซด์ หรือสังกะสีซัลเฟต
หมายเหตุ สีรองพื้นเป็นสีน้ามัน มีชื่อเรียกว่า ไพรเมอร์ (Primer) เป็นสีที่ใช้สาหรับทารองพื้นเหล็กก่อนที่จะ
นาไปทาสีสาเร็จอีกครั้งหนึ่ง การที่ต้องทาสีไพรเมอร์ก่อนเพราะสีธรรมดามักจะเกาะติดผิวของเหล็กได้ไม่แน่จะหลุดออกงาย
สีไพรเมอร์ที่ใช้จะมีสีน้าตาลทาจากผงแม่สีพวกเหล็กออกไซด์หรือตะกั่วแดง สีไพรเมอร์จะเป็นสีที่แห้งเร็วนอกจากจะมีสี
น้าตาลแล้วยังมีสีเทาอีกด้วย
สีน้าหรือสีพลาสติก
เป็นสีที่ส่วนมากใช้ทาตึกหรืออาคาร มีทั้งชนิดทาภายนอกและทาภายใน องค์ประกอบที่สาคัญของสีชนิดนี้ ได้แก่
พลาสติกจาพวกโพลีวีนิลอาซีเตท (P.V.A) ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกาวละลายน้าได้ สามารถเกาะติดวัสดุต่าง ๆ ที่ไม่ใช่โลหะ
ได้ดีมาก ปัจจุบันสีชนิดนี้เป็นที่นิยมใช้กันมากเพราะราคาถูกกว่าสีน้ามัน สามารถทาให้ข้นจางได้โดยการเติมน้าธรรมดา
ตามต้องการ
สีเคลือบ
เป็นสีที่ได้จากการผสมผงแม่สีลงในน้ามันวาร์นิช มีคุณสมบัติคงทนต่อแสงแดด ส่วนใหญ่เป็นสีที่ใช้สาหรับพ่น
รถยนต์ บางชนิดจะต้องอบให้ได้อุณหภูมิตามข้อกาหนดของสีแต่ละยี่ห้อ เพื่อให้สีมีคุณสมบัติตรงตามที่บริษัทกาหนดและ
ทาให้สีติดแน่น สีบางชนิดมีโลหะเม็ดละเอียดผสมอยู่ ทาให้แลดูแวววาวเมื่อพ่นแล้ว
หรือที่เรียกกันว่าสีเมตตาลิก (Metallic Paint) เคลือบส่วนใหญ่จะไวไฟมาก ดังนั้น ขณะทาการเตรียมสีหรือพ่นสีจึงห้ามสูบ
บุหรี่หรือนาไฟเข้าใกล้โดยเด็ดขาด
2. ยางธรรมชาติ (Natural Rubber)
ยางธรรมชาติ เป็นวัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติ คือ ต้นยางพารา ต้นกาเนินของยางพาราอยู่ในทวีปอเมริกาได้ เช่น
ประเทศบราซิล สาหรับในประเทศไทย มีปลูกมากในจังหวัดภาคใต้ เช่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง พัทลุง
ฯลฯ และทางภาคตะวันออก เช่น จันทบุรี ระยอง ตราด ปัจจุบันนี้ประเทศไทยสามารถผลิตยางธรรมชาติได้มากเป็นอันดับ
3 ของโลก ยางที่ผลิตได้จะอยู่ในรูปของยางแผ่นเป็นส่วนใหญ่ ผลพลอยได้จากยางพาราก็คือ ต้นยางนาไปเผาเป็นถ่าน ทา
เฟอร์นิเจอร์และเยื่อกระดาษได้ดี ตลอดจนเป็นการช่วยปลูกป่ารักษาต้นน้าลาธารอีด้วย
น้ายางพารา ได้มาจากการกรีดต้นยางพารา ต้นยางที่จะกรีดได้นั้นจะต้องมีอายุอย่างน้อย 4 ปี แต่โดยทั่ว ๆ ไปจะ
มีอายุ 6-7 ปี จึงจะกรีดได้จนกระทั่งมีอาจุถึง 30 ปี น้ายางที่กรีดได้จะมีเนื้อยางอยู่ประมาณ 60% การที่จะมีเนื้อยางมาก
น้อยนั้นขึ้นอยู่กับต้นพันธุ์ของยางที่นามาปลูก อาจของต้นยาง รวมไปถึงดินฟ้าอากาศด้วย
เพื่อให้น้ายางมีความข้นเหนียวมากขึ้น จึงต้องเติมกรดน้าส้มลงไป แล้วจึงทาให้เป็นแผ่น จากนั้นจึงนาไปรีดแล้ว
จึงเพิ่มความร้อนประมาณ 4 องศาเซลเซียส บางแผ่นที่ผ่านการอบจะเป็นสีคล้าเกือบเป็นสีน้าตาล เรียกว่า ยางแผ่นรมควัน
ซึงจะส่งเข้าโรงานอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตยางรถยนต์ ผลิตรองเท้าสายพานท่อยาง หรือมิเช่นนั้นจะส่งไปขายยัง
ต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ
ยางดิบที่นาไปทาผลิตภัณฑ์ยางนั้น จะต้องมีกรรมวิธีทางเคมีปรุงแต่งเนื้อยางอีกทีหนึ่ง เช่น ผสมผงคาร์บอนและ
กามะถัน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ยางมีคุณสมบัติทนความร้อน ทนต่อการสึกหรอ มีความยืดหยุ่น ทนต่อสารเคมี กรรมวิธีผสม
วัสดุลงไปในเนื้อยางเพื่อเพิ่มคุณภาพ เรียกว่า กรรมวิธีวัลคาไนซ์เซชั่น (Valcunization) ซึ่ง ชาล์ส กู้ดเยียร์ เป็นผู้ค้นพบ
