Outlook
มุมมองเศรษฐกิจปี 2025
ณ ไตรมาส 2 ปี 2025
Q2/2025
18 มิถุนายน 2025
3
Executive summary : Global economy
Elevated Global
Uncertainty
• SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกจะอยู่กับความไม่
แน่นอนสูงตลอดปี 2025 – 2026 จากนโยบายสหรัฐฯ
โดยเฉพาะกาแพงภาษีศุลกากร อีกทั้ง สงครามรัสเซีย-
ยูเครนยังไม่สิ้นสุดลง สงครามอิสราเอล-อิหร่านกลับ
รุนแรงขึ้น
• โลกจะเผชิญความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตรา
แลกเปลี่ยนและการลงทุนระหว่างประเทศมากขึ้น
เนื่องจากความเชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและ
สินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลงจากหลายปัจจัยภายในสหรัฐฯ
เอง ทั้งความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ปัญหาความยั่งยืน
ทางการคลัง และความเชื่อมั่นต่อระบบการตรวจสอบ
และถ่วงดุลอานาจที่อ่อนแอลง รวมถึงความพยายาม
ในการแทรกแซงธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
Global
Economic Outlook
• เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงมากในปีนี้
และปีหน้า โดยในปีนี้จะโตเหลือเพียง 2.3% ชะลอลง
มากจาก 2.8% ในปีก่อนด้วยผลของสงครามการค้า
ที่จะรุนแรงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 เป็นต้นไป
แม้ว่าภาพในปีนี้จะปรับดีขึ้นบ้างจากมุมมองเดิมที่ 2.2%
ตามการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ ที่คืบหน้า และการเร่ง
ผลิตและส่งออกก่อนได้รับผลกระทบจากภาษีนาเข้า
สหรัฐฯ
• สาหรับปี 2026 เศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มขยายตัวต่า
ใกล้เคียงปีนี้ โดยเศรษฐกิจหลักมีแนวโน้มฟื้นตัว
เล็กน้อย ยกเว้นจีนที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง
จากผลของสงครามการค้าและปัญหาเชิงโครงสร้าง
ที่มีอยู่แล้ว
Global
Monetary Policy
• ธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบาย
การเงินแตกต่างกันตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
และเงินเฟ้อ (ยกเว้นญี่ปุ่น) ท่ามกลางสงครามการค้า
ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
• ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย
เพียง 75 bps ในปี 2025-2026 เนื่องจากยังมี
ความเสี่ยงเงินเฟ้อสูงจากกาแพงภาษี
• ธนาคารกลางยุโรป (ECB) วัฏจักรการลดดอกเบี้ยใกล้
สิ้นสุด ปีนี้ปรับลดแล้ว 100 bps และมีแนวโน้มลดอีก
25 bps จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่ต่าลง
• ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย
เพิ่มเติมสู่ระดับ 1% ในปี 2026 เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ
4
Executive summary : Thai economy
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่า
ในช่วง 2 ปีข้างหน้า
• SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่า
ที่ 1.5% และ 1.4% ในปี 2025 และ 2026 ตามลาดับ
ผลกระทบจากสงครามการค้า ความไม่แน่นอนในระดับสูง
แผลเป็นเศรษฐกิจที่มีอยู่เดิมและข้อจากัดด้านการคลัง
โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจเห็นเศรษฐกิจไทย
โตเฉลี่ยต่ากว่า 1%
• นักท่องเที่ยวต่างชาติลดเหลือ 34.2 ล้านคน หดตัว
จากปีก่อน ตามจานวนนักท่องเที่ยวจีนที่หดตัวและการ
ระมัดระวังใช้จ่ายท่องเที่ยวตามอุปสงค์โลก
• การลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง ความไม่แน่นอน
ของนโยบายการค้าโลก และความเชื่อมั่นภาคธุรกิจปรับ
ลดลง
• การบริโภคภาคเอกชนจะชะลอลงมาก สะท้อนจาก
ความเปราะบางด้านการจ้างงานและรายได้ ท่ามกลาง
ภาวะการเงินที่ยังตึงตัว
แนวโน้มดอกเบี้ยของไทย
จะยังปรับลดลง
• เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วง Deleverage ในระยะ 2-3 ปี
ข้างหน้า เพื่อลดความเสี่ยงจากภาระหนี้ต่อ GDP ที่สูงขึ้น
มากจากผลกระทบ COVID-19 ทั้งนี้สินเชื่อรายย่อยที่โตต่า
ความระมัดระวังในการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนจะสร้าง
แรงกดดันเพิ่มเติมต่ออุปสงค์ในประเทศ
• ดอกเบี้ยนโยบายไทยจะยังเป็นขาลงในระยะข้างหน้า
ซึ่งจะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ และเอื้อต่อ
กระบวนการ Deleveraging หนี้ครัวเรือนและธุรกิจ แม้
ประสิทธิภาพในการกระตุ้นการใช้จ่ายอาจกาจัดในภาวะ
ที่ความไม่แน่นอนสูง
ธุรกิจไทยเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น
แต่โอกาสในบาง Subsegment ยังพอมี
• แนวโน้มภาวะธุรกิจยังเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ และจีน
กลุ่มที่พึ่งพากาลังซื้อในประเทศฟื้นตัวได้ช้า โดยเฉพาะ
ตลาดบ้านและรถยนต์ กลุ่มที่เผชิญปัญหาสินค้าจีน
ทะลักรุนแรงขึ้น ขณะที่กลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยว
มีปัจจัยลบมากขึ้นส่งผลต่อแนวโน้มการฟื้นตัว
• บาง Subsegment ของธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตได้
จากการปรับตัวพัฒนาสินค้าและบริการให้ยังสามารถ
ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคศักยภาพสูง
อาทิ ธุรกิจที่เน้นนักท่องเที่ยวกลุ่มเติบโตใหม่ ธุรกิจที่มี
สินค้าและบริการมีเอกลักษณ์เฉพาะ กลุ่มที่ตอบโจทย์
Mega trends ได้แก่ เทรนด์ health and wellness
5
เศรษฐกิจโลก
6
การเจรจาการค้าสหรัฐฯ คืบหน้า
แต่ความไม่แน่นอนยังสูงกดดันเศรษฐกิจโลก
7
ความไม่แน่นอนของโลกและความไม่แน่นอนนโยบายการค้าโลก
หน่วย : ดัชนี
ดัชนีความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk Index, GPR)
หน่วย : ดัชนี
72,733.5
77,997.7
1,151.4
723.1
0
200
400
600
800
1000
1200
1400
1600
1800
0
10,000
20,000
30,000
40,000
50,000
60,000
70,000
80,000
90,000
1998q4
2000q2
2001q4
2003q2
2004q4
2006q2
2007q4
2009q2
2010q4
2012q2
2013q4
2015q2
2016q4
2018q2
2019q4
2021q2
2022q4
2024q2
May-25
World Uncertainty Index (WUI) (LHS)
Trade Policy Uncertainty Index (TPU) (RHS)
โลกกาลังเผชิญความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจในระดับสูงหลายมิติ นโยบายการค้าของ Trump และความเสี่ยง
ด้านภูมิรัฐศาสตร์
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Caldara, Dario, Matteo Iacoviello, Patrick Molligo, Andrea Prestipino, and Andrea Raffo (2020), “The Economic Effects of Trade Policy Uncertainty,” Journal of Monetary Economics, 109, pp.38-59,
Hites Ahir & Nicholas Bloom & Davide Furceri, 2022. "The World Uncertainty Index และ Chief Economist Survey เดือน เม.ย. 2025 โดย World Economic Forum (สารวจ Chief Economist 38 คนทั่วโลก)
ผลสารวจ Chief Economist Survey โดย WEF (May 2025)
หน่วย : % Chief Economist ผู้ตอบแบบสอบถาม
3
16
82
0%
10%
20%
30%
40%
50%
60%
70%
80%
90%
100%
ความไม่แน่นอนในปัจจุบัน
ต่ามาก ต่า ปานกลาง สูง สูงมาก
0
100
200
300
400
500
600
05/98
01/00
09/01
05/03
01/05
09/06
05/08
01/10
09/11
05/13
01/15
09/16
05/18
01/20
09/21
05/23
01/25
Geopolitical Risk Index
ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์มีแนวโน้ม
เพิ่มขึ้นในเดือน มิ.ย. จากสงคราม
อิสราเอลที่รุนแรงขึ้น
May
158.0
Apr
141.1
8
สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนาเข้ากับ 60 ประเทศ/กลุ่มเศรษฐกิจ
ที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ สูง ในอัตราแตกต่างกัน
เลื่อนบังคับใช้ 90 วัน มีผล 9 ก.ค.
