Final project 2561

“ปัญหาการอ่านหนังสือไม่เข้าใจ จาไม่แมม่น”

ที่มาแมละความสาคัญ
เนื่องในปัจจุบันมีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนในเด็กนักเรียนเป็นอย่างมาก ปัญหา
สาคัญที่สุดที่พบในตอนนี้ก็คือปัญหาการเรียนแมละการอ่านหนังสือที่ไม่เข้าใจไม่รู้
เรื่อง อ่านแมล้วจาไม่ได้ทาให้คะแมนนในการสอบออกมาไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ ซึ่ง
ปัญหาเหล่านี้ก็เกิดขึ้นมาจากหลายๆปัจจัยเช่นความเกียจคร้านของตัวเราเอง
การอยู่ในสภาพสังคมที่ไม่มีความสุข การพักผ่อนไม่เพียงพอทาให้สุขภาพย่าแมย่
แมละมีปัญหาของสุขภาพที่ไม่ดีตามมา ปัญหาเหล่านี้ก็จะส่งผลทาให้การเรียนรู้
ของเราทาได้ไม่เต็มที่จึงเรียนไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจจนสะสมไปเรื่อยๆจนสมองเริ่มทา
งานช้าลงการคิดวิเคราะห์ประมวลผลช้าลง จึงไม่มีความสุขในการเรียนแมละทาให้
ไม่อยากเรียน ทางผู้จัดได้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กนักเรียนในปัจจุบัน จึงได้
รวบรวมข้อมูลแมละสาเหตุของการเรียนไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจมาให้ได้ทราบถึงปัญหา
ของเรา พร้อมทั้งรวบรวมวิธีการแมก้ไขปัญหาในการอ่านหนังสือทาให้เข้าใจได้
ง่ายแมละรวดเร็วจาได้แมม่นยามากขึ้นมีคะแมนนสอบที่ดี ทาให้มีความสุขในการเรียน
แมละอ่านหนังสือตลอดไป

สาเหตุของการอ่าน
ไม่เข้าใจ จาไม่ได้
ปัจจัยเสี่ยงของการ
เกิดภาวะสมองเสื่อม อ้างอิง
ช่วงวัยที่จะเสี่ยงทาให้
สมองเสื่อม
อาหารช่วย
บารุงความจา
จัดทาโดย

สาเหตุของการอ่านไม่เข้าใจ จาไม่ได้
1. ไม่เข้าใจภาพรวมของเนื้อหาวิชา
การที่เราจะเรียนได้อย่างรู้เรื่องนั้นจาเป็นต้องเข้าใจคอนเซ็ปหรือภาพรวมของ
เนื้อหาวิชาที่ต้องการเรียนก่อน แมล้วจึงจะสามารถนาเนื้อหารายละเอียดต่าง ๆ ที่
ครูสอนมาเติมลงในภาพรวมแมต่ละส่วนได้

2. วิธีการเรียนไม่เหมาะกับวิชานั้น
วิธีการเรียนในแมต่ละวิชานั้นมีความแมตกต่างกันออกไป ถ้าหากว่าน้อง ๆ เรียนไม่
ถูกวิธีก็จะทาให้เรียนวิชานั้นไม่รู้เรื่องก็เป็นได้ เช่น วิชาฟิ สิกส์ เป็นวิชาคานวนที่
ต้องอาศัยความเข้าใจในนิยามพื้นฐานด้วย ถ้าหากน้องเรียนฟิสิกส์โดยการทาแมต่
โจทย์ แมทนสูตร ๆ เมื่อเจอโจทย์ประยุกต์ที่ไม่เคยเจอก็อาจจะทาไม่ได้ เพราะที่ผ่าน
มาไม่เคยเข้าใจเลย แมค่รู้ว่าต้องแมทนสูตรไหน แมละแมทนยังไงนั่นเอง

3. วิธีการเรียนไม่เหมาะสมกับตนเอง
คนเรานั้นสามารถเรียนรู้ได้โดยวิธีการที่แมตกต่างกัน บางคนอาจเรียนรู้ได้ดีจาก
การอ่าน บางคนอาจเรียนรู้ได้ดีจากการฟัง บางคนอาจเรียนรู้ได้ดีจากการลงมือ
ปฏิบัติ ดังนั้นรูปแมบบการเรียนที่เหมาะสมของแมต่ละคนจึงแมตกต่างกันออกไป