เมื่อประมาณ 150 ปีล่วงมาแล้ว
ปัจจุบันได้มีการค้นพบสารเคมีหลายอย่างที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพของยาง เช่น สังกะสีออกไซด์หรือ แบเรียม
ซัลเฟต นอกจากนั้นยังได้มีการเสริมเหล็กหรือเชือกเข้าไปในยางเพื่อเพิ่มความแข็งแรงยิ่งขึ้น
ยางเป็นตัวนาไฟฟ้ าและความร้อนที่เลว ไม่ทนต่อน้ามัน ดังนั้น เวลาใช้งานจึงต้องหลีกเลี่ยงและระมัดระวัง
เพราะน้ามันจะทาให้ยางเกิดการบวม และทาให้อายุการใช้งานลดลง นอกจากนี้ยังไม่เหมาะกับงานที่อยู่กลางแดดหรืองานที่
อยู่กับความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 75 องศาเซลเซียส เพราะจะทาให้ยางแห้งกรอบและแตกได้
ยางธรรมชาติที่ใช้แล้วสามารถนามาบดใช้ทาผลิตภัณฑ์ได้อีก แต่คุณภาพจะลดลงไม่เหมือนกับยางธรรมชาติครั้ง
แรก
ขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับความร่วมมือจากสานักงานพัฒนาโครงการแห่งสหประชาติเพื่อเร่งรัด
ปรับปรุงงานทางด้านวิชาการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตยางธรรมชาติของประเทศไทย เพราะการนายางดิบไปทาผลิตภัณฑ์
ขั้นตอนการผลิตยางแผ่นรมควัน
สาเร็จรูปของประเทศไทยนั้นยังจะต้องมีการพัฒนาอีกมาก และถ้าสามารถนายางธรรมชาติไปทาเป็นผลิตภัณฑ์แล้วส่งเป็น
สินค้าออก จะทาให้ได้ราคามากว่าส่งออกในรูปของยางแผ่นอีกหลายเท่า นอกจากนี้ ต้นยาง ยังสามารถนาไปทา
อุตสาหกรรมไม้ยางพาราแปรรูปอบแห้งและทาเป็นไม้อัดได้อีกด้วย
คุณสมบัติและการใช้งานของยางธรรมชาติ
คุณสมบัติ การนาไปใช้งาน
- ทนต่อการสึกหรอ
- เหนียว
- ทนแรงกระแทก
- มีความยืดหยุ่นสูง
- เป็นฉนวนไฟฟ้า
- ทายางรถยนต์ รองเท้า
- ยางแข็ง ยางฟองน้า
- กาว สายพาน
- ประเก็นยาง
- อื่น ๆ
3. เซรามิค (Ceramics)
เซรามิค เป็นวัสดุที่มีความสาคัญต่องานอุตสาหกรรมทางด้านวิศวกรรมเป็นอยางมาก เซรามิคได้ถูกพัฒนาและ
นาไปใช้งานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรนิกส์ และงานอุตสาหกรรมเคมีได้แก่ ถ้วยชามและเครื่อง
สุขภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีงานอีกหลายด้านที่เซรามิคได้เข้าไปมีบทบาท เช่น ทาอิฐสาหรับบุเตาหลอม ทากระเบื้องสาหรับ
มุงหลังคา ฯลฯ
เซรามิค เป็นวัสดุที่ผลิตขึ้นจากดินเหนียวและวัสดุชนิดอื่นซึ่งมีทั้งที่เป็นโลหะ เช่น อลูมินา (ออกไซด์ของอลูมินี
ยม) หินเขี้ยวหนุมาน แร่ทัลซ์ (แร่ที่นามาใช้ทาแป้ งผัดหน้า) แมกนีไซท์ เฟลสปาร์ เป็นต้นจากนั้นนาไปอบที่อุณหภูมิสูง
กระเบื้องสาหรับมุมหลังคา และฝ้า
เมื่อวัสดุต่าง ๆ เหล่านั้นถูกนามาผสมกับดินเหนียว ก็จะทาให้ได้เซรามิคที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น
จึงแบ่งเซรามิคออกเป็น 3 ชนิด คือ
1. เซรามิคที่ใช้เป็นฉนวน ประกอบด้วย ดินเหนียว หินเขี้ยวหนุมานหรือหินคอวทซ์ เฟลสปาร์
2. เซรามิคที่ใช้ป้ องกันการสั่นสะเทือน ประกอบด้วย ดินเหนียว หินเขี้ยวหนุมานหรือหินควอทซ์ แบเรียม
คาร์บอเนต
3. เซรามิคที่ใช้เป็นผง ประกอบด้วย ดินเหนียว ทัลก์ แมกนีไซท์
ข้อดีของเซรามิค
1. มีความแข็งแรงและความหนาแน่นสูง
2. ไม่มีปฏิกิริยากับกรดและด่างเจือจาง
3. ทนต่ออุณหภูมิสูง ๆ
4. เป็นฉนวนที่ดี
4. หนัง (Leather)
หนัง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. หนังแท้
2. หนังเทียมหรือหนังสังเคราะห์
