การวัดผลและการประเมินผลการเรียนรู้ ความหมายของการวัดผล การทดสอบ และการประเมินผล การวัดผล หมายถึง กระบวนการหาปริมาณ หรือจำนวนของสิ่งต่างๆโดยใช้เครื่องมือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ผลของการวัดจะออกมาเป็นตัวเลขหรือสัญลักษณ์ การทดสอบ หมายถึง กระบวนการวัดผลอย่างหนึ่งที่กระทำอย่างมีระบบเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบความสามารถของบุคคล โดยใช้ข้อสอบหรือคำถามไปกระตุ้นให้สนองแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา การประเมินผล หมายถึง การตัดสิน หรือวินิจฉัยสิ่งต่างๆ ที่ได้จากการวัดผล เช่น ผลจากการวัดความสูงของนายแดงได้  180  ซม . ก็อาจประเมินว่าเป็นคนที่สูงมาก ผลจากการชั่งน้ำหนักของวัตถุชิ้นหนึ่งได้  2  ก . ก ก็อาจจะประเมินว่าหนัก  – เบา
บลูม (Bloon)  และคณะได้แบ่งพฤติกรรมที่จะ วัดออกเป็น  3  ลักษณะ คือ  วัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับความรู้ ความคิด  ( วัดด้านสมอง )   วัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิด  ( วัดด้านจิตใจ ) วัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับการใช้กล้ามเนื้อ และประสาทสัมผัสส่วนต่างๆของร่างกาย ( วัดด้านการปฎิบัติ ) จุดมุ่งหมายของการวัดผลการศึกษา วัดผลเพื่อและพัฒนาสมรรถภาพของนักเรียน หมายถึง การวัดผลเพื่อดูว่านักเรียนบกพร่องหรือไม่เข้าใจในเรื่องใดอย่างไร วัดผลเพื่อวินิจฉัย หมายถึง การวัดผลเพื่อค้นหาจุดบกพร่องของนักเรียนที่มีปัญหา วัดผลเพื่อจัดอันดับหรือตำแหน่ง หมายถึง การวัดผลเพื่อจัดอันดับความสามารถของนักเรียนในกลุ่มเดียวกัน
วัดผลเพื่อเปรียบเทียบหรือเพื่อทราบพัฒนาการของนักเรียน วัดผลเพื่อพยากรณ์ หมายถึง การวัดผลที่ได้คาดคะเนหรือทำนายเหตุการณ์ในอนาคต วัดผลเพื่อประเมินผล หมายถึง การวัดเพื่อนำผลที่ได้มาตัดสิน หรือสรุปคุณภาพ หลักการวัดผลการศึกษา ต้องวัดให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน เลือกใช้เครื่องมือวัดที่ดีและเหมาะสม ระวังความคาดเคลื่อนหรือความผิดพลาดของการวัด ประเมินผลการวัดให้ถูกต้อง ใช้ผลการวัดให้คุ้มค่า  เพื่อพัฒนาสมรรถภาพของนักเรียน
เครื่องมือที่ใช้ในการวัด 1. การสังเกต คือ การพิจารณาปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อค้นหาความจริง บางประการโดยอาศัยประสาท สัมผัสของผู้สังเกตโดยตรง รูปแบบของการสังเกต 1.   การสังเกตโดยผู้สังเกตเข้าไปร่วมในเหตุการณ์หรือกิจกรรม 2.  การสังเกตโดยผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปร่วมในเหตุการณ์  แบ่งออกเป็น  2  ชนิด -  การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง หมายถึง การสังเกตโดยไม่สังเกตหัวข้อเฉพาะ -  การสังเกตแบบมีโครงสร้าง หมายถึง การสังเกตโดยตั้งหัวข้อเฉพาะเอาไว้ 2. การสัมภาษณ์ คือ การสนทนาหรือการพูดโต้ตอบกันอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อค้นหาความรู้ความจริง ตามวัตถุที่ประสงค์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า -  รูปแบบของการสัมภาษณ์ - การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง หมายถึง การสัมภาษณ์แบบไม่มีคำถามที่ตรงกันทุกคน -   การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง หมายถึง การสัมภาษณ์แบบที่ร่างขึ้นไว้แล้ว
3. แบบสอบถามเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลทางสังคมศาสตร์ -  รูปแบบของแบบสอบถาม -  แบบสอบถามชนิดปลายเปิด คือ แบบสอบถามนี้ไม่ได้กำหนดคำตอบไว้สามารถตอบตามอิสระตามความคิดของตนเอง -  แบบสอบถามปลายปิด คือ ประกอบด้วยคำถามและตัวเลือก นี้สร้างขึ้นโดยคาดว่าผู้ตอบ สามารถเลือกตอบได้ 4. การจัดอันดับ เป็นเครื่องมือวัดผลให้นักเรียนเป็นผู้ตอบ โดยการจัดอันดับความสำคัญ ของนักเรียนแล้วจึงให้คะแนน ภายหลังเพื่อการประเมิน 5.  การประเมินผลจากสภาพจริง หมายถึง กระบวนการสังเกต การบันทึก  และรวบรวมข้อมูลจากงาน ที่นักเรียนทำการประเมินผลจากสภาพความเป็นจริง จะเน้นให้นักเรียนสามารถแก้ไขปัญหา เป็นผู้ค้นพบและผู้ผลิตความรู้ นักเรียนได้ฝึกปฎิบัติจริง รวมทั้งเน้นพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน
6. การวัดผลภาคปฎิบัติ เป็นการวัดผลงานเพื่อให้นักเรียนลงมือปฎิบัติ ซึ่งสามารถวัดได้ทั้งกระบวนการและผลงาน ในสถานการณ์จริง  หรือสถานการณ์จำลอง สิ่งที่ควรคำนึงในการวัดปฎิบัติ คือ  1.  ขั้นเตรียมการ 2.  ขั้นปฎิบัติงาน 3. เวลาที่ใช้ในการทำงาน 4.  ผลงาน   7.  การประเมินผลโดยใช้แฟ้มสะสมผลงาน เป็นแนวทางประเมินผล โดยรวมข้อมูลที่ครูและผู้เรียนทำกิจกรรมต่างๆ รวมกันโดยกระทำอย่างต่อเนื่องตลอดภาคเรียน โดยกิจกรรมที่สอดแทรกเหล่านี้จะวัดเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสภาพชีวิตประจำวัน
8.  แบบทดสอบ หมายถึง  ชุดคำถามหรือหน่วยงานใดๆที่สร้างขึ้นเพื่อชักนำเพื่อให้ไปสู่การทดสอบ หรือ ปฎิกริยาโต้ตอบที่แสดงออกมาให้สามารถสังเกตได้ 8.1  แบ่งตามพฤติกรรมหรือสมรรถภาพที่จะวัด แบ่งได้  3  ประเภท คือ  1.  แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึง แบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพสมองด้านต่างๆ 2.  แบบทดสอบวัดความถนัด หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดสมรรถภาพสมองของผู้เรียน 3.  แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพทางสังคม หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดบุคลิกภาพและการปรับตัวให้เข้ากับสังคม  8.2  แบ่งตามลักษณะการตอบ ประกอบด้วย แบบทดสอบภาคปฎิบัติ แบบทดสอบข้อเขียน แบบทดสอบปากเปล่า 8.3  แบ่งตามเวลาที่กำหนดให้ตอบ ประกอบด้วย แบบทดสอบที่จำกัดเวลาในการตอบ แบบทดสอบที่ไม่จำกัดเวลาในการตอบ
8.4  แบ่งตามจำนวนผู้เข้าสอบ ประกอบด้วย แบบทดสอบเป็นรายบุคคล แบบทดสอบเป็นชั้นหรือเป็นหมู่ 8.5  แบ่งตามสิ่งเร้าของการถาม ประกอบด้วย แบบทดสอบทางภาษา แบบทดสอบที่ไม่ใช่ภาษา 8.6  แบ่งตามลักษณะของการใช้ประโยชน์ ประกอบด้วย แบบทดสอบย่อย แบบทดสอบรวม 8.7  แบ่งตามเนื้อหาของข้อสอบย่อยในฉบับ ประกอบด้วย แบบทดสอบอัตนัย แบบทดสอบปรนัย 9.  การสังเกตเป็นการรวบรวมข้อมูลโดยใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ ของผู้สังเกตเป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตา และ หู เก็บข้อมูลตามที่ปรากฏโดยไม่แปลความหมายของข้อมูลนั้นตามความนึกคิดของผู้ สังเกต
