สัปดาห์ที่  4 เอกสารประกอบการสอน  วิชา  427-303 Sociological Theories ภาคเรียนที่  1/2554 เรื่อง โครงสร้างทฤษฎีสังคมวิทยา
ทฤษฎีสังคมวิทยา   หมายถึง   ทฤษฎีวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสังคมกล่าวคือ   เป็นคำอธิบาย   การเกิดขึ้น   การดำรงอยู่   ลักษณะการเปลี่ยนแปลง   และการเสื่อมสลายไปของความสัมพันธ์ทางสังคม   ตลอดจนการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม   เช่น   ครอบครัวแตกแยก   การแข่งขันระหว่างกลุ่มสังคม   พฤติกรรมทางสังคม   ปัญหาสังคม   ด้วยความสัมพันธ์ทางสังคม   อีกทั้งยังเป็นระบบความคิดที่มีลักษณะครอบคลุมอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประเด็นที่มีความสำคัญของชีวิตทางสังคม
ขนาดของทฤษฎีสังคมวิทยา Ian Robertson  นักสังคมวิทยาชาวอังกฤษผู้หนึ่งได้แบ่งทฤษฎีสังคมวิทยาออกเป็น   3  ประเภทด้วยกัน   คือ   1.  หลักสากลภาพเชิงประจักษ์   (Empirical generalization)  ได้แก่   ทฤษฎีสังคมวิทยาที่ประกอบด้วยประพจน์อย่างหนึ่ง   ซึ่งสร้างขึ้นจากข้อมูลประจักษ์หรือข้อมูลประจักษ์ยืนยันว่าถูกต้อง   เช่น   อัตราการเกิดของประชากรในสังคมหนึ่งสังคมใดจะค่อย   ๆ   ลดลงเมื่อระดับการเป็นอุตสาหกรรมของสังคมนั้นค่อย   ๆ   สูงขึ้น   การลดของอัตราการตายของประชากร   ในสังคมหนึ่งสังคมใด   มักจะมาก่อนการลดลงของอัตราการเกิดของประชากรในสังคมนั้น
2.  ทฤษฎีมัชฌิมพิสัย   (Middle-Range Theory)  ได้แก่   ทฤษฎีสังคมวิทยาที่ประกอบด้วยหลักสากลภาพเชิงประจักษ์อย่างน้อยสองหลักสากลภาพด้วยกัน   เป็นทฤษฎีขนาดกลางระหว่างทฤษฎีขนาดเล็กที่เรียกว่า   หลักสากลภาพกับทฤษฎีใหญ่ที่เรียกว่า   ทฤษฎีมหภาพ   Robert Merton  นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน   เสนอว่า   ทฤษฎีกับการวิจัยจะต้องเป็นของคู่กัน   ทฤษฎีที่ปราศจากการวิจัยเป็นทฤษฎีเลื่อนลอย   การวิจัยที่ไร้ทฤษฎีก็ไม่มีหลัก   ไม่มีทิศทาง   ตัวอย่าง  ประชากรของสังคมที่กำลังกลายเป็นสังคมอุตสาหกรรม   จะขยายตัวอย่างรวดเร็วในระยะแรก   หลังจากนั้นแล้วจะค่อย   ๆ   คงตัวเมื่ออัตราการตายและอัตราการเกิดเริ่มลดลง
3.  ทฤษฎีมหภาพ   (Grand Theory)  ได้แก่   ทฤษฎีขนาดใหญ่ครอบคลุมชีวิตสังคมทุกด้าน   เป็นทฤษฎีที่มีระดับแห่งสภาวะสากล   และความเป็นนามธรรม   (abstractness)  สูงมาก   มีสังกับและประพจน์หรือสากลภาพต่าง   ๆ   มากมาย   รวมทั้งทฤษฎีขนาดกลางปะปนอยู่มาก   ทฤษฎีประเภทนี้มีลักษณะเป็นการบรรยายยืดยาว   (discursive)  มีคำอธิบายให้เหตุผลประกอบด้วยหลักฐาน   ( ส่วนมากเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ )  ยืนยันความเป็นจริงของทฤษฎี
ทฤษฎีมหภาพอันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในหมู่นักสังคมวิทยามีดังนี้   คือ     ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยม   ( Structural -  functional Theory )  ทฤษฎีการขัดแย้ง   ( Conflict Theory )  ทฤษฎีการกระทำระหว่างกันโดยใช้สัญลักษณ์   ( Symbolic interaction theory )  ทฤษฎีปริวรรต   ( Exchange Theory )  ทฤษฎีปรากฏการณ์นิยม   ( Phenomenology or Ethno methodology Theory )
ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยม   (Structural - functional Theory)  ผู้นำทางความคิดของทฤษฎีคือ   August Comte  และ   Herbert Spencer  ออกุสต์   กองต์   ที่มองว่า   การที่สังคมจะสามารถดำรงอยู่ได้นั้น   จะต้องมีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันทั้งระบบ   ต่อมาเฮอร์เบิร์ต   สเปนเซอร์   ได้เสนอแนวความคิดว่า   สังคมมนุษย์นั้นมีลักษณะเหมือนกับโครงสร้างร่างกายของมนุษย์   (Human organism)  ที่มีส่วนประกอบต่าง   ๆ   ทั้งภายในและภายนอก   แต่ละส่วนประกอบจะมีความความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน   และทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ   และแนวความคิดของสเปนเซอร์   เป็นแนวความคิดหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อนักคิดทางสังคมในสมัยที่สเปนเซอร์มีชีวิตอยู่เป็นอย่างมาก August Comte  เป็นผู้ตั้งชื่อวิชานี้ว่าสังคมวิทยา   จึงมักได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาคนแรกของสังคมวิทยามากกว่า   Herbert Spencer
หัวใจของทฤษฎีนี้มีสมมุติฐานที่ว่า   สังคมเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง   สิ่งมีชีวิตนี้จะมีส่วนประกอบหลายอย่าง   แต่ละอย่างมีหน้าที่เฉพาะจะต้องปฏิบัติเพื่อการคงอยู่ของส่วนรวมคือตัวสิ่งมีชีวิตนั้น   สังคมมนุษย์ก็เป็นอย่างนั้นทุกส่วนของสังคมมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติ   ส่วนต่าง   ๆ   เหล่านั้นของสังคมรวมกันเข้าก็เป็นโครงสร้างของสังคม   จึงได้ชื่อว่าทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่ เป็นระบบที่ซับซ้อนระบบหนึ่ง   ที่มีองค์ประกอบต่าง   ๆ   หลายส่วนทำงานร่วมกันจนเกิดความมีเสถียรภาพ   ( Stability )
ต่อมารวมเอาระบบเข้าไปด้วย   โครงสร้างของสังคมอาจจัดเป็นระบบได้หลายระบบ   แต่ละระบบก็จะมีหน้าที่ต่าง   ๆ   กัน   แล้วก็รวมเอาสมดุล   ( equilibrium )  เข้ามาด้วย   โดยว่าระบบต่าง   ๆ   ของสังคมจะปฏิบัติหน้าที่อย่างสอดคล้องกันทำให้เกิดดุลภาพ   หรือสังคมเกิดความมั่นคงอยู่ได้   แต่สังคมก็ไม่ได้อยู่นิ่งหรือคงอยู่กับที่   เติบโตเจริญก้าวหน้าหรือยุบหดเสื่อมโทรมลงได้   ทั้งที่ยังมีดุลยภาพอยู่   ดุลยภาพอย่างนี้เรียกว่า   ดุลยภาพเคลื่อนที่   ( moving equilibrium )
องค์ประกอบ 1. โครงสร้างสังคม   (Social structure)  รูปแบบอันถาวรที่เกิดจากความสัมพันธ์ของพฤติกรรมทางสังคม   เช่น   วิถีชีวิตภายในครอบครัวและระบบเศรษฐกิจ   เป็นรูปแบบของโครงสร้างทางสังคมประเภทหนึ่ง   ที่เกิดจากพฤติกรรมทางสังคมโดยความร่วมมือระหว่างกันในครอบครัวจนเกิดเป็นระบบการผลิต   การบริโภค   การจำแนกแจกจ่าย   และการบริการที่มีขนาดใหญ่   มีความเกี่ยวพันระหว่างกันทั่วทั้งสังคม   2. หน้าที่ทางสังคม   (Social functions)  เป็นส่วนที่ทำหน้าที่เชื่อมโครงสร้างสังคมแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน   ทำให้สังคมทั้งระบบเกิดการประสานงานและทำงานร่วมกัน ความเจริญหรือความเสื่อมของสังคมขึ้นอยู่กับหน้าที่และโครงสร้างถ้าโครงสร้างหน้าที่เพิ่มส่วนประกอบมากขึ้น   ส่วนประกอบเหล่านั้นปฏิบัติหน้าที่แตกต่างหรือเฉพาะเรื่อง
ประพจน์ที่สำคัญ 1.  สังคมมนุษย์ประกอบด้วยโครงสร้าง   ส่วนต่าง   ๆ   ของโครงสร้างสังคมปฏิบัติหน้าที่   อันเป็นประโยชน์แก่การดำรงอยู่ของสังคม     2.  ความมั่นคงของสังคมมนุษย์ขึ้นอยู่กับดุลยภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนต่าง   ๆ   ในโครงสร้างสังคม     3.  ยิ่งโครงสร้างสังคมมีความแปลกแยกมาก   ( differentiation )  สังคมยิ่งมีความเจริญมาก     4.  สาเหตุที่ทำให้สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอาจมาจากภายในสังคมหรือมาจากภายนอกสังคมก็ได้