1. หนังแท้ หมายถึง หนังที่ได้จากสัตว์ต่าง ๆ เช่น หนังวัว หนังจระเข้ หรือจากสัตว์ป่าต่าง ๆ การนาหนังมาใช้
ประโยชน์นั้นแบ่งหนังออกเป็น 2 พวก ได้แก่
1.1 หนังดิบ ได้จากหนังสัตว์ที่ตายแล้วนามาใช้ประโยชน์โดยตรง เช่น ทาหนังกลอง ทาหนังตะลุง เป็นต้น
1.2 หนังฟอก เป็นหนังดิบที่ผ่านการฟอกแบบต่าง ๆ เพื่อไม่ให้หนังเน่าเปื่อย อ่อนนุ่ม เรียบสม่าเสมอ สี
สวยงาม และมีความหนาตามต้องการ กรรมวิธีการฟอกหนัง จะไม่เหมือนกันแล้วแต่ชนิดของหนังสัตว์
เช่น
ก. หนังสัตว์ที่มีลวดลายสวยงาม เช่น หนังจะเข้ งู เสือ ม้าลาย ฯลฯ
ข. หนังสัตว์ที่มีขนสวยงาม เช่น หมี สุนัขจิ้งจอก เสือ ฯลฯ
ค. หนังสัตว์ทั่ว ๆ ไป เช่น หนังวัว สีผิวไม่สวยงามต้องนามาตกแต่งและย้อมสี
2. หนังเทียม หมายถึง สารสังเคราะห์ที่ถูกนามาทาให้มีลักษณะคล้ายหนังแท้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
2.1 หนังเทียมประเภทเลียนแบบหนังแท้ หมายถึง หนังเทียมที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในลักษณะงาน เช่น
เดียวกันกับหนังแท้ ซึ่งส่วนมากจะพบในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น กระเป๋ า เข็มขัด ฯลฯ ถ้าเป็นหนังแท้จะมี
ราคาแพงมากจึงจาเป็นต้องทาด้วยหนังเทียมเพื่อให้มีราคาถูกกว่า
2.2 หนังเทียมประเภททดแทนหนังแท้ หมายถึง หนังเทียมที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้กับงานซึ่งถ้าใช้หนังแท้จะต้อง
สิ้นเปลืองมาก หรือ ปริมาณของหนังแท้ไม่เพียงพอกับความต้องการของท้องตลาด
ข้อดีของหนังเทียม
1. มีราคาถูกกว่าหนังแท้
2. ทนแดด ทนความชื้น
3. มีพื้นผิวสม่าเสมอ ไม่มีตาหนิ ไม่เสียเศษ ไม่ต้องเลือกตาแหน่งที่จะตัด
4. การดูแลรักษาง่าย
ข้อเสียของหนังเทียม
1. รับน้าหนักมากไม่ได้
2. ฉีดขาดง่ายกว่าหนังแท้
3. การยืดหยุ่นไม่ดี
4. รักษารูปทรงได้ไม่มี
5. แก้ว (Glass)
ในปัจจุบัน แก้วได้ถูกนามาใช้ประโยชน์นานาชนิด เช่น ทาแว่นตา กระจกหน้าต่าง ภาชนะต่าง ๆ เครื่องตกแต่ง
เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ
แก้ว ได้ถูกนามาใช้ประมาณ 40,000 ปี มาแล้ว โดยนามาทาเป็นเครื่องประดับเมื่อราว ค.ศ. 500 ได้ค้นพบ
วิธีการเป่าแก้วที่หลอมเหลวให้กลวงได้ การเป่าแก้วทาเป็นรูปตาง ๆ ก็ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้
คุณสมบัติของแก้ว
- แข็งเปราะ
- หลอมเหลวได้
- โปร่งใส
- ทนความร้อน
- กันน้าได้
- ไม่มีกลิ่น หลอดไฟฟ้า
- เป็นฉนวนไฟฟ้า
กระจกตู้อบ และแก้วประดับ
ชนิดของแก้ว
1. Sodalime Glass แก้วชนิดนี้ เป็นแก้วที่มีปริมาณการใช้งานมากที่สุด ใช้ทาพวกแผ่นกระจก ขวดแก้วทั่ว ๆ
ไป ฯลฯ แก้วชนิดนี้ทาจากทรายซิลิกา โซดาแอช ละปูนขาว
2. แก้วหิน (Flint Glass) เป็นแก้วผสมโปแตสเซียมคาร์บอเนต ตะกั่ว เป็นแก้วชั้นดีค่อนข้างแพงหรือที่เรียกว่า
แก้วเจียรไน (Crystal Glass) ให้ทาพวก เครื่องแก้วประดับ กระจกแว่นตา
3. แก้วบอโรซิลิเกต (Borosilicate Glass) แล้วชนิดนี้ คือ แก้วไพเร็กซ์ (Pyrex Glass มีความทนทานทนทานสูง
สามารรถทนต่ออุณหภูมิและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ดีแตกยาก ใช้ทาพวกแก้วที่ใช้กับเตาอบ แก้วในงาน
ปฏิบัติทางเคมี
วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตแก้ว
1. ทรายแก้ว ในประเทศไทยมีมากที่ภาคใต้
2. หินปูน ได้จากจังหวัดสระบุรี
3. โคโรไมท์ ได้จากจังหวัดกาญจนบุรี
4. โซดาไฟและ Salt Cake ยังต้องสั่งจากต่างประเทศ
5.