ธรรมชาติของข้อมูลจาการสังเกต แบ่งได้  2 ระดับคือ เป็นรูปธรรม ข้อมูลเช่นนี้สามารถสังเกตได้โดยตรง เช่น สังเกตคนที่เข้าประชุมว่ามีมากเพื่อใด เป็นนามธรรม เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง เช่น ความซื่อสัตย์ ความเมตตากรุณา ชนิดของการสังเกตแบ่งออกเป็น  2  ชนิด ใหญ่ๆดังนี้ การสังเกตแบบมีส่วนร่วม เป็นวิธีการสังเกตที่ผู้สังเกตเข้าไปร่วมอยู่ในหมู่หรือกลุ่มบุคคลที่สังเกต การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม เป็นวิธีการสังเกตที่ผู้สังเกตอยู่นอกกลุ่มผู้สังเกต ลักษณะของการสังเกตที่ดี กำหนดจุดมุ่งหมายให้แน่นอนว่า จะสังเกตอะไร ที่ไหน เพื่อใคร วางแผนสังเกตไว้ล่วงหน้า และวิเคราะห์สิ่งที่สังเกตออกมา ควรสังเกตโดยที่ผู้ถูกสังเกตไม่รู้ตัว ควรระวังอย่าให้เกิดการลำเอียงในขณะที่สังเกต
ควรสังเกตซ้ำหลายๆครั้ง ควรมีบันทึกการสังเกตทุกครั้ง 10.  การสัมภาษณ์ เป็นการสนทนาอย่างมีจุดหมายเพื่อต้องการผลอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นกระบวนการสื่อสารระหว่างบุคคลสองบุคคล โดยมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน และจะทำให้ทราบ ในด้านบุคลิกภาพ ท่วงทีวาจา เจตคติ ปฎิภาณ ไหวพริบ หรือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ประเภทของการสัมภาษณ์ แบ่งออกเป็น  2  ประเภทคือ การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างแน่นอน และ การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างแน่นอน 11.  แบบสอบถามและแบบสำรวจ เป็นชุดของคำถามที่สร้างขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคลในด้านต่างๆ เช่น ความคิดเห็น ความรู้สึก ท่าที เจตคติ ประเภทของแบบสอบถามแบ่งออกเป็น  2  ประเภท คือ แบบสอบถามประเภทปลายปิด และ แบบสอบถามประเภทปลายเปิด 12.  แบบสำรวจ เป็นเครื่องมือที่ใช้กันมากชนิดหนึ่ง โดยปกติจะประกอบด้วยบัญชีรายการสิ่งของหรือเรื่องราวต่างๆ  ที่จะให้ผู้ตอบ ตอบในลักษณะให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างที่กำหนดให้ เช่น มี -  ไม่มี  , ชอบ  - ไม่ชอบ
การวิเคราะห์ข้อมูล  การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นกระบวนการนำข้อมูลซึ่งเก็บรวบรวมได้ มาจัดทำโดยการจัดระเบียบ แยกประเภท หรือใช้วิธีการทางสถิติ เพื่อตอบคำถามตามจุดมุ่งหมายของการประเมิน ลักษณะของข้อมูลแบ่งออกเป็น  2  ประเภท คือ ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ข้อมูลที่อยู่ในรูปของจำนวน ปริมาณ หรือตัวเลข ข้อมูลเชิงคุณภาพ ได้แก่ ข้อมูลที่ไม่ได้อยู่ในรูปของจำนวนหรือตัวเลข ประเภทของการวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งออกเป็น  2  ประเภท คือ การวิเคราะห์โดยไม่ใช้วิธีการทางสถิติ การวิเคราะห์โดยใช้วิธีการทางสถิติ