สาหรับจีนจัดเก็บ 10% ถึง 12 ส.ค.
(เป็นอัตราสูงสุดที่เก็บเพิ่มจาก Universal tariffs)
สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนาเข้า 10%
กับสินค้าจากทุกประเทศ
มีผลแล้ว 5 เม.ย.
(ไม่ใช้กับ Mexico & Canada)
ศาลอยู่ระหว่างไต่สวนอานาจออกนโยบาย Tariffs ของทรัมป์ Policy uncertainty ยิ่งสูงขึ้น
Trump’s Tariff policies under IEEPA
ชนะศาลอุทธรณ์/ฎีกา
หรือ
รัฐสภาเห็นชอบ
Sec.122 (BOP deficit)
แทน Universal Tariff
up to 15%, 150 days
Sec.301 (Unfair trade)
ใช้อานาจประธานาธิบดี
สั่ง USTR ให้ทา
Country Specific Tariffs
Sec.232
ขยายประเภท
Product Specific
Tariffs
Trade policy uncertainty
รูปแบบกาแพงภาษี กรอบระยะเวลา
และความต่อเนื่องการเจรจาการค้า
Probability of worse case
สหรัฐฯ มีกลไก check & balance
ลดอานาจการต่อรองของ Trump
Legal validation The Trade Acts 1974
นโยบายกาแพงภาษีนาเข้าของสหรัฐฯ ตั้งแต่ต้นปี 2025*
Reciprocal tariffs
Universal tariffs*
Specific tariffs
Products specific
Semi-conductor / Electronics 25% Agri
50% Steel
Aluminum
25% Auto
& Parts**
20% Medical
Country specific
Canada Mexico 25%
China 20%
รัฐบาลสหรัฐฯ เดินหน้าตั้งนโยบายกาแพงภาษีนาเข้าและเร่งเจรจาการค้า แม้ติดปัญหาอานาจทางกฎหมาย ยิ่งทาให้
ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสูงขึ้น แต่สะท้อนโอกาสเกิดกรณีเลวร้ายลดลง เพราะอานาจ Trump อาจมีจากัด
หมายเหตุ : *กล่องสีแดง (มีผลบังคับใช้แล้ว) กล่องสีทอง (มีผลบังคับใช้บางส่วน) และกล่องสีเทา (ประกาศแล้ว แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้)
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ The White House, Goldman Sachs, FT, Bloomberg ,CNBC, BBC, Xinhua, CNN และ Reuters
Alternative
IEEPA
9
Timeline of US Tariffs
สถานการณ์หลังพ้นช่วงเจรจา 90 วันยังไม่แน่นอนสูง แต่สหรัฐฯ มีแนวโน้มใช้ Product specific tariff มากขึ้น
คู่ค้าจึงหันมาให้ความสาคัญกับการเจรจารายสินค้า เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมสาคัญในประเทศ
หมายเหตุ : *งานศึกษาของ Peterson Institute for International Economics (PIIE) พบว่าสหรัฐใช้เวลาเฉลี่ย 18 เดือนตั้งแต่เปิดเจรจาถึงลงนามข้อตกลง และ 45 เดือนตั้งแต่เปิดเจรจาจนถึงข้อตกลงมีผลบังคับใช้
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bloomberg, Reuters และ Peterson Institute for International Economics
ผลลัพธ์ของการเจรจาหลัง 90 วันยังไม่มีความแน่นอนสูง
• การหาข้อสรุปการเจรจาภายใน 90 วันเป็นไปได้ยาก (ในอดีตใช้เวลาเฉลี่ย 1.5 ปี*) แต่สหรัฐส่งสัญญาณ
ว่าอาจขยายเวลาเจรจากับ 18 คู่ค้าสาคัญที่เจรจาด้วย Good faith
• อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะกลับมาขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ในอัตราสูงสุดยังมีอยู่ ซึ่งจะทาให้
ประเทศเอเชียได้รับผลกระทบมาก เพราะอัตราภาษีสูงและพี่งพาการส่งออกสูง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ
อาจเผชิญเงินเฟ้อสูงขึ้น หลายประเทศอาจเผชิญแรงกดดันเงินฝืดจากสินค้าจีนราคาถูก
4 มิ.ย.