แก้วที่มีความสามารถสาคัญทางงานช่างที่ควรรู้จัก
1. แก้วนิรภัย (Safety Glass)
2. ใยแก้ว (Glass Wool)
แก้วนิรภัย ใช้ทากระจกรถยนต์ที่ให้ความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากใช้กระจกธรรมดา เวลา
แตกเมื่อได้รับแรงกระแทกจะเกิดเป็นชิ้นเล็ก ๆ จานวนมากทาให้เป็นอันตรายต่อผู้ขับรถเป็นอย่างมาก กระจกนิรภัย ทาจา
กระจกอบเหนียว 2 แผ่นประกอบกันโดยมีแผ่นพลาสติกกันตรงกลาง การใช้พลาสติกกั้นกลางจะทาให้รับแรงกระแทกได้ดี
และจะมีความเหนียวมากพอสมควรเมื่อกระจกได้รับแรงกระแทก
ไมโครไฟเบอร์ฉนวนใยแก้ว
ใยแก้ว ใช้เป็นฉนวนป้ องกันความร้อนได้ดีมากและจะไม่ไหม้ไฟ ใช้ในการทาเสื้อนักผจญเพลิงและทาเป็นวัสดุ
เก็บเสียงได้ดี
วิธีทาใยแก้วจะต้องหลอมแก้วเสียก่อนแล้วใช้ไอน้าที่มีอุณหภูมิสูงเป่าออกให้เป็นฝอย
6. ใยหิน (Asbestos)
ใยหิน มีลักษณะเป็นเส้นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
คุณสมบัติของใยหิน
- ทนไฟ
- ทนความร้อน
- ทนต่อกรด
- เป็นฉนวนไฟฟ้าได้ดี
ใยหินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมีไม่มากนัก ปัจจุบันได้มีผู้คิดค้นทาใยหินเทียมได้สาเร็จเรียกว่า Rock Wool โดยเผา
หินให้หลอมละลายเสียก่อนที่อุณหภูมิ 2,500 – 30,000 องศาเซลเซียส แล้วใช้ไอน้าเป่าให้เป็นฝอยใยหินเทียมนี้ใช้แทนใย
หินธรรมชาติได้มาก โดยการน้าไปใช้ในงานต่าง ๆ เช่น
- ทาเป็นผ้าใยหิน
- ใช้ป้ องกันปลวไฟ
- ทากระเบื้องกระดาษ
- ผสมกับยางทาเป็นผงหรือฉนวนหุ้มท่อ
- ผสมทาเป็นปูนซีเมนต์
7. ดินขาวเผา (Porcelain)
ดินขาวเผาทาจากดินขาว (Kaolin) หินควอทซ์ และเฟลสปาร์ (หินเขี้ยวหนุมานหรือหินฟันม้า) วัตถุดิบที่นามาใช้
ทาดินขาวเผาจะต้องค่อนข้างบริสุทธิมาก จะมีธาตุเหล็กผสมอยู่ได้เลย เพราะจะทาให้สีไม่ขาว
คุณสมบัติของดินขาวเผา
- เป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดี
- ไม่นาความร้อน

More Related Content

PDF
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแม่เหล็ก
PPTX
การเขียนแผนธุรกิจเพื่อการนำเสนอ
PDF
เค้าโครงวิทยานิพนธ์ ระบบการจัดการเรียนรู้ยูบิควิตัสด้วยจินตวิศวกรรมฯ
สาระน่ารู้เกี่ยวกับแม่เหล็ก
การเขียนแผนธุรกิจเพื่อการนำเสนอ
เค้าโครงวิทยานิพนธ์ ระบบการจัดการเรียนรู้ยูบิควิตัสด้วยจินตวิศวกรรมฯ
Ad

Recently uploaded (6)

PDF
Theory-based evaluation Presentation.pdf
PDF
-โดสยาในเด็ก ใช้บ่อยบ่อย เปิดง่ายง่าย แบบไวไว - Toxic Version _ Mar 2020.pdf.pdf
PDF
สื่อประกอบการสอน_เรื่อง_การหารทศนิยมด้วยจำนวนนับ___ผลหารเป็นทศนิยมไม่เกิน__3_...
PDF
CIPP- Presentation 3. แนวคิดการประเมินของสตัฟเฟิลบีม หรือโมเดลซิป
PDF
road accident for children education 2025-1
PDF
บทที่ 2 เรื่อง เซลล์ไฟฟ้าเคมี (เซลล์กัลวานิก)
Theory-based evaluation Presentation.pdf
-โดสยาในเด็ก ใช้บ่อยบ่อย เปิดง่ายง่าย แบบไวไว - Toxic Version _ Mar 2020.pdf.pdf
สื่อประกอบการสอน_เรื่อง_การหารทศนิยมด้วยจำนวนนับ___ผลหารเป็นทศนิยมไม่เกิน__3_...