การประเมินผลทางการศึกษา การประเมินผลทางการศึกษา หมายถึง กระบวนการในการตัดสินใจลงสรุปคุณลักษณะหรือพฤติกรรมของนักเรียนว่ามี คุณภาพดีระดับใด โดยอาศัยเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งในการเปรียบเทียบ มีองค์ประกอบ  3  ประการ คือ ผลการวัด เกณฑ์การพิจารณา การตัดสินใจ ความสำคัญของการประเมินผลทางการศึกษา ช่วยชี้ให้เห็นว่าการดำเนินงานเหมาะสมเพียงใด ทำให้ทราบว่าการดำเนินงานบรรลุตามจุดประสงค์ที่ว่างไว้หรือไม่ ช่วยกระตุ้นให้มีการเร่งรัด ปรับปรุง และการดำเนินการ ช่วยให้เห็นข้อบกพร่องในการดำเนินงาน ช่วยควบคุมการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ เป็นแนวทางในการกำหนดวิธีการในการดำเนินงานครั้งต่อไป
หลักการของการประเมินผลทางการศึกษา กำหนดสิ่งที่จะประเมินให้ชัดเจนและวัดได้ วางแผนการประเมินให้รัดกุม เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินต้องสัมพันธ์กับสิ่งที่ต้องการ เลือกใช้เครื่องมือในการประเมินที่มีคุณภาพให้เหมาะสมกับสิ่งที่จะประเมิน ปราศจากความลำเอียง การกำหนดสิ่งที่จะประเมินเกี่ยวกับการเรียนการสอน การประเมินก่อนมีการเรียนการสอน เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบดูว่าองค์ประกอบก่อนที่จะทำการเรียนการสอน การประเมินขณะทำการเรียนการสอน การประเมินระยะนี้เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การประเมินผลเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน เป็นการประเมินตรวจสอบโดยสรุปของการเรียนการสอนว่า เมื่อครบกำหนด นักเรียนมีความสำเร็จในการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด ตามปกติการวัดจะมี  3 ด้าน ดังนี้ -  พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย เป็นพฤติกรรมทางด้านสมองและสติปัญญา ได้แก่ ความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า -  พฤติกรรมด้านจิตพิสัย เป็นพฤติกรรมทางด้านจิตใจที่แสดงออกมาในรูปของค่านิยม เจตคติ ความสนใจ -  พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับทักษะในการเคลื่อนไหว การใช้อวัยวะต่างๆของร่างกาย ตลอดจนการประสานงานของประสาทและกล้ามเนื้อ
จากการเรียนรู้โดยทั่วไปอาจแยกลักษณะการประเมินผลจากข้อมูลออกเป็น  2  วิธีที่สำคัญ คือ การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ เป็นการวัดเพื่อต้องการทราบว่าบุคคลนั้นๆมีความสามรถถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ หรือไม่ การประเมินผลต้องนำคะแนนที่ได้จากผลงาน ไปเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ การวัดผลใช้ในการวัดสมรรถภาพเป็นรายบุคคล ถ้านักเรียนทำข้อสอบได้ถูกต้องถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ถือว่าได้เรียนรู้ ตามจุดประสงค์แล้ว ข้อควรคำนึงการประเมินแบบอิงเกณฑ์ วัตถุประสงค์ของการสอนต้องชัดเจน ข้อสอบมีความเที่ยงตรงสูงและครอบคลุมวัตถุประสงค์การสอน เกณฑ์ที่วัดต้องชัดเจน มีหลักเกณฑ์ที่อ้างอย่างยุติธรรม
การประเมินแบบอิงกลุ่ม เป็นการวัดเพื่อเปรียบเทียบคะแนนของบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับบุคคลอื่น คือ จำแนกคะแนนสูงสุดจนต่ำสุดแล้วจึงนำคะแนนเหล่านั้นมาเปรียบเทียบเพื่อ ประเมินต่อไป เช่น การสอบคัดเลือกนักศึกษาสอบเข้ามหาลัย ข้อควรคำนึงการประเมินแบบอิงกลุ่ม ข้อสอบต้องมีคุณภาพสูง มีความเชื่อมั่นและเที่ยงตรง ข้อสอบที่ใช้จะต้องครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด
 

บทที่8

  • 1.