4. ไม่มีสมาธิในเวลาเรียน
บรรยากาศในห้องเรียนหลาย ๆ ก็ทาให้เราไม่มีสมาธิในการเรียน พลอยทาให้
เรียนไม่รู้เรื่องไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนคุยกันเสียงดัง เพื่อนชวนคุย ง่วงเวลา
เรียน อาจารย์สอนน่าเบื่อมาก

5. ไม่ทบทวนบทเรียน
สาเหตุอีกหนึ่งอย่างที่ทาให้เรียนไม่รู้เรื่องคือการไม่ทบทวนบทเรียนครับ การ
ทบทวนบทเรียนในที่นี้ไม่ได้ให้น้อง ๆ อ่านหนังสืออย่างกระหน่านะครับ แมค่เมื่อ
เรียนเสร็จแมต่ละวันก็เอาสมุดที่จดมาเปิดอ่านบ้างสัก 30 นาที - 1 ชม มีงานวิจัย
จานวนมากที่สนับสนุนว่าการเรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวโดยไม่ทบทวน
บทเรียนนั้นจะทาให้ผู้เรียนลืมเนื้อหานั้นได้เร็วกว่าการทบทวนบทเรียนบ้าง

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อม
น้าหนักตัวเกิน
ดัชนีมวลกาย : BMI (body mass index) มาจาก น้าหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วย
ส่วนสูง (เมตร)2 ค่าที่เหมาะสมที่สุดสาหรับการป้ องกันการเกิดภาวะสมองเสื่อม
ในอนาคต คือ 20 – 22.5 โดยเฉพาะถ้ามากกว่า 25 ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามดัชนี
มวลกาย

การสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่เพิ่มอุบัติการณ์การเกิดโรคหลอดเลือดสมองถึง 2 เท่า แมละเพิ่ม
ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อม 2.28 เท่า การงดสูบบุหรี่ตั้งแมต่ 5 ปีขึ้น
ไปจะลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองลงได้เท่าคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่
คือลดลงร้อยละ 50

แอลกอฮอล์
การดื่มแมอลกอฮอล์ในปริมาณไม่เกิน 3 แมก้วต่อวัน สามารถลดโอกาสเกิดภาวะ
สมองเสื่อมได้ร้อยละ 42 แมละลดโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือด
สมองได้ร้อยละ 71 โดยไม่ขึ้นกับชนิดของแมอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม บาง
การศึกษาพบว่าชนิดของแมอลกอฮอล์ที่สามารถลดโอกาสการเกิดโรคอัลไซเมอร์
ได้คือ ไวน์เท่านั้น

การกินอาหารที่มีไขมันสูง
มีไขมันอิ่มตัวแมละคอเลสเตอรอลสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อม
การกินไขมันจากพืชแมละโอเมกา 6 (กรดไลโนเลอิก) ซึ่งพบมากในน้ามันพืช เช่น
น้ามันจากเมล็ดทานตะวัน ถั่วเมล็ดแมห้ง เมล็ดฟังทอง ถั่วเหลือง ลดความเสี่ยง
ของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ การกินปลาทะเลอาจช่วยป้ องกันภาวะสมองเสื่อมแมละ
โรคอัลไซเมอร์ได้โดยลดความเสี่ยงลดเหลือ 0.4 แมละ 0.3 เท่าตามลาดับ

การขาดการออกกาลังกาย
มีการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่ออกกาลังกายอย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไปต่อสัปดาห์ ใน
วัยกลางคนลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมแมละโรคอัลไซเมอร์ร้อยละ
52 แมละ 62 ตามลาดับเมื่ออยู่ในวัยสูงอายุ

อุบัติเหตุที่ศีรษะ
มีหลายรายงานการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่าผู้ป่วยที่เป็นอัลไซเมอร์แมละภาวะ
สมองเสื่อมจากสาเหตุอื่น ๆ มีประวัติเคยได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะมากกว่าคนที่ไม่มี
ภาวะสมองเสื่อม อย่างไรก็ตามบางการศึกษาไม่พบว่า การได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะ
มาก่อนเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อม