CIPP- Presentation 3. แนวคิดการประเมินของสตัฟเฟิลบีม หรือโมเดลซิป
road accident for children education 2025-1
บทที่ 2 เรื่อง เซลล์ไฟฟ้าเคมี (เซลล์กัลวานิก)
Ad

3 2

  • 1. ชนิดของอโลหะ วัสดุสังเคราะห์และวัสดุธรรมชาติที่สาคัญ 1. สี (Paint) สีเป็นวัสดุช่างที่สาคัญ เนื่องจากใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น เพิ่มความสวยงามให้กับสิ่งที่ผลิตขึ้นมาป้ องกัน การผุกร่อนของชิ้นงานโลหะ ฯลฯ ในงานแทบทุกชนิดจะต้องมีสีเข้าไปเกี่ยวข้อง เช่น งานก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องจักรกล อุปกรณ์ต่าง ๆ เครื่องใช้ไฟฟ้า สี ได้มีการผลิตสาหรับใช้งานต่าง ๆ กัน ซึ่งอาจแบ่งประเภทใหญ่ ๆ ตามลักษณะการใช้งานได้ คือ สีน้ามัน สีน้า พลาสติก สีน้าปูน และสีเคลือบ สีน้ามัน เป็นสีที่ใช้กันมากในงานที่เกี่ยวกับโลหะและงานเฟอร์นิเจอร์ น้ามันที่ผสมได้แก่ น้ามันสน น้ามันลินสีด ทินเนอร์ ในเนื้อของสีน้ามันจะประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 ชนิดดังนี้ 1. ผงพื้นสี เป็นผงที่ทาให้เนื้อสีเกาะติดผิวงาน โดยทั่วไปจะใช้ผงตะกั่วขาว ผงตะกั่วแดง ผงสังกะสี ออกไซด์ และผงติตาเนียมไดออกไซด์ ซึ่งใช้กับสีขาว จะทาให้มีราคาถูกกว่าผงแม่สีมาก 2. ผงแม่สี เป็นผงสีที่จะเคลือบผงพื้นให้เกิดสีตามต้องการ ส่วนใหญ่จะได้มาจากแร่งธาตุ เช่น สีดาได้จากผงก ราไฟต์ สีเขียวได้จากผงคอปเปอร์ซัลเฟต สีแดงได้จากผงตะกั่ว สีน้าเงินได้จากผงโคบอลต์ผงแม่สีนี้จะมี ราคาแพงกว่าผงพื้นสีมาก 3. ตัวละลายสี เป็นสารละลายที่ช่วยผสมผงพื้นสีกับผงแม่สีให้เข้าด้วยกัน เพื่อใช้ทาหรือพ่นลงบนผิวงานได้ตาม ความต้องการ ซึ่งได้แก่ น้ามันสน น้ามันลินสีด (น้ามันที่ได้จากการสกัดเมล็ดปอชนิดหนึ่ง) น้ามันถั่ว เหลือง น้ามันเมล็ดฝ้าย หรือน้ามันทินเนอร์ ตัวละลายสีนี้จะมีผลต่อการทาสี คือ เป็นตัวที่ทาให้สีเข้มข้นหรือ เจือจาง และทาให้สีแห้งเร็วหรือช้า 4. น้ายาซักแห้ง เป็นน้ายาที่ทาให้สีนั้นแห้งเร็วขึ้น น้ายาซักแห้งนี้ทาจากสารละลายผสมตะกั่วแดงแมงกานีส ออกไซด์ หรือสังกะสีซัลเฟต หมายเหตุ สีรองพื้นเป็นสีน้ามัน มีชื่อเรียกว่า ไพรเมอร์ (Primer) เป็นสีที่ใช้สาหรับทารองพื้นเหล็กก่อนที่จะ นาไปทาสีสาเร็จอีกครั้งหนึ่ง การที่ต้องทาสีไพรเมอร์ก่อนเพราะสีธรรมดามักจะเกาะติดผิวของเหล็กได้ไม่แน่จะหลุดออกงาย สีไพรเมอร์ที่ใช้จะมีสีน้าตาลทาจากผงแม่สีพวกเหล็กออกไซด์หรือตะกั่วแดง สีไพรเมอร์จะเป็นสีที่แห้งเร็วนอกจากจะมีสี น้าตาลแล้วยังมีสีเทาอีกด้วย สีน้าหรือสีพลาสติก เป็นสีที่ส่วนมากใช้ทาตึกหรืออาคาร มีทั้งชนิดทาภายนอกและทาภายใน องค์ประกอบที่สาคัญของสีชนิดนี้ ได้แก่ พลาสติกจาพวกโพลีวีนิลอาซีเตท (P.V.A) ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกาวละลายน้าได้ สามารถเกาะติดวัสดุต่าง ๆ ที่ไม่ใช่โลหะ ได้ดีมาก ปัจจุบันสีชนิดนี้เป็นที่นิยมใช้กันมากเพราะราคาถูกกว่าสีน้ามัน สามารถทาให้ข้นจางได้โดยการเติมน้าธรรมดา ตามต้องการ
  • 2. สีเคลือบ เป็นสีที่ได้จากการผสมผงแม่สีลงในน้ามันวาร์นิช มีคุณสมบัติคงทนต่อแสงแดด ส่วนใหญ่เป็นสีที่ใช้สาหรับพ่น รถยนต์ บางชนิดจะต้องอบให้ได้อุณหภูมิตามข้อกาหนดของสีแต่ละยี่ห้อ เพื่อให้สีมีคุณสมบัติตรงตามที่บริษัทกาหนดและ ทาให้สีติดแน่น สีบางชนิดมีโลหะเม็ดละเอียดผสมอยู่ ทาให้แลดูแวววาวเมื่อพ่นแล้ว หรือที่เรียกกันว่าสีเมตตาลิก (Metallic Paint) เคลือบส่วนใหญ่จะไวไฟมาก ดังนั้น ขณะทาการเตรียมสีหรือพ่นสีจึงห้ามสูบ บุหรี่หรือนาไฟเข้าใกล้โดยเด็ดขาด 