• แจ้งคู่ค้าให้ยื่น Best trade deal ให้สหรัฐฯ
11 มิ.ย. ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ มีคาสั่งให้มาตรการภาษีของทรัมป์มีผลบังคับใช้ต่อ
ได้และจะเร่งพิพากษาประเด็นการใช้อานาจเกินขอบเขตภายใน ก.ค.
8 ก.ค.
• พ้นช่วงระงับ Reciprocal tariffs สหรัฐฯ อาจเก็บอัตราตาม Liberation day
• Deadline ของ EU ในการขอเจรจาสหรัฐฯ เพื่อลดภาษีเฉพาะสินค้า 50%
14 ก.ค. พ้นช่วงระงับขึ้นภาษีตอบโต้ของ EU ต่อสหรัฐฯ
12 ส.ค. พ้นช่วงลดอัตราภาษีนาเข้าชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯ-จีน
การเจรจาภาษีในระยะข้างหน้า มีแนวโน้มเน้นรายสินค้า (Product Specific Tariff) มากขึ้น
ความไม่แน่นอนด้านกฎหมายอาจทาให้สหรัฐฯ
ใช้ภาษีรายสินค้ามากขึ้น 25% 50%
การเจรจากับ UK สะท้อนว่าประเทศอื่น ๆ
สามารถเจรจาเพื่อขอปรับลดภาษีรายสินค้าได้
หลายประเทศให้ความสาคัญกับการเจรจา Product specific tariffs มากขึ้น เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์
เน้นอุตสาหกรรม Labor-intensive ตั้งทีมเจรจาเฉพาะกิจครอบคลุม
ประเด็นการค้าและการลงทุน
Steel & Aluminum
ไม่ลด Universal tariff 10%
ลด Product specific tariff
25% -> 0%
เฉพาะ 1 แสนคันแรก/ปี
UK เปิดตลาดภายในประเทศ เช่น เนื้อวัว เอทานอล
เก็บภาษีจีนรวม 55% จีนเก็บสหรัฐ 10%
ลด มาตรการควบคุมการส่งออกแม่เหล็ก
และแร่ธาตุหายากให้สหรัฐฯ
25% -> 10%
อาจใช้การลงทุนในสหรัฐฯ ต่อรอง
10
ช่องทางประเมินผลกระทบของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจ
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ BCG
ผลกระทบด้านอุปทาน
ศุลกากรนาเข้า
ราคา
การบริโภค
การขยายตัวเศรษฐกิจ
ผลกระทบด้านอุปสงค์
การนาเข้าของสหรัฐฯ
ส่งออก
การขยายตัวเศรษฐกิจ
ราคา
ผลกระทบด้านอุปสงค์
ศุลกากรของสินค้าสหรัฐฯ
ราคาโดยเปรียบเทียบ
การส่งออก
การขยายตัวเศรษฐกิจ
ผลกระทบด้านอุปทาน
ศุลกากรของสินค้าสหรัฐฯ
ราคา/เงินเฟ้อ
การบริโภค
การขยายตัวเศรษฐกิจ
ผลกระทบทางตรง ผลกระทบทางอ้อม
1. ความไม่แน่นอนสูงขึ้น
2. สินค้าต่างชาติไหลทะลักเข้าประเทศ
3. ความเชื่อมั่นลดลง
4. ความมั่งคั่งลดลง
5. ทานโยบายการเงินที่เหมาะสมได้ยาก
6. ประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันแต่ละประเทศเปลี่ยนไป
เศรษฐกิจสหรัฐฯ เศรษฐกิจอื่น ๆ
ศุ
ล
กากรสหรั
ฐ
ฯ
ศุ
ล
กากรตอบโต้
จากประเทศอื
่
น
%
11
หน่วย : จานวนนโยบายใหม่ในช่วง 1 ม.ค. – 17 มิ.ย. ของแต่ละปี หน่วย : % CEO ผู้ตอบแบบสอบถาม
22
54
24
0%
10%
20%
30%
40%
50%
60%
70%
80%
90%
100%
ยกเลิกแผนการลงทุนเดิม ชะลอแผนการลงทุน
ไม่ยกเลิกหรือชะลอการลงทุน
76% ของ CEO ทั่วโลก
ประเมินว่าจะชะลอ/ยกเลิก
บางโครงการลงทุนจากเหตุผล
ภูมิรัฐศาสตร์และนโยบาย
การค้าโลก
หน่วย : US ดัชนี > 0 (LHS), จีน ดัชนี > 50 (RHS) สะท้อนการขยายตัว
-6.7
53.3
40
45
50
55
60
65
70
75
80
85
90
-20
-10
0
10
20
30
40
50
Jul-19
Feb-20
Sep-20
Apr-21
Nov-21
Jun-22
Jan-23
Aug-23
Mar-24
Oct-24
May-25
US China (RHS)
ความไม่แน่นอนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกผ่านหลายช่องทาง โดยเฉพาะการค้าและการลงทุนในประเทศ/ต่างประเทศ