5.  สังคมสมัยใหม่มีลักษณะอารมณ์เป็นกลาง   ( affective neutrality )  ความสัมพันธ์อย่างเฉพาะเจาะจง   ( specificity )  ยึดหลักสากล   ( universalism )  ในการประเมินค่าการกระทำของบุคคล ,  ยึดความสำเร็จ   ( achievement )  ในการประเมินผลงานของบุคคล   และมุ่งกระทำเพื่อประโยชน์ตน   ในขณะที่สังคมแบบประเพณี   มีลักษณะใช้อารมณ์รักชอบ   ( affectivity ) ,  ความสัมพันธ์อย่างกว้าง   ( diffuseness ) ,  ใช้หลักตัวบุคคล   ( particularism )  ในการประเมินค่าการกระทำของบุคคล ,  ยึดหลักเชื้อสาย   ( ascription )  ในการบรรจุแต่งตั้งเข้าสู่ตำแหน่ง   และบุคคลมุ่งกระทำการเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน   ( collectivity
6.  คนทำหน้าที่สำคัญของสังคม   จะเป็นผู้ที่มีอำนาจและเป็นคนขั้นสูง 7.  อาชีพที่ต้องมีการศึกษาฝึกอบรมยาวนาน   จะได้รับค่าตอบแทนสูง
2.  ทฤษฎีการขัดแย้ง   (conflict theory) เนื้อหาสาระของทฤษฎีนี้สืบเนื่องมาจากแนวความคิดของนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันสองคน   คือ   Karl Marx  และ   Georg Simmel  ซึ่งเป็นบุคคลร่วมสมัยกับบรมครูของนัการหน้าที่   (Functionalists)  ในปัจจุบันขัดแย้งขณะนี้จึงเป็นหนี้ความคิดของ   Marx  และ   Simmel  เช่นเดียวกับที่นักการหน้าที่เป็นหนี้ความคิดของนักอินทรีย์ศาสตร์   ( Organicists )  เช่น   August Comte  และ   Herbert Spencer  เป็นต้น
เป็นทฤษฎีที่มีรากฐานของสมมุติฐานที่ว่าสังคม   คือ   ระบบที่มีลักษณะซับซ้อนของความไม่เท่าเทียมกัน   (Inequality)  และความขัดแย้ง   (Conflict)  ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม   วิจารณ์ทฤษฎีการหน้าที่ของ   Parsons  ว่าเน้นเรื่องระเบียบสังคม   ความสมดุลและกลไกในการรักษาดุลยภาพ   และความเป็นระเบียบมากเกินไป   จนมองไม่เห็นความไม่มั่นคง   การเสียระเบียบและการขัดแย้งว่า   เป็นพฤติกรรมเสียบระเบียบไปเสียหมด   Lockwood  ยังยืนยันด้วยว่า   มีกลไกบางอย่างในสังคมที่ทำให้การขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น   เช่น   การที่บุคคลมีอำนาจไม่เท่ากัน   ทำให้คนมีอำนาจมากถือโอกาสเอารัดเอาเปรียบผู้มีอำนาจน้อย   ทำให้เป็นแหล่งที่มาของความตึงเครียด   และการขัดแย้งในสังคม   การที่สังคมมักมีของหายากอยู่อย่างจำกัด   เป็นเหตุให้ต้องมีการต่อสู้ดิ้นรน   เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งจากของที่มีอยู่จำกัดนั้น   ในสังคมมักมีกลุ่มต่างๆ   ที่มีเป้าหมายไม่เหมือนกัน   กลุ่มเหล่านี้จึงต้องแข่งขันช่วงชิงกันบรรลุเป้าหมายนั้น   อันเป็นเหตุให้ต้องมีการกระทบกระทั่งระหว่างกลุ่มได้
ในขณะที่ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยมมองสังคมในแง่ดี   มีเสถียรภาพเสมอภาค   จะมีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นแบบช้า   ๆ   ค่อยเป็นค่อยไป   ทฤษฎีการขัดแย้งออกจะมองสังคมในแง่ร้าย   แม้จะมีความเป็นระเบียบอยู่ได้   แต่อยู่ด้วยความไม่เสมอภาค   มีการกดขี่   มีการบีบบังคับกันอยู่   การเปลี่ยนแปลงที่ทฤษฎีวาดภาพไว้   จะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง   หักโค่น   เพราะเป็นการต่อสู้ระหว่างคนมีกับคนไม่มี   คนที่มีเงินมีอำนาจกับคนที่ไม่มีเงินและอำนาจแต่มีจำนวนคนมากกว่า
ประพจน์สำคัญ ความเป็นระเบียบในสังคมมนุษย์   ขึ้นอยู่กับการกดขี่ของคนกลุ่มหนึ่งเหนือคนอีกกลุ่มหนึ่ง   ชนชั้นในสังคมชนชั้นต่าง   ๆ   เกิดจากการแบ่งปันทรัพย์สิน   อำนาจ   หรือเกียรติยศ   อภิสิทธิ์อย่างไม่เท่าเทียมกัน   การเปลี่ยนแปลงทางสังคม   เกิดจากการขัดแย้งภายในสังคม   การเปลี่ยนแปลงทางสังคม   จะเกิดผลอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม   ปัญหาสังคมเกิดจากการแบ่งปันของหายาก   และมีอยู่จำกัดในสังคม   นักการเมือง   ข้าราชการพลเรือน   ทหาร   กฎหมาย   ศาสนาในสังคม   เป็นเครื่องมือของกลุ่ม   “ มี ”   ทั้งสิ้น   การขัดแย้งในสังคมบางกรณี   ช่วยทำให้เกิดความมั่นคงในกลุ่มขึ้นได้
3.  ทฤษฎีการกระทำระหว่างกันโดยใช้สัญลักษณ์   (Symbolic interactionism theory) เริ่มด้วยความคิดเรื่องการกระทำระหว่างกัน   ( Interaction )  และสัญลักษณ์   ( Symbol )  ซึ่งเป็นหัวใจแล้วจึงขยายวงออกไปถึงมนุษย์แต่ละคน   ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสังคม   และสภาพของสังคมมนุษย์   ทฤษฎีนี้นับเป็นทฤษฎีประเภทจุลภาค   ( micro )  เพราะให้ความสำคัญต่อมนุษย์แต่ละคน   ผิดกับทฤษฎีที่กล่าวมาแล้วข้างต้นที่เป็นทฤษฎีประเภทมหภาค   ( macro )  เพราะเน้นเรื่องของกลุ่มคนหรือโครงสร้างของความเป็นส่วนรวม   ทฤษฎีการกระทำระหว่างกันด้วยสัญลักษณ์   ช่วยทำให้ความรู้เกี่ยวกับสังคมมนุษย์สมบูรณ์ขึ้น   เพราะสองทฤษฎีแรกได้พรรณนาโครงสร้างของสังคมในส่วนที่เป็นการประสานสอดคล้องกัน   และในส่วนที่ขัดแย้งกัน   ทฤษฎีสัญลักษณ์เข้ามาช่วยในการให้ความรู้เกี่ยวกับมนุษย์   ( จิตใจตัวตน   หรืออัตตา   บุคลิกภาพ )  และสังคมครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น   นักทฤษฎีที่สำคัญ   คือ   G . H .  Mead, W .  James, C . H .  Cooley, J . M .  Balwin, J .  Dewey
หัวใจของทฤษฎีสัญลักษณ์อยู่ที่คติการกระทำระหว่างกันและสัญลักษณ์รวมเรียกว่า   คติ   หรือทฤษฎีการกระทำระหว่างกันด้วยสัญลักษณ์   ( symbolic interactionism)  เรียกง่าย   ๆ   ว่า   ทฤษฎีสัญลักษณ์ทางสังคม   สมมุติฐานสำคัญว่ามนุษย์ติดต่อกัน   ( หรือจะเรียกว่ามีการกระทำระหว่างกันก็ได้ )  โดยอาศัยสัญลักษณ์เป็นสื่อที่ทำให้เกิดความเข้าใจ   สัญลักษณ์ต่างกับสัญญาณ   (signal)  ซึ่งมีความหมายอย่างเดียว   สัญญาณไฟจราจร   สีแดง - ห้ามไป   สีเหลือง - ระวัง   และ   สีเขียว - ไปได้   แต่ละสีหรือแต่ละสัญญาณมีความหมายเพียงอย่างเดียว   สัญลักษณ์แต่ละอัน   มีความหมายได้หลายอย่าง   เช่น   คำว่า   หมู อาจหมายถึงสัตว์ประเภทหนึ่ง   หมายถึงคนอ้วน   หรือเรื่องอะไรที่ง่ายไม่ยุ่งยาก   สีแดงสำหรับมนุษย์มีความหมายได้มากกว่าอย่างเดียว   เช่น   ถ้าใช้กับการจราจรก็แปลว่าต้องหยุด   ปล่อยให้คนในเส้นทางอื่นเขาไป   หรือถ้าอยู่ในธงไตรรงค์   หมายถึงเลือด   ถ้าความหมายต่อไปอีกว่าคนไทยเป็นนักรบสู้ไม่ยอมถอย สัตว์มีความสามารถแค่ใช้สัญญาณ   แต่มนุษย์มีความสามารถใช้ทั้งสัญญาณ   และสัญลักษณ์