  • 2.
    การวัดผลและการประเมินผลการเรียนรู้ ความหมายของการวัดผล การทดสอบและการประเมินผล การวัดผล หมายถึง กระบวนการหาปริมาณ หรือจำนวนของสิ่งต่างๆโดยใช้เครื่องมือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ผลของการวัดจะออกมาเป็นตัวเลขหรือสัญลักษณ์ การทดสอบ หมายถึง กระบวนการวัดผลอย่างหนึ่งที่กระทำอย่างมีระบบเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบความสามารถของบุคคล โดยใช้ข้อสอบหรือคำถามไปกระตุ้นให้สนองแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา การประเมินผล หมายถึง การตัดสิน หรือวินิจฉัยสิ่งต่างๆ ที่ได้จากการวัดผล เช่น ผลจากการวัดความสูงของนายแดงได้ 180 ซม . ก็อาจประเมินว่าเป็นคนที่สูงมาก ผลจากการชั่งน้ำหนักของวัตถุชิ้นหนึ่งได้ 2 ก . ก ก็อาจจะประเมินว่าหนัก – เบา
  • 3.
    บลูม (Bloon) และคณะได้แบ่งพฤติกรรมที่จะ วัดออกเป็น 3 ลักษณะ คือ วัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับความรู้ ความคิด ( วัดด้านสมอง ) วัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิด ( วัดด้านจิตใจ ) วัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย ได้แก่ การวัดเกี่ยวกับการใช้กล้ามเนื้อ และประสาทสัมผัสส่วนต่างๆของร่างกาย ( วัดด้านการปฎิบัติ ) จุดมุ่งหมายของการวัดผลการศึกษา วัดผลเพื่อและพัฒนาสมรรถภาพของนักเรียน หมายถึง การวัดผลเพื่อดูว่านักเรียนบกพร่องหรือไม่เข้าใจในเรื่องใดอย่างไร วัดผลเพื่อวินิจฉัย หมายถึง การวัดผลเพื่อค้นหาจุดบกพร่องของนักเรียนที่มีปัญหา วัดผลเพื่อจัดอันดับหรือตำแหน่ง หมายถึง การวัดผลเพื่อจัดอันดับความสามารถของนักเรียนในกลุ่มเดียวกัน
  • 4.
    วัดผลเพื่อเปรียบเทียบหรือเพื่อทราบพัฒนาการของนักเรียน วัดผลเพื่อพยากรณ์ หมายถึงการวัดผลที่ได้คาดคะเนหรือทำนายเหตุการณ์ในอนาคต วัดผลเพื่อประเมินผล หมายถึง การวัดเพื่อนำผลที่ได้มาตัดสิน หรือสรุปคุณภาพ หลักการวัดผลการศึกษา ต้องวัดให้ตรงกับจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน เลือกใช้เครื่องมือวัดที่ดีและเหมาะสม ระวังความคาดเคลื่อนหรือความผิดพลาดของการวัด ประเมินผลการวัดให้ถูกต้อง ใช้ผลการวัดให้คุ้มค่า เพื่อพัฒนาสมรรถภาพของนักเรียน
  • 5.
    เครื่องมือที่ใช้ในการวัด 1. การสังเกตคือ การพิจารณาปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อค้นหาความจริง บางประการโดยอาศัยประสาท สัมผัสของผู้สังเกตโดยตรง รูปแบบของการสังเกต 1. การสังเกตโดยผู้สังเกตเข้าไปร่วมในเหตุการณ์หรือกิจกรรม 2. การสังเกตโดยผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปร่วมในเหตุการณ์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด - การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง หมายถึง การสังเกตโดยไม่สังเกตหัวข้อเฉพาะ - การสังเกตแบบมีโครงสร้าง หมายถึง การสังเกตโดยตั้งหัวข้อเฉพาะเอาไว้ 2. การสัมภาษณ์ คือ การสนทนาหรือการพูดโต้ตอบกันอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อค้นหาความรู้ความจริง ตามวัตถุที่ประสงค์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า - รูปแบบของการสัมภาษณ์ - การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง หมายถึง การสัมภาษณ์แบบไม่มีคำถามที่ตรงกันทุกคน - การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง หมายถึง การสัมภาษณ์แบบที่ร่างขึ้นไว้แล้ว
  • 6.