ภาคธุรกิจทั่วโลกชะลอหรือยกเลิกแผนการลงทุนบางส่วน ขณะที่ความเชื่อมั่นในการลงทุนใหม่ปรับลดลงแรง
หมายเหตุ : *สหรัฐฯ Empire State Manufacturing Survey ของผู้ประกอบการในนิวยอร์กเกี่ยวกับ Future Capital Expenditures; จีน Cheung Kong Graduate School of Business สารวจความเห็นผู้ประกอบการต่อการลงทุนสินทรัพย์ถาวรในอนาคต
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Global Trade Alert และ Global EY-Parthenon CEO Outlook Survey เดือน พ.ค. 2025 (สารวจ CEO ทั่วโลก 1,200 คน)
นโยบาย Discriminatory ใหม่ต่อการค้าและอุตสาหกรรมทั่วโลก ผลสารวจ Global CEO Outlook Survey โดย EYP (May 2025) ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจต่อการลงทุนในอนาคต*
161
133
137
276
221
267
304
317
322
484
707
1029
1275
1518
1428
1343
0
200
400
600
800
1000
1200
1400
1600
2010
2011
2012
2013
2014
2015
2016
2017
2018
2019
2020
2021
2022
2023
2024
2025
โลกมีการใช้นโยบายกีดกัน
ระหว่างประเทศมากขึ้น
ในยุคสงครามการค้า
12
หน่วย : %MOM
-19.9
-25
-20
-15
-10
-5
0
5
10
15
20
25
Jan-25 Feb-25 Mar-25 Apr-25
Total India China Germany Japan
• การค้าโลกเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว การเร่งนาเข้า (Front loading) เริ่มอ่อนแรง การนาเข้าของสหรัฐฯ จากคู่ค้าหลักปรับลดลงมากในเดือน เม.ย. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อโลกด้าน New orders และ Export orders หดตัว สอดคล้องกับ
เครื่องชี้ปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ขาเข้าท่าเรือสหรัฐฯ ที่เริ่มลดลง สะท้อนว่ากาแพงภาษีทรัมป์เริ่มส่งผลต่อการค้าโลกแล้ว ทั้งนี้การนาเข้าสหรัฐฯ เดือน มิ.ย. อาจปรับตัวดีขึ้นบ้างชั่วคราวหลังสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงชั่วคราวกับจีน
• WTO ประเมินว่าปริมาณการค้าสินค้าโลกหดตัว -0.2% ในปี 2025 ก่อนจะขยายตัวได้ 2.5% ในปี 2026 ชะลอลงจาก 2.9% ในปี 2024 (ข้อมูลเดือน เม.ย. 2025)
• ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและเศรษฐกิจโลกส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในสหรัฐฯ และจีนในระยะข้างหน้า
• แม้ปัจจุบันสัญญาณเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจะเห็นชัดเจนขึ้นในด้านการค้าและการลงทุน ผลกระทบส่งผ่านไปสู่กาลังซื้อผู้บริโภคและตลาดแรงงานอาจเกิดขึ้นตามมา
200,000
250,000
300,000
350,000
400,000
450,000
500,000
550,000
01/2019
07/2019
01/2020
07/2020
01/2021
07/2021
01/2022
07/2022
01/2023
07/2023
01/2024
07/2024
01/2025
หน่วย : TEU (ความจุของตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต)
-13.4%YOY
พ.ค. 25
49.1
48.0
48.4
50
46
47
48
49
50
51
52
Jan-24
Mar-24
May-24
Jul-24
Sep-24
Nov-24
Jan-25
Mar-25
May-25
New orders Export orders
Backlogs of work
หน่วย : ดัชนี > 50 สะท้อนการขยายตัว
เครื่องชี้กิจกรรมการค้าโลกเริ่มชะลอตัว โดยการนาเข้าของสหรัฐฯ และยอดคาสั่งซื้อใหม่ปรับลดลง ขณะที่ความ