นักทฤษฎีสัญลักษณ์ทางสังคม   นำเอาความรู้เหล่านั้นมาใช้กับสังคมมนุษย์โดยสร้างเป็นทฤษฎีขึ้นมาว่า   ตัวมนุษย์   ( อัตตา )  นั้นเป็นสัญลักษณ์   มีความหมายได้หลายอย่างในสายตาของผู้อื่น   มนุษย์จึงพัฒนาตัวตนขึ้นมาจากความรู้สึกหรือสายตาของผู้อื่น   ทำตัวให้ดีงานตามสายตาหรือมาตรฐานของสังคม   ตัวตนจึงเป็นตัวตนทางสังคม   ( social self )  คือเป็นผลผลิตของสังคม   ( social product )  แน่นอนจะเป็นตัวตนตามสายตาผู้อื่นได้ต้องอาศัยจิต   ( mind )  ช่วยคิด   จิตจะรู้จักคิดได้   ก็ต้องอาศัยสื่อคือสัญลักษณ์   ๆสำคัญในที่นี้คือ   ภาษา   จึงกล่าวได้ว่า   ภาษาทำให้เกิดจิต   จิตทำให้เกิดตัวตน   แล้วตัวตน   ( อาศัยสัญลักษณ์อีก )  ก็สร้างสังคมขึ้น   สังคมจะอยู่หรือจะไปก็แล้วแต่มนุษย์เหล่านี้เอง   ทฤษฎีนี้จึงให้ความสำคัญแก่มนุษย์มาก
ประพจน์สำคัญ มนุษย์เกิดจากสัญลักษณ์ที่มนุษย์รุ่นก่อนเป็นผู้สร้างและสะสมพัฒนามา   บุคลิกของคนขึ้นอยู่กับการหล่อหลอมของสังคม   ซึ่งมนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น   การเกิดการเจริญเติบโต   หรือการเสื่อมสลายของสังคมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสมาชิกสังคม   พฤติกรรมเบี่ยงเบน   ( deviance )  เกิดจากการให้ความหมายเช่นนั้นของมนุษย์บางกลุ่ม   พฤติกรรมทางสังคม   ขึ้นอยู่กับความคาดหวังของสังคม   การเปลี่ยนแปลงทางสังคม   เกิดจากการกระทำระหว่างมนุษย์   อำนาจของบุคคลหรือกลุ่มคนใด   ๆ   ขึ้นอยู่กับการมอบหมายของอีกคนหรืออีกกลุ่มหนึ่ง
4.  ทฤษฎีปริวรรต   (Exchange Theory) ทฤษฎีใหญ่และเก่าแก่อีกทฤษฎีหนึ่งของสังคมวิทยา   ที่เป็นทฤษฎีใหญ่เพราะสามารถนำเอาแนวคิดไปใช้ได้กับความสัมพันธ์ทางสังคมขนาดเล็กระดับระหว่างบุคคล   ไปจนกระทั่งระดับสังคม   ที่ว่าเป็นทฤษฎีเก่าแก่   เพราะสามารถสืบต้นตอของทฤษฎีนี้ไปถึงคริสต์ศตวรรษที่   18-19  สมัยนักเศรษฐศาสตร์คลาสสิก   เช่น   Adam Smith, David Ricardo, John stewart Mill  นักทฤษฎีที่สำคัญ   ๆ   ในทฤษฎีปริวรรตนิยม   คือ   G . C .  Homans, Peter M .  Blau, B .  Malinowski, M .  Mauss  เป็นต้น
แหล่งกำเนิดที่สำคัญของทฤษฎีปริวรรตนิยมอาจสรุปได้ว่ามาจากแหล่งาสมแหล่งด้วยกัน   คือ   มาจากเศรษฐศาสตร์เชิงอรรถประโยชน์นิยม   ( Utilitarian economics )  มาจากมานุษยวิทยาเชิงหน้าที่   ( Functional anthropology )  มาจากจิตวิทยาเชิงพฤติกรรม   ( Behavioral psychology )
สมมุติฐานสำคัญว่ามนุษย์แต่ละคนมีความต้องการอะไรหลายอย่างในชีวิต   แต่ตัวเองไม่สามารถจะสนองความต้องการของตนด้วยตนเองทั้งหมดได้   จะต้องอาศัยผู้อื่นมาช่วยสนองความต้องการเหล่านั้นด้วยจึงจะครบ   นอกจากนั้นมนุษย์แต่ละคนยังต้องการผลตอบแทนจากการแลกเปลี่ยนสิ่งต่าง   ๆ   ระหว่างกันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้   ดังนั้น   เนื่องจากมนุษย์ต้องการสิ่งต่าง   ๆ   จากผู้อื่น   จึงต้องเข้าสู่สัมพันธ์หรือติดต่อกับผู้อื่น   และเนื่องจากแต่ละคนต้องการผลประโยชน์ตอบแทนมากที่สุดจากสิ่งที่ตนนำไปแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น   จึงจำเป็นต้องสร้างกฎเกณฑ์หรือระเบียบแบบแผนในการแลกเปลี่ยนที่ดีมีความยุติธรรมขึ้น   ความต้องการกันและกันจึงทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกัน   กฎระเบียบที่ร่วมกันสร้างขึ้นจะควบคุมความประพฤติของกันและกัน   กฎระเบียบที่อำนวยประโยชน์สูงสุดจะช่วยรักษาสัมพันธภาพให้ดำรงอยู่ได้นานและมั่นคง
ความสัมพันธ์ทางสังคม   ตามแนวทฤษฎีนี้มีได้ตั้งแต่ระหว่างมนุษย์สองคน   ซึ่งให้และรับผลตอบแทนต่อกันโดยตรง   ไปจนถึงระหว่างคนหลายคน   ซึ่งการให้และรับเป็นไปโดยอ้อม   ความสัมพันธ์ซับซ้อนและเข้าใจได้ยาก   แต่บุคคลที่อยู่ในความสัมพันธ์ก็มีความเชื่อศรัทธาจึงได้คงอยู่ในความสัมพันธ์และปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคม   เพราะคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากความสัมพันธ์นั้น   สังคมจึงดำรงอยู่ได้
ประพจน์สำคัญ   เพราะมนุษย์มีความต้องการมาก   แต่ไม่สามารถสนองเองได้ทั้งหมด   มนุษย์จึงต้องติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น   ความสัมพันธ์ทางสังคม   ขึ้นอยู่กับความต้องการของมนุษย์และกฎระเบียบอันยุติธรรมในการแลกเปลี่ยน   คนที่มีสิ่งของที่ผู้อื่นต้องการมากอยู่   จำนวนมากเป็นคนชั้นสูงของสังคม   สิ่งของที่ผู้อื่นยิ่งต้องการมากเท่าใด   ยิ่งมีราคาค่างวดมากขึ้นเท่านั้น   คนยิ่งมีของหายากมากเท่าไร   ยิ่งมีอำนาจ   มีเกียรติและอภิสิทธิ์มากเท่านั้น   อำนาจของ   ก .  เหนือ   ข .  เท่ากับระดับความต้องการสิ่งของจาก   ก .  ของ   ข .  ในเมื่อ   ข .  ไม่สามารถจะสนองความต้องการของตนจากแหล่งอื่น   ปัญหาสังคมเกิดจากโครงสร้างสังคม   ไม่อำนวยประโยชน์ต่อสมาชิกสังคมอย่างทั่วถึงยุติธรรม
5.  ทฤษฎีปรากฏการนิยม   (Phenomenology or Ethno methodology Theory) นักสังคมวิทยาเพิ่งจะมีความสนใจนำเอาความคิด   หรือคตินิยมทางปรัชญาเรื่องปรากกฎการณ์นิยมมาใช้เป็นกรอบการศึกษา   หรือการมองชีวิตสังคมของมนุษย์ในสังคม   เนื่องจากความใหม่ของทฤษฎีนี้   และเนื่องจากยังมีนักสังคมวิทยาที่ใฝ่ใจในทฤษฎีนี้ไม่มาก   ดังนั้นเนื้อหาสาระของทฤษฎีนี้จึงยังมีไม่มากนัก
ปรากฏการณ์นิยมมีต้นความคิดมาจากนักปรัชญาชื่อ   Edmund Husserl  โดยมีนักปรัชญาอีกคนหนึ่ง   คือ   Alfred Schultz  เป็นผู้ถ่ายทอดมาอีกต่อหนึ่ง   ตามแนวความคิดของพวกปรากฏการณ์นิยมนั้น   มนุษย์เป็นผู้สร้างความหมายต่าง   ๆ   ในสังคม   สร้างความแท้จริงในสังคม   นั่นคือ   กฎระเบียบต่าง   ๆ   ที่ใช้อยู่ในสังคม   แล้วทำความเข้าใจร่วมกัน   และยึดถือเป็นแนวปฏิบัติในการกระทำระหว่างกัน   หรือดำรงชีวิตอยู่ด้วยกัน   ตามแนวความคิดนี้   มนุษย์จึงเป็นตัวสำคัญ   เป็นตัวการให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าโครงสร้างสังคม   แต่โครงสร้างสังคมที่มนุษย์เองเป็นคนสร้างขึ้นภายหลังที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้ว   ก็อาจมีผลเป็นตัวบังคับเป็นตัวแบบให้มนุษย์ต้องปฏิบัติตามได้   โครงสร้างสังคมจึงไม่ใช่เป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาก่อนอย่างเป็นทฤษฎีอื่น   แต่เป็นสิ่งที่ตามมาทีหลังมนุษย์   เป็นผลผลิตของมนุษย์
จุดสนใจของนักทฤษฎีปรากฏการณ์นิยมอยู่ที่ชีวิต   การดำเนินชีวิตช่วงใดช่วงหนึ่ง   หรือชีวิตประจำวัน   ศึกษาคำพูด   เรื่องราว   ระเบียบแบบแผน   การกระทำสิ่งต่าง   ๆของมนุษย์ในช่วงนั้น   ว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนั้น   เขาทำให้ผู้อื่นยอมรับ   ความหมายและระเบียบหรือโครงการที่เขาเสนอนั้นอย่างไร   กล่าวอีกนัยหนึ่ง   เขาสร้างโลกของเขาขึ้นมาได้อย่างไร   นักสังคมวิทยาเป็นผู้ไปศึกษาค้นหาความจริงในทัศนะของคนในชุมชน   กลุ่มคน   ชมรม   ที่เป็นเป้าหมายของตน   ไม่ใช่นำเอาทฤษฎีของตนเป็นกรอบแนวคิด   แล้วไปหาข้อมูลจากชาวบ้านมาสนับสนุนกรอบความคิดตามทฤษฎีของตน