    3. แบบสอบถามเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลทางสังคมศาสตร์- รูปแบบของแบบสอบถาม - แบบสอบถามชนิดปลายเปิด คือ แบบสอบถามนี้ไม่ได้กำหนดคำตอบไว้สามารถตอบตามอิสระตามความคิดของตนเอง - แบบสอบถามปลายปิด คือ ประกอบด้วยคำถามและตัวเลือก นี้สร้างขึ้นโดยคาดว่าผู้ตอบ สามารถเลือกตอบได้ 4. การจัดอันดับ เป็นเครื่องมือวัดผลให้นักเรียนเป็นผู้ตอบ โดยการจัดอันดับความสำคัญ ของนักเรียนแล้วจึงให้คะแนน ภายหลังเพื่อการประเมิน 5. การประเมินผลจากสภาพจริง หมายถึง กระบวนการสังเกต การบันทึก และรวบรวมข้อมูลจากงาน ที่นักเรียนทำการประเมินผลจากสภาพความเป็นจริง จะเน้นให้นักเรียนสามารถแก้ไขปัญหา เป็นผู้ค้นพบและผู้ผลิตความรู้ นักเรียนได้ฝึกปฎิบัติจริง รวมทั้งเน้นพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน
  • 7.
    6. การวัดผลภาคปฎิบัติ เป็นการวัดผลงานเพื่อให้นักเรียนลงมือปฎิบัติซึ่งสามารถวัดได้ทั้งกระบวนการและผลงาน ในสถานการณ์จริง หรือสถานการณ์จำลอง สิ่งที่ควรคำนึงในการวัดปฎิบัติ คือ 1. ขั้นเตรียมการ 2. ขั้นปฎิบัติงาน 3. เวลาที่ใช้ในการทำงาน 4. ผลงาน 7. การประเมินผลโดยใช้แฟ้มสะสมผลงาน เป็นแนวทางประเมินผล โดยรวมข้อมูลที่ครูและผู้เรียนทำกิจกรรมต่างๆ รวมกันโดยกระทำอย่างต่อเนื่องตลอดภาคเรียน โดยกิจกรรมที่สอดแทรกเหล่านี้จะวัดเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสภาพชีวิตประจำวัน
  • 8.
    8. แบบทดสอบหมายถึง ชุดคำถามหรือหน่วยงานใดๆที่สร้างขึ้นเพื่อชักนำเพื่อให้ไปสู่การทดสอบ หรือ ปฎิกริยาโต้ตอบที่แสดงออกมาให้สามารถสังเกตได้ 8.1 แบ่งตามพฤติกรรมหรือสมรรถภาพที่จะวัด แบ่งได้ 3 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึง แบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพสมองด้านต่างๆ 2. แบบทดสอบวัดความถนัด หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดสมรรถภาพสมองของผู้เรียน 3. แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพทางสังคม หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดบุคลิกภาพและการปรับตัวให้เข้ากับสังคม 8.2 แบ่งตามลักษณะการตอบ ประกอบด้วย แบบทดสอบภาคปฎิบัติ แบบทดสอบข้อเขียน แบบทดสอบปากเปล่า 8.3 แบ่งตามเวลาที่กำหนดให้ตอบ ประกอบด้วย แบบทดสอบที่จำกัดเวลาในการตอบ แบบทดสอบที่ไม่จำกัดเวลาในการตอบ
  • 9.