โรคซึมเศร้า
จากการศึกษาวิจัยจานวนมาก พบว่าอาการซึมเศร้ามีความสัมพันธ์กับภาวะ
สมองเสื่อม อาจเป็นไปได้จากการที่อาการซึมเศร้าเป็นสาเหตุที่ทาให้มีปัญหา
ความจา หรืออาการซึมเศร้าเป็นอาการหนึ่งของภาวะสมองเสื่อมเอง โดยเกิด
ก่อนที่จะมีอาการสมองเสื่อมที่ชัดเจน ถึงแมม้ในปัจจุบันยังไม่ทราบชัดเจนว่า
อาการซึมเศร้ามีส่วนทาให้เกิดภาวะสมองเสื่อมหรือแมท้จริงแมล้วเป็นอาการหนึ่ง
ของภาวะสมองเสื่อม การป้ องกันแมละแมก้ไขอาการซึ่งเศร้าจึงยังนับว่าเป็นการ
ป้ องกันภาวะสมองเสื่อมวิธีหนึ่ง

สารพิษในสิ่งแวดล้อมรอบตัว
ถึงแมม้จะไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนถึงผลเสียของสารพิษต่าง ๆ ต่อการเกิดภาวะสมอง
เสื่อม แมต่มีหลายรายงานที่พบว่าการได้รับสารพิษต่าง ๆ เช่น น้ายาทาละลาย
ตะกั่ว อลูมิเนียม เหล็ก ทองแมดง ยาฆ่าแมมลง อาจมีส่วนทาให้เกิดภาวะสมอง
เสื่อมได้

ขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ
หลายครั้งที่เราติดเป็นนิสัยไม่ดีที่เป็นตัวทาลายสมอง ยกตัวอย่างเช่น การนอน
หลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นสาเหตุทาให้เป็นโรคขี้หลงขี้ลืมจาไม่ได้รวมทั้ง
เป็นโรคอัลไซเมอร์ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือควรนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ
แมละหากเรามีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มี
แมอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อีกทั้งควรปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด
เพื่อไม่ให้มีแมสงไปรบกวนในขณะที่เรานอนหลับ

ช่วงวัยที่จะเสี่ยงทาให้สมองเสื่อม
วัยเด็ก
ในวัยเด็กนั้นจะพบว่ามีพฤติกรรมของการติดการเล่นโทรศัพท์ในทางที่ผิดใช้ใน
การเล่นเกมส์ไม่สนใจคนรอบข้าง จึงไม่มีการเกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์ของ
พัฒนาการสมองแมละไม่มีการพูดคุยในสังคมของกลุ่มเพื่อนจึงทาให้ต้องอยู่กับ
ตัวเองมากจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า

วัยชรา
เมื่ออายุมากสมองเริ่มทางานช้าลงทาให้มีอาการความจาเสื่อมแมละความจาสั้น
มากขึ้น

เคล็ดลับอ่านหนังสือให้เข้าใจเร็วและจาแม่น
1. อ่านบทสรุปก่อนเป็ นอันดับแรก
นักเขียนจานวนไม่น้อยมักจะเปิดบทแมรกของหนังสือด้วยภาษาที่ยืดยาว เข้าใจ
ยาก แมละต้องตีความกันหลายชั้น แมละด้วยเหตุนี้เองที่ทาให้คน(ตั้งใจ)อ่านหลาย
คนตกหลุมพรางของความเหนื่อยหน่ายแมละเขวี้ยงหนังสือทิ้งไปด้วยความ
ผิดหวัง ในเมื่อผู้อ่านเจอหลุมพรางอย่างกรณีนี้ละก็ เคล็ดลับคือ "กระโดดหลบ
หลุม" นี้เสีย เปิดไปที่บทสุดท้ายของหนังสือ แมละมองหาบทสรุป นักเขียนหนังสือ
ที่ควรค่าเวลาอ่านของเราจะต้องรวบรวมข้อโต้แมย้งหรือบทเรียนที่เรียบเรียงไว้
อย่างครบครันในบทสรุป แมละส่วนใหญ่พวกเขาก็มักจะรวมตัวอย่างหรือ
หลักฐานที่พูดไปในบทต่างๆไว้อย่างย่อๆในหน้าท้ายๆอยู่แมล้ว