  ระเบียบแบบแผนของสังคมขึ้นอยู่กับความนึกคิดของคนในสังคมนั้น   การเปลี่ยนแปลงทางสังคมขึ้นอยู่กับความต้องการหรือความเห็นของสมาชิกในชุมชนนั้น   ผู้นำหรือชนชั้นสูงเกิดจากประเพณีที่ปฏิบัติมาหรือการยอมรับของสมาชิกในชุมชน   อำนาจของคนหรือกลุ่มคนขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำให้ผู้อื่นยอมรับตน   ปัญหาสังคมเกิดจากการยอมรับ   ของกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เรียกว่าปัญหานั้น   พฤติกรรมทางสังคมขึ้นอยู่กับประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา   เมื่อมีสิ่งอันไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้น   สมาชิกผู้ได้รับผลกระทบอาจร่วมกันพิจารณาหาทางแก้ไข   และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนได้
การใช้ประโยชน์ทฤษฎีเป็นกรอบการวางแผนทางสังคม ทฤษฎีจะต้องถูกลดระดับลงมาเป็นหลักปฏิบัติสำหรับงานในระดับปฏิบัติการ
นโยบายสังคม   (social  policy) ได้แก่   ทัศนคติ   หรือแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุมทางสังคม ( social  control )  ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมแต่ละสังคมจะต้องกระทำระดับหนึ่ง   ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม   แต่ละสังคมจะต้องมีนโยบายสังคมของตนเป็นแนวดำเนินการทำให้สังคมมีความเป็น   ระเบียบเรียบร้อย   มีความมั่นคง   หรือแม้เพื่อให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ปรารถนาของนโยบายสังคมในแต่ละสังคมนั้น   บางทีก็เขียนหรือบัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรในรูปของกฎหมาย แผน โครงการของสังคมแล้วยึดถือปฏิบัติตาม บางสังคมก็บัญญัติไว้ชัดแจ้ง   แต่ไม่ค่อยเคร่งครัดในการปฏิบัติชัดแจ้ง   แม้มีการปฏิบัติแนวใดแนวหนึ่ง   เช่น   แบบประชาธิปไตยทุนนิยม   แบบสังคมนิยมรวมอำนาจไว้ในส่วนกลาง   การป้องกันไม่ให้ชนเผ่าอื่นหรือเชื้อชาติอื่นเข้ามาปะปน   หรือแต่งงานกับคนกลุ่มของตนนโยบายควบคุมทางสังคมด้วยวิธีการขัดเกลาอบรมบุคคลโดยตรง   หรือนโยบายควบคุมสังคมด้วยวิธีจัดสภาพแวดล้อม   เพื่อหล่อหลอมคนให้เป็นไปตามที่สังคมต้องการ   ดังนี้เป็นต้น   นโยบายสังคมในแต่ละสังคมจึงมีได้หมายความหลายประการต่าง   ๆ   กันไป
การวางแผนทางสังคม   (social  planning) หมายถึงกระบวนการกระทำระหว่างกัน   เช่น   การสืบสวนสอบสวน   การอภิปรายถกเถียงการทำการตกลงยุติเป็นต้น   เพื่อให้ได้มาซึ่งระเบียบแห่งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในอนาคต กระบวนการวางแผนสังคมดังกล่าวเป็นเรื่องของการที่คนจำนวนมากมาร่วมปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์   รวมไปถึงการวางโครงการปฏิบัติให้กับบุคคลหรือองค์การสังคมด้วย
สรุป นโยบายสังคมเป็นแนวปฏิบัติของสังคมทำให้สังคมมีความเป็นระเบียบเรียบร้อง   หรือทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงพัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้นในอนาคต   นโยบายนี้ประชาชนอาจชอบหรือไม่ชอบก็ได้   เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่เขียนไว้ก็ได้   แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันในสังคม   และยึดถือเคร่งครัดหรือไม่เคร่งครัดก็ได้อีกเช่นกัน   แล้วแต่ใจหรือสถานการณ์ของสังคม   การวางแผนสังคมนั้น   เป็นเรื่องการกระทำเพื่อไปสู่เป้าหมายที่สังคมวางไว้ในนโยบายสังคม   จึงอาจมองเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน   พูดถึงเรื่องหนึ่งก็หมายถึงอีกเรื่องหนึ่งรวมเข้าไปด้วยหรือใช้แทนกันได้
นโยบายสาธารณะ หมายถึง   แผนหรือโครงการที่กำหนดขึ้นอันรวมถึงเป้าหมายสิ่งที่มีคุณค่า   และแนวปฏิบัติต่าง   ๆ เดวิด   อีสตัน   ( David  Easton )  ให้ความหมายนโยบายสาธารณะว่า   การจัดสรรผลประโยชน์   หรือสิ่งที่มีคุณค่าระหว่างปัจเจกชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง   ๆ   ในระบบสังคมการเมือง     อมร   รักษาสัตย์   กล่าวว่า   นโยบายสาธารณะคือ   ความคิดของรัฐบาลที่ว่าจะทำอะไร   หรือไม่   อย่างใด   เพียงใด   เมื่อใด   โดยน่าจะมีองค์ประกอบ   3  ประการคือ   ( 1 )  การกำหนดเป้าหมายของสิ่งที่ต้องการกระทำ   ( 2 )  การกำหนดแนวทางใหม่ๆ   และ   ( 3  )  การกำหนดการสนับสนุนต่าง   ๆ   นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเป็นแนวทางปฏิบัติ   เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม   ซึ่งเป็นได้ทั้งพลเมืองในชาติและตัวรัฐบาลเองในฐานะที่เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของชาติ
เปรียบเทียบนโยบายสังคมกับนโยบายสาธารณะ มีส่วนคล้ายกันมากกว่าแตกต่างกัน   ส่วนที่คล้ายกันหรือเหมือนกัน   คือ   ต่างก็เป็นแนวปฏิบัติกิจกรรม   เป็นเรื่องของส่วนรวม   เพื่อประโยชน์ของการดำรงอยู่   หรือการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของส่วนรวม ที่ต่างกันคือ   นโยบายสังคมมีลักษณะเป็นนามธรรมสูงกว่านโยบายสาธารณะ   อาจกล่าวได้ว่า   นโยบายสังคมที่ของนโยบายสาธารณะ   หรือกล่าวได้ว่า   นโยบายสาธารณะทุกนโยบายเป็นนโยบายสังคม   แต่นโยบายสังคมไม่ทุกนโยบายที่เป็นนโยบายสาธารณะ   ( เช่น   ไม่ได้มี   การนำเอานโยบายสังคมบางส่วนมาจัดทำเป็นนโยบายของรัฐบาลหนึ่งใดเป็นต้น   )  อีกประการหนึ่ง   อยู่ที่ความหมายและขอบเขตของสังกัปสังคม   ( society )  ของรัฐ   รัฐบาล   ( state  government  )  ซึ่งโดยทั่วไปมักยอมรับกันว่าเป็นสิ่งที่เล็กน้อยและแคบกว่าสังคม
ทฤษฎี   สังคมวิทยาเป็นประโยชน์ต่อนโยบายสังคม   นโยบายสาธารณะหรือการวางแผนทางสังคม     1.  ความมั่นคงของสังคม   ทฤษฎีสังคมวิทยาให้ความสำคัญเกี่ยวกับความเป็นปึกแผ่น   มั่นคง   ( solidarity )  ของสังคมมาก   สามารถแสดงเหตุของความสำคัญประโยชน์ของความมั่นคงและข้อเสียของการขาดความมั่นคงหรือเสียระเบียบไป     2.  หลักองค์ประกอบ   ทฤษฎีสังคมวิทยาทั้งหลาย   โดยเฉพาะทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยม   จะให้กรอบความคิดเดียวกับองค์ประกอบ   ของสังคม   เช่น   หน่วยต่างๆ   ของสังคม   ( social  unit )  ทำให้มองเห็นองค์ประกอบของนโยบายสาธารณะหรือการวางแผนทางสังคมด้านต่างๆ   ได้ชัดเจน     3.  หลักกระบวนการ   ทฤษฎีสังคมวิทยาเกี่ยวกับกระบวนการทางสังคม   ( social  process )  ดังนั้น   จึงสามารถให้ความกระจ่าง   ช่วยสนับสนุนนโยบายสังคมนโยบายสาธารณะ   และการวางแผนสังคมได้เป็นอย่างดี   4.  หลักหน้าที่หรือการมีส่วนร่วม   ทฤษฎีสังคมวิทยาเน้นให้เห็นว่าสมาชิกสังคมต่างมีหน้าที่ในสังคมต่าง   ๆ   กันไปตามฐานะที่สังคมมอบหมายเพื่อให้สังคมอยู่ได้   มั่นคงเข้มแข็ง   หรือเปลี่ยนแปลงพัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้น   ช่วยสนับสนุนการมีส่วนร่วมในนโยบายสังคม   นโยบายสาธารณะ   และการวางแผนสังคม

สัปดาห์ที่ 4 โครงสร้างทฤษฎีสังคมวิทยา

  • 1.