2. ยางธรรมชาติ (Natural Rubber) ยางธรรมชาติ เป็นวัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติ คือ ต้นยางพารา ต้นกาเนินของยางพาราอยู่ในทวีปอเมริกาได้ เช่น ประเทศบราซิล สาหรับในประเทศไทย มีปลูกมากในจังหวัดภาคใต้ เช่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง พัทลุง ฯลฯ และทางภาคตะวันออก เช่น จันทบุรี ระยอง ตราด ปัจจุบันนี้ประเทศไทยสามารถผลิตยางธรรมชาติได้มากเป็นอันดับ 3 ของโลก ยางที่ผลิตได้จะอยู่ในรูปของยางแผ่นเป็นส่วนใหญ่ ผลพลอยได้จากยางพาราก็คือ ต้นยางนาไปเผาเป็นถ่าน ทา เฟอร์นิเจอร์และเยื่อกระดาษได้ดี ตลอดจนเป็นการช่วยปลูกป่ารักษาต้นน้าลาธารอีด้วย น้ายางพารา ได้มาจากการกรีดต้นยางพารา ต้นยางที่จะกรีดได้นั้นจะต้องมีอายุอย่างน้อย 4 ปี แต่โดยทั่ว ๆ ไปจะ มีอายุ 6-7 ปี จึงจะกรีดได้จนกระทั่งมีอาจุถึง 30 ปี น้ายางที่กรีดได้จะมีเนื้อยางอยู่ประมาณ 60% การที่จะมีเนื้อยางมาก น้อยนั้นขึ้นอยู่กับต้นพันธุ์ของยางที่นามาปลูก อาจของต้นยาง รวมไปถึงดินฟ้าอากาศด้วย
  • 3. เพื่อให้น้ายางมีความข้นเหนียวมากขึ้น จึงต้องเติมกรดน้าส้มลงไป แล้วจึงทาให้เป็นแผ่น จากนั้นจึงนาไปรีดแล้ว จึงเพิ่มความร้อนประมาณ 4 องศาเซลเซียส บางแผ่นที่ผ่านการอบจะเป็นสีคล้าเกือบเป็นสีน้าตาล เรียกว่า ยางแผ่นรมควัน ซึงจะส่งเข้าโรงานอุตสาหกรรม เช่น โรงงานผลิตยางรถยนต์ ผลิตรองเท้าสายพานท่อยาง หรือมิเช่นนั้นจะส่งไปขายยัง ต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ ยางดิบที่นาไปทาผลิตภัณฑ์ยางนั้น จะต้องมีกรรมวิธีทางเคมีปรุงแต่งเนื้อยางอีกทีหนึ่ง เช่น ผสมผงคาร์บอนและ กามะถัน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ยางมีคุณสมบัติทนความร้อน ทนต่อการสึกหรอ มีความยืดหยุ่น ทนต่อสารเคมี กรรมวิธีผสม วัสดุลงไปในเนื้อยางเพื่อเพิ่มคุณภาพ เรียกว่า กรรมวิธีวัลคาไนซ์เซชั่น (Valcunization) ซึ่ง ชาล์ส กู้ดเยียร์ เป็นผู้ค้นพบ เมื่อประมาณ 150 ปีล่วงมาแล้ว ปัจจุบันได้มีการค้นพบสารเคมีหลายอย่างที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพของยาง เช่น สังกะสีออกไซด์หรือ แบเรียม ซัลเฟต นอกจากนั้นยังได้มีการเสริมเหล็กหรือเชือกเข้าไปในยางเพื่อเพิ่มความแข็งแรงยิ่งขึ้น ยางเป็นตัวนาไฟฟ้ าและความร้อนที่เลว ไม่ทนต่อน้ามัน ดังนั้น เวลาใช้งานจึงต้องหลีกเลี่ยงและระมัดระวัง เพราะน้ามันจะทาให้ยางเกิดการบวม และทาให้อายุการใช้งานลดลง นอกจากนี้ยังไม่เหมาะกับงานที่อยู่กลางแดดหรืองานที่ อยู่กับความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 75 องศาเซลเซียส เพราะจะทาให้ยางแห้งกรอบและแตกได้ ยางธรรมชาติที่ใช้แล้วสามารถนามาบดใช้ทาผลิตภัณฑ์ได้อีก แต่คุณภาพจะลดลงไม่เหมือนกับยางธรรมชาติครั้ง แรก ขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับความร่วมมือจากสานักงานพัฒนาโครงการแห่งสหประชาติเพื่อเร่งรัด ปรับปรุงงานทางด้านวิชาการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตยางธรรมชาติของประเทศไทย เพราะการนายางดิบไปทาผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนการผลิตยางแผ่นรมควัน