2. ใช้ปากกาไฮไลท์
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่นักอ่านจานวนไม่น้อยทาก็คือเลิกใช้ปากกาไฮไลท์ในการอ่าน
หนังสือ ส่วนมากจะเป็นเพราะพวกเขาไฮไลท์เกือบทั้งหน้าจนสุดท้ายไม่รู้จะไฮไลท์
ไปทาไม แมต่ความจริงแมล้วเทคนิคการไฮไลท์หนังสือถือเป็นอาวุธชั้นเลิศของนัก
อ่านตัวยงเลยทีเดียว นักอ่านเร็วแมละจาแมม่นต่างรู้ดีว่าการไฮไลท์ทุกสิ่งทุกอย่างที่
ขวางหน้านั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะทา แมต่ก็ไม่ถึงกับต้องเว้นทีละ 50 หน้าถึง
จะไฮไลท์ที นักอ่านชั้นเซียนจะพยายามมองหาประเด็นหลักที่คนเขียนต้องการจะ
สื่อแมละไฮไลท์เฉพาะข้อความนั้นๆ ถ้าเจอประเด็นหรือตัวอย่างที่ซ้าก็จะข้ามไป
เทคนิคนี้จะช่วยให้ผู้อ่านคัดแมยกแมต่ประเด็นสาคัญของหนังสือให้โดดเด่นออกมา
จากทั้งเล่ม เมื่อย้อนกลับมาอ่านอีกครั้ง พวกเขาจะสามารถสรุปใจความของ
หนังสือเล่มนั้นๆได้โดยใช้เวลาในการพลิกไปมาเพียงไม่กี่นาที

3. อ่านสารบัญและหัวข้อย่อยในแต่ละบท
เด็กที่เพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ หลายคนมักจะประหลาดใจเมื่อได้พบความ
จริงที่ว่ารุ่นพี่เก่งๆ หรือแมม้แมต่อาจารย์หลายคนมักจะไม่อ่านหนังสือทั้งเล่ม แมต่
พวกเขาจะเริ่มจากการอ่านสารบัญแมละเลือกอ่านเฉพาะบทที่สนใจหรือเกี่ยวข้อง
กับงานวิจัยของเขาก่อนเป็นอันดับแมรก ในบางทีพวกเขาจะทาเพียงเปิดหนังสือ
ผ่านๆ เร็วๆ ทั้งเล่มแมละหยุดอ่านเฉพาะเมื่อเห็นหัวข้อย่อยที่ดึงดูดพวกเขาเป็น
พิเศษ เทคนิคนี้จะสร้างความรู้สึกว่าหนังสือเล่มนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้อง"ทน"
อ่าน เพราะพวกเขาอ่านในสิ่งที่พวกเขา"เลือก"เอง หลายคนมองว่าเคล็ดลับข้อนี้
อาจทาให้พวกเขาต้องพลาดใจความสาคัญของผู้เขียนไปในบทที่ข้าม แมต่ในความ
เป็นจริงแมล้วนักเขียนงานวิชาการส่วนใหญ่มักจะย้าใจความสาคัญที่สุดของเขาไว้
ในทุกๆบทอยู่แมล้ว