    8.4 แบ่งตามจำนวนผู้เข้าสอบประกอบด้วย แบบทดสอบเป็นรายบุคคล แบบทดสอบเป็นชั้นหรือเป็นหมู่ 8.5 แบ่งตามสิ่งเร้าของการถาม ประกอบด้วย แบบทดสอบทางภาษา แบบทดสอบที่ไม่ใช่ภาษา 8.6 แบ่งตามลักษณะของการใช้ประโยชน์ ประกอบด้วย แบบทดสอบย่อย แบบทดสอบรวม 8.7 แบ่งตามเนื้อหาของข้อสอบย่อยในฉบับ ประกอบด้วย แบบทดสอบอัตนัย แบบทดสอบปรนัย 9. การสังเกตเป็นการรวบรวมข้อมูลโดยใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ ของผู้สังเกตเป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตา และ หู เก็บข้อมูลตามที่ปรากฏโดยไม่แปลความหมายของข้อมูลนั้นตามความนึกคิดของผู้ สังเกต
  • 10.
    ธรรมชาติของข้อมูลจาการสังเกต แบ่งได้ 2 ระดับคือ เป็นรูปธรรม ข้อมูลเช่นนี้สามารถสังเกตได้โดยตรง เช่น สังเกตคนที่เข้าประชุมว่ามีมากเพื่อใด เป็นนามธรรม เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง เช่น ความซื่อสัตย์ ความเมตตากรุณา ชนิดของการสังเกตแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ใหญ่ๆดังนี้ การสังเกตแบบมีส่วนร่วม เป็นวิธีการสังเกตที่ผู้สังเกตเข้าไปร่วมอยู่ในหมู่หรือกลุ่มบุคคลที่สังเกต การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม เป็นวิธีการสังเกตที่ผู้สังเกตอยู่นอกกลุ่มผู้สังเกต ลักษณะของการสังเกตที่ดี กำหนดจุดมุ่งหมายให้แน่นอนว่า จะสังเกตอะไร ที่ไหน เพื่อใคร วางแผนสังเกตไว้ล่วงหน้า และวิเคราะห์สิ่งที่สังเกตออกมา ควรสังเกตโดยที่ผู้ถูกสังเกตไม่รู้ตัว ควรระวังอย่าให้เกิดการลำเอียงในขณะที่สังเกต
  • 11.
    ควรสังเกตซ้ำหลายๆครั้ง ควรมีบันทึกการสังเกตทุกครั้ง 10. การสัมภาษณ์ เป็นการสนทนาอย่างมีจุดหมายเพื่อต้องการผลอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นกระบวนการสื่อสารระหว่างบุคคลสองบุคคล โดยมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน และจะทำให้ทราบ ในด้านบุคลิกภาพ ท่วงทีวาจา เจตคติ ปฎิภาณ ไหวพริบ หรือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ประเภทของการสัมภาษณ์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างแน่นอน และ การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างแน่นอน 11. แบบสอบถามและแบบสำรวจ เป็นชุดของคำถามที่สร้างขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคลในด้านต่างๆ เช่น ความคิดเห็น ความรู้สึก ท่าที เจตคติ ประเภทของแบบสอบถามแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบสอบถามประเภทปลายปิด และ แบบสอบถามประเภทปลายเปิด 12. แบบสำรวจ เป็นเครื่องมือที่ใช้กันมากชนิดหนึ่ง โดยปกติจะประกอบด้วยบัญชีรายการสิ่งของหรือเรื่องราวต่างๆ ที่จะให้ผู้ตอบ ตอบในลักษณะให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างที่กำหนดให้ เช่น มี - ไม่มี , ชอบ - ไม่ชอบ
  • 12.
    การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นกระบวนการนำข้อมูลซึ่งเก็บรวบรวมได้ มาจัดทำโดยการจัดระเบียบ แยกประเภท หรือใช้วิธีการทางสถิติ เพื่อตอบคำถามตามจุดมุ่งหมายของการประเมิน ลักษณะของข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ข้อมูลที่อยู่ในรูปของจำนวน ปริมาณ หรือตัวเลข ข้อมูลเชิงคุณภาพ ได้แก่ ข้อมูลที่ไม่ได้อยู่ในรูปของจำนวนหรือตัวเลข ประเภทของการวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การวิเคราะห์โดยไม่ใช้วิธีการทางสถิติ การวิเคราะห์โดยใช้วิธีการทางสถิติ
  • 13.