    สัปดาห์ที่ 4เอกสารประกอบการสอน วิชา 427-303 Sociological Theories ภาคเรียนที่ 1/2554 เรื่อง โครงสร้างทฤษฎีสังคมวิทยา
  • 2.
    ทฤษฎีสังคมวิทยา หมายถึง ทฤษฎีวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสังคมกล่าวคือ เป็นคำอธิบาย การเกิดขึ้น การดำรงอยู่ ลักษณะการเปลี่ยนแปลง และการเสื่อมสลายไปของความสัมพันธ์ทางสังคม ตลอดจนการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม เช่น ครอบครัวแตกแยก การแข่งขันระหว่างกลุ่มสังคม พฤติกรรมทางสังคม ปัญหาสังคม ด้วยความสัมพันธ์ทางสังคม อีกทั้งยังเป็นระบบความคิดที่มีลักษณะครอบคลุมอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประเด็นที่มีความสำคัญของชีวิตทางสังคม
  • 3.
    ขนาดของทฤษฎีสังคมวิทยา Ian Robertson นักสังคมวิทยาชาวอังกฤษผู้หนึ่งได้แบ่งทฤษฎีสังคมวิทยาออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน คือ 1. หลักสากลภาพเชิงประจักษ์ (Empirical generalization) ได้แก่ ทฤษฎีสังคมวิทยาที่ประกอบด้วยประพจน์อย่างหนึ่ง ซึ่งสร้างขึ้นจากข้อมูลประจักษ์หรือข้อมูลประจักษ์ยืนยันว่าถูกต้อง เช่น อัตราการเกิดของประชากรในสังคมหนึ่งสังคมใดจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อระดับการเป็นอุตสาหกรรมของสังคมนั้นค่อย ๆ สูงขึ้น การลดของอัตราการตายของประชากร ในสังคมหนึ่งสังคมใด มักจะมาก่อนการลดลงของอัตราการเกิดของประชากรในสังคมนั้น
  • 4.
    2. ทฤษฎีมัชฌิมพิสัย (Middle-Range Theory) ได้แก่ ทฤษฎีสังคมวิทยาที่ประกอบด้วยหลักสากลภาพเชิงประจักษ์อย่างน้อยสองหลักสากลภาพด้วยกัน เป็นทฤษฎีขนาดกลางระหว่างทฤษฎีขนาดเล็กที่เรียกว่า หลักสากลภาพกับทฤษฎีใหญ่ที่เรียกว่า ทฤษฎีมหภาพ Robert Merton นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน เสนอว่า ทฤษฎีกับการวิจัยจะต้องเป็นของคู่กัน ทฤษฎีที่ปราศจากการวิจัยเป็นทฤษฎีเลื่อนลอย การวิจัยที่ไร้ทฤษฎีก็ไม่มีหลัก ไม่มีทิศทาง ตัวอย่าง ประชากรของสังคมที่กำลังกลายเป็นสังคมอุตสาหกรรม จะขยายตัวอย่างรวดเร็วในระยะแรก หลังจากนั้นแล้วจะค่อย ๆ คงตัวเมื่ออัตราการตายและอัตราการเกิดเริ่มลดลง
  • 5.
    3. ทฤษฎีมหภาพ (Grand Theory) ได้แก่ ทฤษฎีขนาดใหญ่ครอบคลุมชีวิตสังคมทุกด้าน เป็นทฤษฎีที่มีระดับแห่งสภาวะสากล และความเป็นนามธรรม (abstractness) สูงมาก มีสังกับและประพจน์หรือสากลภาพต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งทฤษฎีขนาดกลางปะปนอยู่มาก ทฤษฎีประเภทนี้มีลักษณะเป็นการบรรยายยืดยาว (discursive) มีคำอธิบายให้เหตุผลประกอบด้วยหลักฐาน ( ส่วนมากเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ) ยืนยันความเป็นจริงของทฤษฎี
  • 6.
    ทฤษฎีมหภาพอันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในหมู่นักสังคมวิทยามีดังนี้ คือ   ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยม ( Structural - functional Theory ) ทฤษฎีการขัดแย้ง ( Conflict Theory ) ทฤษฎีการกระทำระหว่างกันโดยใช้สัญลักษณ์ ( Symbolic interaction theory ) ทฤษฎีปริวรรต ( Exchange Theory ) ทฤษฎีปรากฏการณ์นิยม ( Phenomenology or Ethno methodology Theory )
  • 7.
    ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยม (Structural - functional Theory) ผู้นำทางความคิดของทฤษฎีคือ August Comte และ Herbert Spencer ออกุสต์ กองต์ ที่มองว่า การที่สังคมจะสามารถดำรงอยู่ได้นั้น จะต้องมีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันทั้งระบบ ต่อมาเฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ ได้เสนอแนวความคิดว่า สังคมมนุษย์นั้นมีลักษณะเหมือนกับโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ (Human organism) ที่มีส่วนประกอบต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก แต่ละส่วนประกอบจะมีความความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ และแนวความคิดของสเปนเซอร์ เป็นแนวความคิดหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อนักคิดทางสังคมในสมัยที่สเปนเซอร์มีชีวิตอยู่เป็นอย่างมาก August Comte เป็นผู้ตั้งชื่อวิชานี้ว่าสังคมวิทยา จึงมักได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาคนแรกของสังคมวิทยามากกว่า Herbert Spencer
  • 8.
    หัวใจของทฤษฎีนี้มีสมมุติฐานที่ว่า สังคมเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง สิ่งมีชีวิตนี้จะมีส่วนประกอบหลายอย่าง แต่ละอย่างมีหน้าที่เฉพาะจะต้องปฏิบัติเพื่อการคงอยู่ของส่วนรวมคือตัวสิ่งมีชีวิตนั้น สังคมมนุษย์ก็เป็นอย่างนั้นทุกส่วนของสังคมมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติ ส่วนต่าง ๆ เหล่านั้นของสังคมรวมกันเข้าก็เป็นโครงสร้างของสังคม จึงได้ชื่อว่าทฤษฎีโครงสร้างและหน้าที่ เป็นระบบที่ซับซ้อนระบบหนึ่ง ที่มีองค์ประกอบต่าง ๆ หลายส่วนทำงานร่วมกันจนเกิดความมีเสถียรภาพ ( Stability )
  • 9.
    ต่อมารวมเอาระบบเข้าไปด้วย โครงสร้างของสังคมอาจจัดเป็นระบบได้หลายระบบ แต่ละระบบก็จะมีหน้าที่ต่าง ๆ กัน แล้วก็รวมเอาสมดุล ( equilibrium ) เข้ามาด้วย โดยว่าระบบต่าง ๆ ของสังคมจะปฏิบัติหน้าที่อย่างสอดคล้องกันทำให้เกิดดุลภาพ หรือสังคมเกิดความมั่นคงอยู่ได้ แต่สังคมก็ไม่ได้อยู่นิ่งหรือคงอยู่กับที่ เติบโตเจริญก้าวหน้าหรือยุบหดเสื่อมโทรมลงได้ ทั้งที่ยังมีดุลยภาพอยู่ ดุลยภาพอย่างนี้เรียกว่า ดุลยภาพเคลื่อนที่ ( moving equilibrium )
  • 10.
    องค์ประกอบ 1. โครงสร้างสังคม (Social structure) รูปแบบอันถาวรที่เกิดจากความสัมพันธ์ของพฤติกรรมทางสังคม เช่น วิถีชีวิตภายในครอบครัวและระบบเศรษฐกิจ เป็นรูปแบบของโครงสร้างทางสังคมประเภทหนึ่ง ที่เกิดจากพฤติกรรมทางสังคมโดยความร่วมมือระหว่างกันในครอบครัวจนเกิดเป็นระบบการผลิต การบริโภค การจำแนกแจกจ่าย และการบริการที่มีขนาดใหญ่ มีความเกี่ยวพันระหว่างกันทั่วทั้งสังคม   2. หน้าที่ทางสังคม (Social functions) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่เชื่อมโครงสร้างสังคมแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน ทำให้สังคมทั้งระบบเกิดการประสานงานและทำงานร่วมกัน ความเจริญหรือความเสื่อมของสังคมขึ้นอยู่กับหน้าที่และโครงสร้างถ้าโครงสร้างหน้าที่เพิ่มส่วนประกอบมากขึ้น ส่วนประกอบเหล่านั้นปฏิบัติหน้าที่แตกต่างหรือเฉพาะเรื่อง
  • 11.