4. อย่าอ่านเชิงรับ แต่ให้อ่านแบบเชิงรุก
ทุกคนคงเคยมีประสบการณ์ที่รู้สึกเซ็งกับหนังสือที่ครูสั่งให้อ่าน เพราะมันทั้งน่า
เบื่อแมละไม่ใช่สิ่งที่เราเลือกเอง ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแมปลกใหม่ แมต่ก็ต้องยอมรับว่า
เนื้อหาในหนังสือทุกเล่มมีทั้งส่วนที่เราไม่สนใจเลย ไปจนถึงส่วนที่เราอาจเชื่อมโยง
ได้บ้าง เทคนิคคือการเริ่มจากส่วนที่เราพบว่าดึงดูดใจเรามากที่สุด (หรือเลวร้าย
น้อยที่สุด) ก่อน การอ่านหนังสือไม่ต่างกับการรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบ
ข้าง เราไม่สามารถจะทนอยู่กับใครได้นานถ้าเรามองเห็นแมต่จุดที่ย่าแมย่แมละรู้สึกว่า
ตัวเองเป็นฝ่ายที่ต้องแมบกรับพฤติกรรมแมย่ๆ เหล่านั้นอยู่ฝ่ายเดียว ดังนั้นจงจาไว้
เสมอว่าคุณมีอานาจในการควบคุมความสัมพันธ์ของคุณกับหนังสือที่คุณอ่าน
เสมอ เริ่มจากวันนี้ มองหาจุดที่น่าสนใจของมันแมละไม่ปล่อยให้การอ่านเป็นเรื่อง
ที่คุณรู้สึกว่าถูกบังคับให้ทา แมต่เป็นสิ่งที่คุณเลือกเองแมละสามารถควบคุมมันได้อยู่
มือ

5. ไม่อ่านทุกคา
เคยสังเกตหรือไม่ว่าหลายครั้งที่เราอ่านหนังสือเรียนแมบบเรียงคาตั้งแมต่ต้นไปจน
จบ เราจะพบว่าเนื้อหาในหนังสือดูพูดวนซ้าประเด็นเดิมไปมา แมน่นอนว่าการอ่าน
ทุกคาจะทาให้เราเก็บครบทุกรายละเอียด แมต่ในความเป็นจริงแมล้วเนื้อหาส่วน
ใหญ่ในหนังสือเชิงวิชาการมักจะถูกอัดแมน่นไปด้วยหลักฐานที่สนับสนุนประเด็น
หลักมากกว่าตัวประเด็นเอง จริงอยู่ว่าหลักฐานเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามไปได้
อย่างสิ้นเชิง แมต่เราจะเห็นว่าหลักฐานเหล่านี้มีไว้เพื่อสนับสนุนใจความหลักๆ อีก
ทีหนึ่ง ดังนั้นในกรณีที่คุณอยากซึมซับข้อมูลที่สาคัญในเวลาที่จากัดแมล้วล่ะก็
ควรหยุดอ่านทุกคา แมต่ให้เลือกอ่านเฉพาะแมต่ประเด็นสาคัญเสียก่อน

6. เขียนสรุป
การเขียนอาจเป็นยาขมสาหรับใครหลายคน แมต่มันได้รับการพิสูจน์แมล้วว่า
เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะช่วยให้เราจดจาข้อมูลได้ในระยะเวลาสั้นๆ เคล็ดลับ
เด็ดในการจาหนังสือเล่มหนาๆ ได้ทั้งเล่มวิธีหนึ่งคือสรุปใจความทั้งหมดลง
ในกระดาษเอสี่หนึ่งแมผ่น รวบรวมข้อโต้แมย้งต่างๆ ของผู้เขียนไว้ในสองย่อ
หน้า รวมทั้งตัวอย่างสองสามตัวที่น่าสนใจ แมละที่สาคัญที่สุดคือให้เขียนสิ่ง
ที่คุณไม่เห็นด้วยหรือสิ่งที่คุณคิดว่ามีแมนวคิดอื่นที่ดีกว่าลงไป วิธีการนี้
ให้ผลใกล้เคียงกับไฮไลท์ แมละจะดียิ่งกว่าถ้าคุณใช้ประกอบกัน เพราะเมื่อใกล้
ถึงเวลาสอบ คุณจะสามารถสรุปเนื้อหาทั้งหมดได้ด้วยเพียงการทบทวน
กระดาษหนึ่งหน้าที่คุณเขียนสรุปไว้