  • 4. สาเร็จรูปของประเทศไทยนั้นยังจะต้องมีการพัฒนาอีกมาก และถ้าสามารถนายางธรรมชาติไปทาเป็นผลิตภัณฑ์แล้วส่งเป็น สินค้าออก จะทาให้ได้ราคามากว่าส่งออกในรูปของยางแผ่นอีกหลายเท่า นอกจากนี้ ต้นยาง ยังสามารถนาไปทา อุตสาหกรรมไม้ยางพาราแปรรูปอบแห้งและทาเป็นไม้อัดได้อีกด้วย คุณสมบัติและการใช้งานของยางธรรมชาติ คุณสมบัติ การนาไปใช้งาน - ทนต่อการสึกหรอ - เหนียว - ทนแรงกระแทก - มีความยืดหยุ่นสูง - เป็นฉนวนไฟฟ้า - ทายางรถยนต์ รองเท้า - ยางแข็ง ยางฟองน้า - กาว สายพาน - ประเก็นยาง - อื่น ๆ 3. เซรามิค (Ceramics) เซรามิค เป็นวัสดุที่มีความสาคัญต่องานอุตสาหกรรมทางด้านวิศวกรรมเป็นอยางมาก เซรามิคได้ถูกพัฒนาและ นาไปใช้งานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรนิกส์ และงานอุตสาหกรรมเคมีได้แก่ ถ้วยชามและเครื่อง สุขภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีงานอีกหลายด้านที่เซรามิคได้เข้าไปมีบทบาท เช่น ทาอิฐสาหรับบุเตาหลอม ทากระเบื้องสาหรับ มุงหลังคา ฯลฯ เซรามิค เป็นวัสดุที่ผลิตขึ้นจากดินเหนียวและวัสดุชนิดอื่นซึ่งมีทั้งที่เป็นโลหะ เช่น อลูมินา (ออกไซด์ของอลูมินี ยม) หินเขี้ยวหนุมาน แร่ทัลซ์ (แร่ที่นามาใช้ทาแป้ งผัดหน้า) แมกนีไซท์ เฟลสปาร์ เป็นต้นจากนั้นนาไปอบที่อุณหภูมิสูง กระเบื้องสาหรับมุมหลังคา และฝ้า เมื่อวัสดุต่าง ๆ เหล่านั้นถูกนามาผสมกับดินเหนียว ก็จะทาให้ได้เซรามิคที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น จึงแบ่งเซรามิคออกเป็น 3 ชนิด คือ 1. เซรามิคที่ใช้เป็นฉนวน ประกอบด้วย ดินเหนียว หินเขี้ยวหนุมานหรือหินคอวทซ์ เฟลสปาร์ 2. เซรามิคที่ใช้ป้ องกันการสั่นสะเทือน ประกอบด้วย ดินเหนียว หินเขี้ยวหนุมานหรือหินควอทซ์ แบเรียม คาร์บอเนต 3. เซรามิคที่ใช้เป็นผง ประกอบด้วย ดินเหนียว ทัลก์ แมกนีไซท์
  • 5. ข้อดีของเซรามิค 1. มีความแข็งแรงและความหนาแน่นสูง 2. ไม่มีปฏิกิริยากับกรดและด่างเจือจาง 3. ทนต่ออุณหภูมิสูง ๆ 4. เป็นฉนวนที่ดี 4. หนัง (Leather) หนัง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. หนังแท้ 2. หนังเทียมหรือหนังสังเคราะห์ 1. หนังแท้ หมายถึง หนังที่ได้จากสัตว์ต่าง ๆ เช่น หนังวัว หนังจระเข้ หรือจากสัตว์ป่าต่าง ๆ การนาหนังมาใช้ ประโยชน์นั้นแบ่งหนังออกเป็น 2 พวก ได้แก่ 1.1 หนังดิบ ได้จากหนังสัตว์ที่ตายแล้วนามาใช้ประโยชน์โดยตรง เช่น ทาหนังกลอง ทาหนังตะลุง เป็นต้น 1.2 หนังฟอก เป็นหนังดิบที่ผ่านการฟอกแบบต่าง ๆ เพื่อไม่ให้หนังเน่าเปื่อย อ่อนนุ่ม เรียบสม่าเสมอ สี สวยงาม และมีความหนาตามต้องการ กรรมวิธีการฟอกหนัง จะไม่เหมือนกันแล้วแต่ชนิดของหนังสัตว์ เช่น ก. หนังสัตว์ที่มีลวดลายสวยงาม เช่น หนังจะเข้ งู เสือ ม้าลาย ฯลฯ ข. หนังสัตว์ที่มีขนสวยงาม เช่น หมี สุนัขจิ้งจอก เสือ ฯลฯ ค. หนังสัตว์ทั่ว ๆ ไป เช่น หนังวัว สีผิวไม่สวยงามต้องนามาตกแต่งและย้อมสี 2. หนังเทียม หมายถึง สารสังเคราะห์ที่ถูกนามาทาให้มีลักษณะคล้ายหนังแท้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 2.1 หนังเทียมประเภทเลียนแบบหนังแท้ หมายถึง หนังเทียมที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในลักษณะงาน เช่น เดียวกันกับหนังแท้ ซึ่งส่วนมากจะพบในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น กระเป๋ า เข็มขัด ฯลฯ ถ้าเป็นหนังแท้จะมี ราคาแพงมากจึงจาเป็นต้องทาด้วยหนังเทียมเพื่อให้มีราคาถูกกว่า 2.2 หนังเทียมประเภททดแทนหนังแท้ หมายถึง หนังเทียมที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้กับงานซึ่งถ้าใช้หนังแท้จะต้อง สิ้นเปลืองมาก หรือ ปริมาณของหนังแท้ไม่เพียงพอกับความต้องการของท้องตลาด ข้อดีของหนังเทียม 1. มีราคาถูกกว่าหนังแท้ 2. ทนแดด ทนความชื้น 3. มีพื้นผิวสม่าเสมอ ไม่มีตาหนิ ไม่เสียเศษ ไม่ต้องเลือกตาแหน่งที่จะตัด 4. การดูแลรักษาง่าย