    การประเมินผลทางการศึกษา การประเมินผลทางการศึกษา หมายถึงกระบวนการในการตัดสินใจลงสรุปคุณลักษณะหรือพฤติกรรมของนักเรียนว่ามี คุณภาพดีระดับใด โดยอาศัยเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งในการเปรียบเทียบ มีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ ผลการวัด เกณฑ์การพิจารณา การตัดสินใจ ความสำคัญของการประเมินผลทางการศึกษา ช่วยชี้ให้เห็นว่าการดำเนินงานเหมาะสมเพียงใด ทำให้ทราบว่าการดำเนินงานบรรลุตามจุดประสงค์ที่ว่างไว้หรือไม่ ช่วยกระตุ้นให้มีการเร่งรัด ปรับปรุง และการดำเนินการ ช่วยให้เห็นข้อบกพร่องในการดำเนินงาน ช่วยควบคุมการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ เป็นแนวทางในการกำหนดวิธีการในการดำเนินงานครั้งต่อไป
  • 14.
    หลักการของการประเมินผลทางการศึกษา กำหนดสิ่งที่จะประเมินให้ชัดเจนและวัดได้ วางแผนการประเมินให้รัดกุมเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินต้องสัมพันธ์กับสิ่งที่ต้องการ เลือกใช้เครื่องมือในการประเมินที่มีคุณภาพให้เหมาะสมกับสิ่งที่จะประเมิน ปราศจากความลำเอียง การกำหนดสิ่งที่จะประเมินเกี่ยวกับการเรียนการสอน การประเมินก่อนมีการเรียนการสอน เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบดูว่าองค์ประกอบก่อนที่จะทำการเรียนการสอน การประเมินขณะทำการเรียนการสอน การประเมินระยะนี้เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การประเมินผลเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน เป็นการประเมินตรวจสอบโดยสรุปของการเรียนการสอนว่า เมื่อครบกำหนด นักเรียนมีความสำเร็จในการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด ตามปกติการวัดจะมี 3 ด้าน ดังนี้ - พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย เป็นพฤติกรรมทางด้านสมองและสติปัญญา ได้แก่ ความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า - พฤติกรรมด้านจิตพิสัย เป็นพฤติกรรมทางด้านจิตใจที่แสดงออกมาในรูปของค่านิยม เจตคติ ความสนใจ - พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับทักษะในการเคลื่อนไหว การใช้อวัยวะต่างๆของร่างกาย ตลอดจนการประสานงานของประสาทและกล้ามเนื้อ
  • 15.
    จากการเรียนรู้โดยทั่วไปอาจแยกลักษณะการประเมินผลจากข้อมูลออกเป็น 2 วิธีที่สำคัญ คือ การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ เป็นการวัดเพื่อต้องการทราบว่าบุคคลนั้นๆมีความสามรถถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ หรือไม่ การประเมินผลต้องนำคะแนนที่ได้จากผลงาน ไปเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ การวัดผลใช้ในการวัดสมรรถภาพเป็นรายบุคคล ถ้านักเรียนทำข้อสอบได้ถูกต้องถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ถือว่าได้เรียนรู้ ตามจุดประสงค์แล้ว ข้อควรคำนึงการประเมินแบบอิงเกณฑ์ วัตถุประสงค์ของการสอนต้องชัดเจน ข้อสอบมีความเที่ยงตรงสูงและครอบคลุมวัตถุประสงค์การสอน เกณฑ์ที่วัดต้องชัดเจน มีหลักเกณฑ์ที่อ้างอย่างยุติธรรม
  • 16.
    การประเมินแบบอิงกลุ่ม เป็นการวัดเพื่อเปรียบเทียบคะแนนของบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับบุคคลอื่น คือจำแนกคะแนนสูงสุดจนต่ำสุดแล้วจึงนำคะแนนเหล่านั้นมาเปรียบเทียบเพื่อ ประเมินต่อไป เช่น การสอบคัดเลือกนักศึกษาสอบเข้ามหาลัย ข้อควรคำนึงการประเมินแบบอิงกลุ่ม ข้อสอบต้องมีคุณภาพสูง มีความเชื่อมั่นและเที่ยงตรง ข้อสอบที่ใช้จะต้องครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด
  • 17.