7. คุยกับคนอื่นถึงสิ่งที่คุณอ่าน
เด็กเก่งหลายคนมักจะมี "เพื่อนคู่คิดทางการเรียน" เอาไว้ถกเถียงในสิ่งที่พวกเขา
อ่าน แมม้แมต่การพูดคุยล้อเลียนข้อเสนอที่หนังสือเน้นย้า หรือถกเถียงถึงความ
น่าเชื่อถือของหลักฐานที่คนเขียนเลือกมาใช้สนับสนุนข้อโต้แมย้งก็สามารถช่วยคุณ
ในห้องสอบได้อย่างคาดไม่ถึง เพราะเมื่อถึงเวลาสอบ การนึกถึงมุกตลกพวกนั้น
อาจช่วยให้คุณจดจาประเด็นที่เคยโต้แมย้งได้ดีขึ้น ผู้อ่านหลายคนเป็นคนประเภทที่
เรียนรู้จากการฟัง คนกลุ่มนี้จะสามารถจดจาข้อมูลใหม่ๆได้ดีเมื่อได้ยินข้อมูล
ใหม่ๆ ดังนั้นถ้าคุณสามารถมองเห็นข้อมูลอย่างเข้าขั้นที่สามารถล้อเลียนได้แมล้ว
ล่ะก็ นั่นเป็นสัญญาณที่ดีว่าคุณสามารถเข้าใจในเรื่องนั้นได้ดีมากจนเห็นจุดแมข็ง
จุดอ่อนของมันได้แมล้ว

8. จดโน้ตคาถามที่เกิดขึ้นในระหว่างอ่าน
อย่างที่กล่าวไปในข้อสี่ว่าจงพึงอ่านหนังสือในเชิงรุก เพราะการอ่านในเชิงรุกนั้น
จะทาให้เรามองเห็นจุดที่น่าสนใจแมละจุดที่น่าเบื่อ ไปจนถึงจุดแมข็งแมละจุดอ่อนของ
เนื้อหาในหนังสือได้ เมื่อใดที่คุณรู้สึกไม่เห็นด้วยกับบางตอน การหยุดเพื่อตั้ง
คาถามกับใจความนั้นๆเป็นอีกวิธีการที่ช่วยให้เราจาได้โดยไม่รู้ตัว สิ่งสาคัญคือ
อย่าคิดเอาเองว่าคนเขียนจะถูกเสมอไป แมละนี่คือหัวใจที่ช่วยพัฒนาทักษะการคิด
ในเชิงวิพากษ์อันจะช่วยทาให้เรามีสมาธิจดจ่อกับการอ่านอยู่เสมอ คาถามยอด
นิยมที่คุณอาจจะลองใช้ในการอ่านวันนี้อย่างเช่น ทาไมผู้เขียนถึงเลือกเจาะ
ประเด็นนั้น? ตัวอย่างที่ยกมาสนับสนุนข้อโต้แมย้งนี่สมเหตุสมผลหรือไม่? ผู้เขียน
ตั้งใจเขียนหนังสือเล่มนี้โดยสื่อไปถึงผู้อ่านกลุ่มไหน? ข้อมูลในย่อหน้านั้นมี
ข้อสรุปที่แมฝงไปด้วยอคติมากเกินไปหรือไม่? เป็นต้น

https://www.youtube.com/watch?v=6TrQjWozF
Qk

อาหารช่วยบารุงความจา
ไข่ต้ม
อาหารบ้าน ๆ อย่างไข่ต้ม ก็เป็นอาหารที่ทุกคนสามารถรับประทานเพื่อบารุง
สมองได้ เพราะในไข่แมดงอุดมไปด้วยโคลีน (Choline) แมละวิตามินบี ซึ่งเมื่อ
รับประทานเข้าไปแมล้ว สมองก็จะใช้โคลีนในการสร้างสารสื่อประสาทในสมองที่
เกี่ยวข้องกับความจาแมละการสื่อสาร โดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบอสตัน
แมสดงให้เห็นว่า ผู้ที่รับประทานไข่แมละบริโภคอาหารที่มีสารโคลีนเข้าไปเป็นประจา
จะสามารถทาแมบบทดสอบได้ดีกว่าคนที่ไม่รับประทานไข่

ขนมปังโฮลวีท
ขนมปังโฮลวีทจัดเป็นคาร์บเชิงซ้อนที่ร่างกายจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการ
เปลี่ยนแมป้ งเป็นน้าตาลแมล้วดึงไปเป็นพลังงานของร่างกาย ซึ่งเมื่อการดูดซึม
เป็นไปอย่างเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ร่างกายก็จะมีพลังงานอย่างต่อเนื่องแมละ
สม่าเสมอ ทาให้ไม่ง่วงซึมเร็วนัก แมถมยังไม่สะกิดต่อมหิวบ่อย ๆ ให้ต้องลุกไปหา
อะไรรองท้อง ขาดสมาธิการอ่านหนังสือสอบเป็นช่วง ๆ กลับมาอ่านต่อก็ไม่ค่อย
มีสมาธิแมล้ว