    ประพจน์ที่สำคัญ 1. สังคมมนุษย์ประกอบด้วยโครงสร้าง ส่วนต่าง ๆ ของโครงสร้างสังคมปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นประโยชน์แก่การดำรงอยู่ของสังคม   2. ความมั่นคงของสังคมมนุษย์ขึ้นอยู่กับดุลยภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ในโครงสร้างสังคม   3. ยิ่งโครงสร้างสังคมมีความแปลกแยกมาก ( differentiation ) สังคมยิ่งมีความเจริญมาก   4. สาเหตุที่ทำให้สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอาจมาจากภายในสังคมหรือมาจากภายนอกสังคมก็ได้
  • 12.
    5. สังคมสมัยใหม่มีลักษณะอารมณ์เป็นกลาง ( affective neutrality ) ความสัมพันธ์อย่างเฉพาะเจาะจง ( specificity ) ยึดหลักสากล ( universalism ) ในการประเมินค่าการกระทำของบุคคล , ยึดความสำเร็จ ( achievement ) ในการประเมินผลงานของบุคคล และมุ่งกระทำเพื่อประโยชน์ตน ในขณะที่สังคมแบบประเพณี มีลักษณะใช้อารมณ์รักชอบ ( affectivity ) , ความสัมพันธ์อย่างกว้าง ( diffuseness ) , ใช้หลักตัวบุคคล ( particularism ) ในการประเมินค่าการกระทำของบุคคล , ยึดหลักเชื้อสาย ( ascription ) ในการบรรจุแต่งตั้งเข้าสู่ตำแหน่ง และบุคคลมุ่งกระทำการเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ( collectivity
  • 13.
    6. คนทำหน้าที่สำคัญของสังคม จะเป็นผู้ที่มีอำนาจและเป็นคนขั้นสูง 7. อาชีพที่ต้องมีการศึกษาฝึกอบรมยาวนาน จะได้รับค่าตอบแทนสูง
  • 14.
    2. ทฤษฎีการขัดแย้ง (conflict theory) เนื้อหาสาระของทฤษฎีนี้สืบเนื่องมาจากแนวความคิดของนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันสองคน คือ Karl Marx และ Georg Simmel ซึ่งเป็นบุคคลร่วมสมัยกับบรมครูของนัการหน้าที่ (Functionalists) ในปัจจุบันขัดแย้งขณะนี้จึงเป็นหนี้ความคิดของ Marx และ Simmel เช่นเดียวกับที่นักการหน้าที่เป็นหนี้ความคิดของนักอินทรีย์ศาสตร์ ( Organicists ) เช่น August Comte และ Herbert Spencer เป็นต้น
  • 15.
    เป็นทฤษฎีที่มีรากฐานของสมมุติฐานที่ว่าสังคม คือ ระบบที่มีลักษณะซับซ้อนของความไม่เท่าเทียมกัน (Inequality) และความขัดแย้ง (Conflict) ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม วิจารณ์ทฤษฎีการหน้าที่ของ Parsons ว่าเน้นเรื่องระเบียบสังคม ความสมดุลและกลไกในการรักษาดุลยภาพ และความเป็นระเบียบมากเกินไป จนมองไม่เห็นความไม่มั่นคง การเสียระเบียบและการขัดแย้งว่า เป็นพฤติกรรมเสียบระเบียบไปเสียหมด Lockwood ยังยืนยันด้วยว่า มีกลไกบางอย่างในสังคมที่ทำให้การขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เช่น การที่บุคคลมีอำนาจไม่เท่ากัน ทำให้คนมีอำนาจมากถือโอกาสเอารัดเอาเปรียบผู้มีอำนาจน้อย ทำให้เป็นแหล่งที่มาของความตึงเครียด และการขัดแย้งในสังคม การที่สังคมมักมีของหายากอยู่อย่างจำกัด เป็นเหตุให้ต้องมีการต่อสู้ดิ้นรน เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งจากของที่มีอยู่จำกัดนั้น ในสังคมมักมีกลุ่มต่างๆ ที่มีเป้าหมายไม่เหมือนกัน กลุ่มเหล่านี้จึงต้องแข่งขันช่วงชิงกันบรรลุเป้าหมายนั้น อันเป็นเหตุให้ต้องมีการกระทบกระทั่งระหว่างกลุ่มได้
  • 16.
    ในขณะที่ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยมมองสังคมในแง่ดี มีเสถียรภาพเสมอภาค จะมีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นแบบช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ทฤษฎีการขัดแย้งออกจะมองสังคมในแง่ร้าย แม้จะมีความเป็นระเบียบอยู่ได้ แต่อยู่ด้วยความไม่เสมอภาค มีการกดขี่ มีการบีบบังคับกันอยู่ การเปลี่ยนแปลงที่ทฤษฎีวาดภาพไว้ จะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง หักโค่น เพราะเป็นการต่อสู้ระหว่างคนมีกับคนไม่มี คนที่มีเงินมีอำนาจกับคนที่ไม่มีเงินและอำนาจแต่มีจำนวนคนมากกว่า
  • 17.
    ประพจน์สำคัญ ความเป็นระเบียบในสังคมมนุษย์ ขึ้นอยู่กับการกดขี่ของคนกลุ่มหนึ่งเหนือคนอีกกลุ่มหนึ่ง ชนชั้นในสังคมชนชั้นต่าง ๆ เกิดจากการแบ่งปันทรัพย์สิน อำนาจ หรือเกียรติยศ อภิสิทธิ์อย่างไม่เท่าเทียมกัน การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เกิดจากการขัดแย้งภายในสังคม การเปลี่ยนแปลงทางสังคม จะเกิดผลอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม ปัญหาสังคมเกิดจากการแบ่งปันของหายาก และมีอยู่จำกัดในสังคม นักการเมือง ข้าราชการพลเรือน ทหาร กฎหมาย ศาสนาในสังคม เป็นเครื่องมือของกลุ่ม “ มี ” ทั้งสิ้น การขัดแย้งในสังคมบางกรณี ช่วยทำให้เกิดความมั่นคงในกลุ่มขึ้นได้
  • 18.
    3. ทฤษฎีการกระทำระหว่างกันโดยใช้สัญลักษณ์ (Symbolic interactionism theory) เริ่มด้วยความคิดเรื่องการกระทำระหว่างกัน ( Interaction ) และสัญลักษณ์ ( Symbol ) ซึ่งเป็นหัวใจแล้วจึงขยายวงออกไปถึงมนุษย์แต่ละคน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสังคม และสภาพของสังคมมนุษย์ ทฤษฎีนี้นับเป็นทฤษฎีประเภทจุลภาค ( micro ) เพราะให้ความสำคัญต่อมนุษย์แต่ละคน ผิดกับทฤษฎีที่กล่าวมาแล้วข้างต้นที่เป็นทฤษฎีประเภทมหภาค ( macro ) เพราะเน้นเรื่องของกลุ่มคนหรือโครงสร้างของความเป็นส่วนรวม ทฤษฎีการกระทำระหว่างกันด้วยสัญลักษณ์ ช่วยทำให้ความรู้เกี่ยวกับสังคมมนุษย์สมบูรณ์ขึ้น เพราะสองทฤษฎีแรกได้พรรณนาโครงสร้างของสังคมในส่วนที่เป็นการประสานสอดคล้องกัน และในส่วนที่ขัดแย้งกัน ทฤษฎีสัญลักษณ์เข้ามาช่วยในการให้ความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ ( จิตใจตัวตน หรืออัตตา บุคลิกภาพ ) และสังคมครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น นักทฤษฎีที่สำคัญ คือ G . H . Mead, W . James, C . H . Cooley, J . M . Balwin, J . Dewey
  • 19.
    หัวใจของทฤษฎีสัญลักษณ์อยู่ที่คติการกระทำระหว่างกันและสัญลักษณ์รวมเรียกว่า คติ หรือทฤษฎีการกระทำระหว่างกันด้วยสัญลักษณ์ ( symbolic interactionism) เรียกง่าย ๆ ว่า ทฤษฎีสัญลักษณ์ทางสังคม สมมุติฐานสำคัญว่ามนุษย์ติดต่อกัน ( หรือจะเรียกว่ามีการกระทำระหว่างกันก็ได้ ) โดยอาศัยสัญลักษณ์เป็นสื่อที่ทำให้เกิดความเข้าใจ สัญลักษณ์ต่างกับสัญญาณ (signal) ซึ่งมีความหมายอย่างเดียว สัญญาณไฟจราจร สีแดง - ห้ามไป สีเหลือง - ระวัง และ สีเขียว - ไปได้ แต่ละสีหรือแต่ละสัญญาณมีความหมายเพียงอย่างเดียว สัญลักษณ์แต่ละอัน มีความหมายได้หลายอย่าง เช่น คำว่า หมู อาจหมายถึงสัตว์ประเภทหนึ่ง หมายถึงคนอ้วน หรือเรื่องอะไรที่ง่ายไม่ยุ่งยาก สีแดงสำหรับมนุษย์มีความหมายได้มากกว่าอย่างเดียว เช่น ถ้าใช้กับการจราจรก็แปลว่าต้องหยุด ปล่อยให้คนในเส้นทางอื่นเขาไป หรือถ้าอยู่ในธงไตรรงค์ หมายถึงเลือด ถ้าความหมายต่อไปอีกว่าคนไทยเป็นนักรบสู้ไม่ยอมถอย สัตว์มีความสามารถแค่ใช้สัญญาณ แต่มนุษย์มีความสามารถใช้ทั้งสัญญาณ และสัญลักษณ์
  • 20.