  • 6. ข้อเสียของหนังเทียม 1. รับน้าหนักมากไม่ได้ 2. ฉีดขาดง่ายกว่าหนังแท้ 3. การยืดหยุ่นไม่ดี 4. รักษารูปทรงได้ไม่มี 5. แก้ว (Glass) ในปัจจุบัน แก้วได้ถูกนามาใช้ประโยชน์นานาชนิด เช่น ทาแว่นตา กระจกหน้าต่าง ภาชนะต่าง ๆ เครื่องตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ แก้ว ได้ถูกนามาใช้ประมาณ 40,000 ปี มาแล้ว โดยนามาทาเป็นเครื่องประดับเมื่อราว ค.ศ. 500 ได้ค้นพบ วิธีการเป่าแก้วที่หลอมเหลวให้กลวงได้ การเป่าแก้วทาเป็นรูปตาง ๆ ก็ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ คุณสมบัติของแก้ว - แข็งเปราะ - หลอมเหลวได้ - โปร่งใส - ทนความร้อน - กันน้าได้ - ไม่มีกลิ่น หลอดไฟฟ้า - เป็นฉนวนไฟฟ้า กระจกตู้อบ และแก้วประดับ
  • 7. ชนิดของแก้ว 1. Sodalime Glass แก้วชนิดนี้ เป็นแก้วที่มีปริมาณการใช้งานมากที่สุด ใช้ทาพวกแผ่นกระจก ขวดแก้วทั่ว ๆ ไป ฯลฯ แก้วชนิดนี้ทาจากทรายซิลิกา โซดาแอช ละปูนขาว 2. แก้วหิน (Flint Glass) เป็นแก้วผสมโปแตสเซียมคาร์บอเนต ตะกั่ว เป็นแก้วชั้นดีค่อนข้างแพงหรือที่เรียกว่า แก้วเจียรไน (Crystal Glass) ให้ทาพวก เครื่องแก้วประดับ กระจกแว่นตา 3. แก้วบอโรซิลิเกต (Borosilicate Glass) แล้วชนิดนี้ คือ แก้วไพเร็กซ์ (Pyrex Glass มีความทนทานทนทานสูง สามารรถทนต่ออุณหภูมิและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิได้ดีแตกยาก ใช้ทาพวกแก้วที่ใช้กับเตาอบ แก้วในงาน ปฏิบัติทางเคมี วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตแก้ว 1. ทรายแก้ว ในประเทศไทยมีมากที่ภาคใต้ 2. หินปูน ได้จากจังหวัดสระบุรี 3. โคโรไมท์ ได้จากจังหวัดกาญจนบุรี 4. โซดาไฟและ Salt Cake ยังต้องสั่งจากต่างประเทศ 5. แก้วที่มีความสามารถสาคัญทางงานช่างที่ควรรู้จัก 1. แก้วนิรภัย (Safety Glass) 2. ใยแก้ว (Glass Wool) แก้วนิรภัย ใช้ทากระจกรถยนต์ที่ให้ความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากใช้กระจกธรรมดา เวลา แตกเมื่อได้รับแรงกระแทกจะเกิดเป็นชิ้นเล็ก ๆ จานวนมากทาให้เป็นอันตรายต่อผู้ขับรถเป็นอย่างมาก กระจกนิรภัย ทาจา กระจกอบเหนียว 2 แผ่นประกอบกันโดยมีแผ่นพลาสติกกันตรงกลาง การใช้พลาสติกกั้นกลางจะทาให้รับแรงกระแทกได้ดี และจะมีความเหนียวมากพอสมควรเมื่อกระจกได้รับแรงกระแทก ไมโครไฟเบอร์ฉนวนใยแก้ว ใยแก้ว ใช้เป็นฉนวนป้ องกันความร้อนได้ดีมากและจะไม่ไหม้ไฟ ใช้ในการทาเสื้อนักผจญเพลิงและทาเป็นวัสดุ เก็บเสียงได้ดี วิธีทาใยแก้วจะต้องหลอมแก้วเสียก่อนแล้วใช้ไอน้าที่มีอุณหภูมิสูงเป่าออกให้เป็นฝอย
  • 8. 6. ใยหิน (Asbestos) ใยหิน มีลักษณะเป็นเส้นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คุณสมบัติของใยหิน - ทนไฟ - ทนความร้อน - ทนต่อกรด - เป็นฉนวนไฟฟ้าได้ดี ใยหินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติมีไม่มากนัก ปัจจุบันได้มีผู้คิดค้นทาใยหินเทียมได้สาเร็จเรียกว่า Rock Wool โดยเผา หินให้หลอมละลายเสียก่อนที่อุณหภูมิ 2,500 – 30,000 องศาเซลเซียส แล้วใช้ไอน้าเป่าให้เป็นฝอยใยหินเทียมนี้ใช้แทนใย หินธรรมชาติได้มาก โดยการน้าไปใช้ในงานต่าง ๆ เช่น - ทาเป็นผ้าใยหิน - ใช้ป้ องกันปลวไฟ - ทากระเบื้องกระดาษ - ผสมกับยางทาเป็นผงหรือฉนวนหุ้มท่อ - ผสมทาเป็นปูนซีเมนต์ 7. ดินขาวเผา (Porcelain) ดินขาวเผาทาจากดินขาว (Kaolin) หินควอทซ์ และเฟลสปาร์ (หินเขี้ยวหนุมานหรือหินฟันม้า) วัตถุดิบที่นามาใช้ ทาดินขาวเผาจะต้องค่อนข้างบริสุทธิมาก จะมีธาตุเหล็กผสมอยู่ได้เลย เพราะจะทาให้สีไม่ขาว คุณสมบัติของดินขาวเผา - เป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดี - ไม่นาความร้อน