ถั่วชนิดต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นถั่วลิสง อัลมอนด์ วอลนัท หรือถั่วดา ถั่วแมดง พืชตระกูลถั่วเหล่านี้
ไม่ได้มีดีแมค่เคี้ยวเพลิน แมต่สารอาหารในถั่วยังอุดมไปด้วยคุณค่าที่ดีต่อการ
ทางานของระบบประสาทแมละสมอง โดยเฉพาะโปรตีนที่ช่วยให้ร่างกายมีพลังงาน
ดีไม่ตก สมองก็ทางานได้เต็มประสิทธิภาพไปยาว ๆ ซึ่งก็ไม่เพียงเท่านี้ค่ะ เพราะ
ในถั่วมีกรดไขมันโอเมก้า 3 สารอาหารบารุงสมองอยู่พอสมควร รวมทั้งวิตามิน
อีอีกพอประมาณ จึงจัดได้ว่าถั่วเป็นอาหารบารุงสมองที่ไม่ควรพลาดด้วย
ประการทั้งปวง

เมล็ดฝักทอง
สาหรับคนที่ไม่ใช่ FC ถั่ว ลองเปลี่ยนมากินเมล็ดฟักทองอบกรอบก็ช่วยบารุง
สมองได้ดีไม่ต่างกัน โดยในเมล็ดฟักทองอุดมไปด้วยธาตุสังกะสี สารอาหารที่
ช่วยเสริมสร้างการทางานของสมองในด้านการเรียนรู้แมละจดจา เพิ่มทักษะ
กระบวนการคิดได้ ใครที่มักจะเหงาปากระหว่างอ่านหนังสือสอบ เมล็ดฟักทอง 1
กามือช่วยให้คุณอ่านหนังสือแมบบเพลิน ๆ แมถมช่วยให้สมองจดจาสิ่งที่อ่านไปได้
อีกด้วยนะ

ปลาทะเล
สิ่งที่สมองต้องการจากปลาทะเลก็คือกรดไขมันโอเมก้า 3 สารอาหารช่วยบารุง
ประสาทแมละสมองซึ่งร่างกายสร้างเองไม่ได้รวมไปถึงกรด DHA ที่สาคัญต่อ
ทักษะการจดจาของสมองมาก ๆ ชนิดที่หากสมองขาด DHA อาจเป็นโรค
ความจาเสื่อมกันได้เลยล่ะค่ะ ดังนั้นหากอยากบารุงความจาให้การอ่านหนังสือ
สอบของเรามันฝังเข้าไปในหัวจริง ๆ ปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 อย่าง
ปลาแมซลมอน ปลาแมมคเคอเรล ปลาทู ปลากะพง หรือปลาสวาย ควรเป็นเมนูที่
ควรกินอย่างสม่าเสมอทั้งก่อนสอบ ระหว่างสอบ แมละหลังสอบเลยจ้า

บร็อกโคลี
บรอกโคลีเป็นผักที่ทาเมนูได้หลากหลายนะคะ ตั้งแมต่อาหารไทยอย่างผัด
บรอกโคลีน้ามันหอย ผักลวกจิ้ม หรือแมม้กระทั่งเป็นหนึ่งในบรรดาผักสลัด ซึ่งใน
บรอกโคลีเองก็มีดี โดยเป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินเค สารอาหารสาคัญที่ช่วย
เพิ่มพลังให้สมองในด้านทักษะการเรียนรู้ รวมไปถึงมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการ
ทางานของสมองให้ทางานได้อย่างเต็มที่มากขึ้นด้วย