    นักทฤษฎีสัญลักษณ์ทางสังคม นำเอาความรู้เหล่านั้นมาใช้กับสังคมมนุษย์โดยสร้างเป็นทฤษฎีขึ้นมาว่า ตัวมนุษย์ ( อัตตา ) นั้นเป็นสัญลักษณ์ มีความหมายได้หลายอย่างในสายตาของผู้อื่น มนุษย์จึงพัฒนาตัวตนขึ้นมาจากความรู้สึกหรือสายตาของผู้อื่น ทำตัวให้ดีงานตามสายตาหรือมาตรฐานของสังคม ตัวตนจึงเป็นตัวตนทางสังคม ( social self ) คือเป็นผลผลิตของสังคม ( social product ) แน่นอนจะเป็นตัวตนตามสายตาผู้อื่นได้ต้องอาศัยจิต ( mind ) ช่วยคิด จิตจะรู้จักคิดได้ ก็ต้องอาศัยสื่อคือสัญลักษณ์ ๆสำคัญในที่นี้คือ ภาษา จึงกล่าวได้ว่า ภาษาทำให้เกิดจิต จิตทำให้เกิดตัวตน แล้วตัวตน ( อาศัยสัญลักษณ์อีก ) ก็สร้างสังคมขึ้น สังคมจะอยู่หรือจะไปก็แล้วแต่มนุษย์เหล่านี้เอง ทฤษฎีนี้จึงให้ความสำคัญแก่มนุษย์มาก
  • 21.
    ประพจน์สำคัญ มนุษย์เกิดจากสัญลักษณ์ที่มนุษย์รุ่นก่อนเป็นผู้สร้างและสะสมพัฒนามา บุคลิกของคนขึ้นอยู่กับการหล่อหลอมของสังคม ซึ่งมนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น การเกิดการเจริญเติบโต หรือการเสื่อมสลายของสังคมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสมาชิกสังคม พฤติกรรมเบี่ยงเบน ( deviance ) เกิดจากการให้ความหมายเช่นนั้นของมนุษย์บางกลุ่ม พฤติกรรมทางสังคม ขึ้นอยู่กับความคาดหวังของสังคม การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เกิดจากการกระทำระหว่างมนุษย์ อำนาจของบุคคลหรือกลุ่มคนใด ๆ ขึ้นอยู่กับการมอบหมายของอีกคนหรืออีกกลุ่มหนึ่ง
  • 22.
    4. ทฤษฎีปริวรรต (Exchange Theory) ทฤษฎีใหญ่และเก่าแก่อีกทฤษฎีหนึ่งของสังคมวิทยา ที่เป็นทฤษฎีใหญ่เพราะสามารถนำเอาแนวคิดไปใช้ได้กับความสัมพันธ์ทางสังคมขนาดเล็กระดับระหว่างบุคคล ไปจนกระทั่งระดับสังคม ที่ว่าเป็นทฤษฎีเก่าแก่ เพราะสามารถสืบต้นตอของทฤษฎีนี้ไปถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18-19 สมัยนักเศรษฐศาสตร์คลาสสิก เช่น Adam Smith, David Ricardo, John stewart Mill นักทฤษฎีที่สำคัญ ๆ ในทฤษฎีปริวรรตนิยม คือ G . C . Homans, Peter M . Blau, B . Malinowski, M . Mauss เป็นต้น
  • 23.
    แหล่งกำเนิดที่สำคัญของทฤษฎีปริวรรตนิยมอาจสรุปได้ว่ามาจากแหล่งาสมแหล่งด้วยกัน คือ มาจากเศรษฐศาสตร์เชิงอรรถประโยชน์นิยม ( Utilitarian economics ) มาจากมานุษยวิทยาเชิงหน้าที่ ( Functional anthropology ) มาจากจิตวิทยาเชิงพฤติกรรม ( Behavioral psychology )
  • 24.
    สมมุติฐานสำคัญว่ามนุษย์แต่ละคนมีความต้องการอะไรหลายอย่างในชีวิต แต่ตัวเองไม่สามารถจะสนองความต้องการของตนด้วยตนเองทั้งหมดได้ จะต้องอาศัยผู้อื่นมาช่วยสนองความต้องการเหล่านั้นด้วยจึงจะครบ นอกจากนั้นมนุษย์แต่ละคนยังต้องการผลตอบแทนจากการแลกเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ระหว่างกันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดังนั้น เนื่องจากมนุษย์ต้องการสิ่งต่าง ๆ จากผู้อื่น จึงต้องเข้าสู่สัมพันธ์หรือติดต่อกับผู้อื่น และเนื่องจากแต่ละคนต้องการผลประโยชน์ตอบแทนมากที่สุดจากสิ่งที่ตนนำไปแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น จึงจำเป็นต้องสร้างกฎเกณฑ์หรือระเบียบแบบแผนในการแลกเปลี่ยนที่ดีมีความยุติธรรมขึ้น ความต้องการกันและกันจึงทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกัน กฎระเบียบที่ร่วมกันสร้างขึ้นจะควบคุมความประพฤติของกันและกัน กฎระเบียบที่อำนวยประโยชน์สูงสุดจะช่วยรักษาสัมพันธภาพให้ดำรงอยู่ได้นานและมั่นคง
  • 25.
    ความสัมพันธ์ทางสังคม ตามแนวทฤษฎีนี้มีได้ตั้งแต่ระหว่างมนุษย์สองคน ซึ่งให้และรับผลตอบแทนต่อกันโดยตรง ไปจนถึงระหว่างคนหลายคน ซึ่งการให้และรับเป็นไปโดยอ้อม ความสัมพันธ์ซับซ้อนและเข้าใจได้ยาก แต่บุคคลที่อยู่ในความสัมพันธ์ก็มีความเชื่อศรัทธาจึงได้คงอยู่ในความสัมพันธ์และปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคม เพราะคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากความสัมพันธ์นั้น สังคมจึงดำรงอยู่ได้
  • 26.
    ประพจน์สำคัญ   เพราะมนุษย์มีความต้องการมาก แต่ไม่สามารถสนองเองได้ทั้งหมด มนุษย์จึงต้องติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น ความสัมพันธ์ทางสังคม ขึ้นอยู่กับความต้องการของมนุษย์และกฎระเบียบอันยุติธรรมในการแลกเปลี่ยน คนที่มีสิ่งของที่ผู้อื่นต้องการมากอยู่ จำนวนมากเป็นคนชั้นสูงของสังคม สิ่งของที่ผู้อื่นยิ่งต้องการมากเท่าใด ยิ่งมีราคาค่างวดมากขึ้นเท่านั้น คนยิ่งมีของหายากมากเท่าไร ยิ่งมีอำนาจ มีเกียรติและอภิสิทธิ์มากเท่านั้น อำนาจของ ก . เหนือ ข . เท่ากับระดับความต้องการสิ่งของจาก ก . ของ ข . ในเมื่อ ข . ไม่สามารถจะสนองความต้องการของตนจากแหล่งอื่น ปัญหาสังคมเกิดจากโครงสร้างสังคม ไม่อำนวยประโยชน์ต่อสมาชิกสังคมอย่างทั่วถึงยุติธรรม
  • 27.
    5. ทฤษฎีปรากฏการนิยม (Phenomenology or Ethno methodology Theory) นักสังคมวิทยาเพิ่งจะมีความสนใจนำเอาความคิด หรือคตินิยมทางปรัชญาเรื่องปรากกฎการณ์นิยมมาใช้เป็นกรอบการศึกษา หรือการมองชีวิตสังคมของมนุษย์ในสังคม เนื่องจากความใหม่ของทฤษฎีนี้ และเนื่องจากยังมีนักสังคมวิทยาที่ใฝ่ใจในทฤษฎีนี้ไม่มาก ดังนั้นเนื้อหาสาระของทฤษฎีนี้จึงยังมีไม่มากนัก
  • 28.
    ปรากฏการณ์นิยมมีต้นความคิดมาจากนักปรัชญาชื่อ Edmund Husserl โดยมีนักปรัชญาอีกคนหนึ่ง คือ Alfred Schultz เป็นผู้ถ่ายทอดมาอีกต่อหนึ่ง ตามแนวความคิดของพวกปรากฏการณ์นิยมนั้น มนุษย์เป็นผู้สร้างความหมายต่าง ๆ ในสังคม สร้างความแท้จริงในสังคม นั่นคือ กฎระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในสังคม แล้วทำความเข้าใจร่วมกัน และยึดถือเป็นแนวปฏิบัติในการกระทำระหว่างกัน หรือดำรงชีวิตอยู่ด้วยกัน ตามแนวความคิดนี้ มนุษย์จึงเป็นตัวสำคัญ เป็นตัวการให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าโครงสร้างสังคม แต่โครงสร้างสังคมที่มนุษย์เองเป็นคนสร้างขึ้นภายหลังที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้ว ก็อาจมีผลเป็นตัวบังคับเป็นตัวแบบให้มนุษย์ต้องปฏิบัติตามได้ โครงสร้างสังคมจึงไม่ใช่เป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาก่อนอย่างเป็นทฤษฎีอื่น แต่เป็นสิ่งที่ตามมาทีหลังมนุษย์ เป็นผลผลิตของมนุษย์
  • 29.