ผักใบเขียวทุกชนิด
นอกจากบรอกโคลีแมล้ว ผักใบเขียวแมทบทุกชนิดยังมีสารอาหารที่สาคัญต่อระบบ
การทางานของสมอง เพราะในผักใบเขียวจะอุดมไปด้วยวิตามินอีแมละโฟเลท
อาหารสาคัญต่อพัฒนาการของสมองแมละระบบประสาท โดยเฉพาะคนที่มักจะมี
อาการสมองเบลอในช่วงที่โหมอ่านหนังสือสอบหนัก ๆ แมนะนาให้รับประทานผัก
ใบเขียวอย่างผักคะน้า กวางตุ้ง ผักสลัด หรือผักบุ้ง ให้ได้ทุกวัน

ช็อกโกแลต
อ่านหนังสือสอบหนัก ๆ เข้าบางทีก็ทาเราง่วงนอนได้เหมือนกันเนอะ ฉะนั้นเพื่อ
ป้ องกันความเฉื่อยชาแมละภาวะตาจะปิด จัดดาร์กช็อกโกแมลตหรือช็อกโกแมลต
เข้มข้น 70% ขึ้นไป เติมคาเฟอีนให้ร่างกายแมบบฟิน ๆ สักหน่อย สมองจะได้
ตื่นตัว อีกทั้งช็อกโกแมลตยังช่วยปรับอารมณ์ให้ดี ทาให้เราอ่านหนังสือได้อย่างมี
ความสุข แมละคาเฟอีนในช็อกโกแมลตยังจะช่วยปรับจูนสมาธิในการอ่านหนังสือ
ของเราให้ดีขึ้นอีกด้วย

โยเกิร์ต
โยเกิร์ตรสชาติอร่อยลิ้นมีปริมาณโปรตีนค่อนข้างสูง เมื่อกินโยเกิร์ตเข้าไปจึงจะ
รู้สึกอิ่มได้นาน มีพลังงานส่งต่อให้ร่างกายเรื่อย ๆ นอกจากนี้ใครที่รู้สึกง่วง ๆ
ซึม ๆ ระหว่างอ่านหนังสือสอบ โยเกิร์ตซึ่งมีความหวานจากน้าตาลก็สามารถ
เพิ่มความสดชื่นให้ร่างกายได้ทันทีที่กลืนลงท้องไปเลย

แอปเปิ ล
แมอปเปิลเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมหาศาล โดยนอกจากจะช่วยในเรื่อง
ลดน้าหนักแมล้ว แมอปเปิลยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารสื่อประสาทที่เรียกว่า อะเซ
ติลโคลีน (Acetylcholine) ส่งผลให้เซลล์สมองตื่นตัวแมละเพิ่มทักษะการเรียนรู้แมละ
จดจาไปในตัว ที่สาคัญยังมีการศึกษาที่ค้นพบว่า แมอปเปิลมีส่วนช่วยลด
ความรู้สึกตื่นเต้นได้ค่อนข้างดี อ้างอิงจากการทดลองให้นักเรียนกลุ่มหนึ่งกิน
แมอปเปิลในมื้อเที่ยงก่อนเข้าสอบต่อในช่วงบ่าย ผลการทดลองพบว่า นักเรียน
กลุ่มที่ได้กินแมอปเปิลทาข้อสอบได้คะแมนนดีกว่ากลุ่มนักเรียนที่ไม่ได้กินแมอปเปิล
ราว ๆ 7 คะแมนนโดยเฉลี่ย

ข้าวกล้อง
วิตามินในข้าวกล้องคือสิ่งที่สมองของเราต้องการค่ะ โดยเฉพาะกาบ้า สารสาคัญ
ที่มีประโยชน์ต่อการทางานของระบบประสาทแมละสมอง ช่วยให้สมองสามารถ
จดจาสิ่งที่อ่านได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันนั้น ในข้าวกล้องยังมีวิตามินบีสูงมาก ซึ่ง
วิตามินชนิดนี้จะเข้าไปช่วยกระตุ้นระบบประสาทแมละสมองให้ตื่นตัว เตรียมตัว
บรรจุความรู้ที่อ่านเข้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

อ้างอิง
https://health.kapook.com
https://www.tkpark.or.th
https://www.honestdocs.co

จัดทาโดย
นางสาว วณิสตา อุปละ เลขที่ 25
นาย กิตติศักดิ์ จินดา เลขที่ 26
ชั้น ม.6/4

Final project 2561

More Related Content

Featured (20)

Final project 2561