    จุดสนใจของนักทฤษฎีปรากฏการณ์นิยมอยู่ที่ชีวิต การดำเนินชีวิตช่วงใดช่วงหนึ่ง หรือชีวิตประจำวัน ศึกษาคำพูด เรื่องราว ระเบียบแบบแผน การกระทำสิ่งต่าง ๆของมนุษย์ในช่วงนั้น ว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนั้น เขาทำให้ผู้อื่นยอมรับ ความหมายและระเบียบหรือโครงการที่เขาเสนอนั้นอย่างไร กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาสร้างโลกของเขาขึ้นมาได้อย่างไร นักสังคมวิทยาเป็นผู้ไปศึกษาค้นหาความจริงในทัศนะของคนในชุมชน กลุ่มคน ชมรม ที่เป็นเป้าหมายของตน ไม่ใช่นำเอาทฤษฎีของตนเป็นกรอบแนวคิด แล้วไปหาข้อมูลจากชาวบ้านมาสนับสนุนกรอบความคิดตามทฤษฎีของตน
  • 30.
      ระเบียบแบบแผนของสังคมขึ้นอยู่กับความนึกคิดของคนในสังคมนั้น การเปลี่ยนแปลงทางสังคมขึ้นอยู่กับความต้องการหรือความเห็นของสมาชิกในชุมชนนั้น ผู้นำหรือชนชั้นสูงเกิดจากประเพณีที่ปฏิบัติมาหรือการยอมรับของสมาชิกในชุมชน อำนาจของคนหรือกลุ่มคนขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำให้ผู้อื่นยอมรับตน ปัญหาสังคมเกิดจากการยอมรับ ของกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เรียกว่าปัญหานั้น พฤติกรรมทางสังคมขึ้นอยู่กับประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา เมื่อมีสิ่งอันไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้น สมาชิกผู้ได้รับผลกระทบอาจร่วมกันพิจารณาหาทางแก้ไข และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนได้
  • 31.
  • 32.
    นโยบายสังคม (social policy) ได้แก่ ทัศนคติ หรือแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุมทางสังคม ( social control ) ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมแต่ละสังคมจะต้องกระทำระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม แต่ละสังคมจะต้องมีนโยบายสังคมของตนเป็นแนวดำเนินการทำให้สังคมมีความเป็น ระเบียบเรียบร้อย มีความมั่นคง หรือแม้เพื่อให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ปรารถนาของนโยบายสังคมในแต่ละสังคมนั้น บางทีก็เขียนหรือบัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรในรูปของกฎหมาย แผน โครงการของสังคมแล้วยึดถือปฏิบัติตาม บางสังคมก็บัญญัติไว้ชัดแจ้ง แต่ไม่ค่อยเคร่งครัดในการปฏิบัติชัดแจ้ง แม้มีการปฏิบัติแนวใดแนวหนึ่ง เช่น แบบประชาธิปไตยทุนนิยม แบบสังคมนิยมรวมอำนาจไว้ในส่วนกลาง การป้องกันไม่ให้ชนเผ่าอื่นหรือเชื้อชาติอื่นเข้ามาปะปน หรือแต่งงานกับคนกลุ่มของตนนโยบายควบคุมทางสังคมด้วยวิธีการขัดเกลาอบรมบุคคลโดยตรง หรือนโยบายควบคุมสังคมด้วยวิธีจัดสภาพแวดล้อม เพื่อหล่อหลอมคนให้เป็นไปตามที่สังคมต้องการ ดังนี้เป็นต้น นโยบายสังคมในแต่ละสังคมจึงมีได้หมายความหลายประการต่าง ๆ กันไป
  • 33.
    การวางแผนทางสังคม (social planning) หมายถึงกระบวนการกระทำระหว่างกัน เช่น การสืบสวนสอบสวน การอภิปรายถกเถียงการทำการตกลงยุติเป็นต้น เพื่อให้ได้มาซึ่งระเบียบแห่งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในอนาคต กระบวนการวางแผนสังคมดังกล่าวเป็นเรื่องของการที่คนจำนวนมากมาร่วมปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ รวมไปถึงการวางโครงการปฏิบัติให้กับบุคคลหรือองค์การสังคมด้วย
  • 34.
    สรุป นโยบายสังคมเป็นแนวปฏิบัติของสังคมทำให้สังคมมีความเป็นระเบียบเรียบร้อง หรือทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงพัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้นในอนาคต นโยบายนี้ประชาชนอาจชอบหรือไม่ชอบก็ได้ เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่เขียนไว้ก็ได้ แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันในสังคม และยึดถือเคร่งครัดหรือไม่เคร่งครัดก็ได้อีกเช่นกัน แล้วแต่ใจหรือสถานการณ์ของสังคม การวางแผนสังคมนั้น เป็นเรื่องการกระทำเพื่อไปสู่เป้าหมายที่สังคมวางไว้ในนโยบายสังคม จึงอาจมองเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน พูดถึงเรื่องหนึ่งก็หมายถึงอีกเรื่องหนึ่งรวมเข้าไปด้วยหรือใช้แทนกันได้
  • 35.
    นโยบายสาธารณะ หมายถึง แผนหรือโครงการที่กำหนดขึ้นอันรวมถึงเป้าหมายสิ่งที่มีคุณค่า และแนวปฏิบัติต่าง ๆ เดวิด อีสตัน ( David Easton ) ให้ความหมายนโยบายสาธารณะว่า การจัดสรรผลประโยชน์ หรือสิ่งที่มีคุณค่าระหว่างปัจเจกชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ในระบบสังคมการเมือง   อมร รักษาสัตย์ กล่าวว่า นโยบายสาธารณะคือ ความคิดของรัฐบาลที่ว่าจะทำอะไร หรือไม่ อย่างใด เพียงใด เมื่อใด โดยน่าจะมีองค์ประกอบ 3 ประการคือ ( 1 ) การกำหนดเป้าหมายของสิ่งที่ต้องการกระทำ ( 2 ) การกำหนดแนวทางใหม่ๆ และ ( 3 ) การกำหนดการสนับสนุนต่าง ๆ นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ซึ่งเป็นได้ทั้งพลเมืองในชาติและตัวรัฐบาลเองในฐานะที่เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของชาติ
  • 36.
    เปรียบเทียบนโยบายสังคมกับนโยบายสาธารณะ มีส่วนคล้ายกันมากกว่าแตกต่างกัน ส่วนที่คล้ายกันหรือเหมือนกัน คือ ต่างก็เป็นแนวปฏิบัติกิจกรรม เป็นเรื่องของส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของการดำรงอยู่ หรือการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของส่วนรวม ที่ต่างกันคือ นโยบายสังคมมีลักษณะเป็นนามธรรมสูงกว่านโยบายสาธารณะ อาจกล่าวได้ว่า นโยบายสังคมที่ของนโยบายสาธารณะ หรือกล่าวได้ว่า นโยบายสาธารณะทุกนโยบายเป็นนโยบายสังคม แต่นโยบายสังคมไม่ทุกนโยบายที่เป็นนโยบายสาธารณะ ( เช่น ไม่ได้มี การนำเอานโยบายสังคมบางส่วนมาจัดทำเป็นนโยบายของรัฐบาลหนึ่งใดเป็นต้น ) อีกประการหนึ่ง อยู่ที่ความหมายและขอบเขตของสังกัปสังคม ( society ) ของรัฐ รัฐบาล ( state government ) ซึ่งโดยทั่วไปมักยอมรับกันว่าเป็นสิ่งที่เล็กน้อยและแคบกว่าสังคม
  • 37.
    ทฤษฎี สังคมวิทยาเป็นประโยชน์ต่อนโยบายสังคม นโยบายสาธารณะหรือการวางแผนทางสังคม   1. ความมั่นคงของสังคม ทฤษฎีสังคมวิทยาให้ความสำคัญเกี่ยวกับความเป็นปึกแผ่น มั่นคง ( solidarity ) ของสังคมมาก สามารถแสดงเหตุของความสำคัญประโยชน์ของความมั่นคงและข้อเสียของการขาดความมั่นคงหรือเสียระเบียบไป   2. หลักองค์ประกอบ ทฤษฎีสังคมวิทยาทั้งหลาย โดยเฉพาะทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยม จะให้กรอบความคิดเดียวกับองค์ประกอบ ของสังคม เช่น หน่วยต่างๆ ของสังคม ( social unit ) ทำให้มองเห็นองค์ประกอบของนโยบายสาธารณะหรือการวางแผนทางสังคมด้านต่างๆ ได้ชัดเจน   3. หลักกระบวนการ ทฤษฎีสังคมวิทยาเกี่ยวกับกระบวนการทางสังคม ( social process ) ดังนั้น จึงสามารถให้ความกระจ่าง ช่วยสนับสนุนนโยบายสังคมนโยบายสาธารณะ และการวางแผนสังคมได้เป็นอย่างดี   4. หลักหน้าที่หรือการมีส่วนร่วม ทฤษฎีสังคมวิทยาเน้นให้เห็นว่าสมาชิกสังคมต่างมีหน้าที่ในสังคมต่าง ๆ กันไปตามฐานะที่สังคมมอบหมายเพื่อให้สังคมอยู่ได้ มั่นคงเข้มแข็ง หรือเปลี่ยนแปลงพัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้น ช่วยสนับสนุนการมีส่วนร่วมในนโยบายสังคม นโยบายสาธารณะ และการวางแผนสังคม