เชื่อมั่นในการลงทุนของภาคธุรกิจในสหรัฐฯ และจีนอ่อนแรงลง อาจกระทบการจ้างงานและการบริโภคในระยะถัดไป
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ S&P Global, JP Morgan, Port of Long Beach, US Census Bureau, Federal Reserve of New York, WTO และ CEIC
สหรัฐฯ นาเข้าจากคู่ค้าหลักลดลงมากในเดือน เม.ย. 2025 ตู้สินค้าขาเข้าที่บรรจุแล้ว ณ Port of Long Beach ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อของโลก แยกองค์ประกอบหลักภาคการผลิต
13
ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกปี 2025 (รายวัน)
หน่วย : ดัชนี (1 ม.ค. = 100)
2 เม.ย.ประกาศนโยบาย
Reciprocal tariff
20 ม.ค. ทรัมป์
สาบานตน
9 เม.ย.เลื่อนReciprocal
tariff 90 วัน
12 พ.ค. 1 วันก่อน อิสราเอล
เปิดฉากโจมตีอิหร่าน
13/06
• ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกในกลุ่มพลังงาน เกษตร
และโลหะ มีทิศทางปรับตัวลงอย่างชัดเจน
หลังทรัมป์ประกาศเก็บภาษีตอบโต้ จากการที่
ตลาด Price in ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจาก
การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
• ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ลดลง ส่งผลให้ต้นทุน
พลังงานและโลหะของผู้ประกอบการลดลง แต่จะ
กดดันราคาสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกรไทย
• อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยง จากความ
ขัดแย้งระหว่างอิสราเอล – อิหร่าน ที่จะส่งผลให้
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกในกลุ่มพลังงานปรับตัว
เพิ่มขึ้น และส่งผลต่อเนื่องให้ราคาสินค้าเกษตร
ที่ความต้องการใช้อิงกับราคาพลังงาน เช่น ยางพารา
และปาล์มน้ามัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
80.0
81.9
79.1
83.7
93.5
99.4
98.7
131.7
60
70
80
90
100
110
120
130
140
01/01
07/01
13/01
19/01
25/01
31/01
06/02
12/02
18/02
24/02
02/03
08/03
14/03
20/03
26/03
01/04
07/04
13/04
19/04
25/04
01/05
07/05
13/05
19/05
25/05
31/05
06/06
12/06
น้ามันดิบ brent (ICE) ก๊าซธรรมชาติ (TCM)
ยางพารา (TSR 20 SICOM) น้ามันปาล์มดิบ (MDE)
น้าตาลทรายดิบ (No. 11 ICE) สินแร่เหล็ก
อะลูมิเนียม (LME) ทองคา (LBMA)
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก (ยกเว้นทองคา) ลดลงอย่างชัดเจนหลังทรัมป์ประกาศเก็บภาษีตอบโต้ อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไป
ต้องจับตาความเสี่ยงจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ซึ่งจะผลักดันให้ราคาสินค้าพลังงานและเกษตรเพิ่มขึ้น
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bloomberg
14
ช่องทางส่งผ่านผลกระทบของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน
ช่องแคบฮอร์มุซเป็นจุดขนส่งหลักด้านพลังงานของโลกโดยเฉพาะน้ามันและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)
• 20.9% ของการขนส่งน้ามันโลกผ่านเส้นทางนี้
• การขนส่ง LNG มากกว่า 20% ของโลกในปี 2024 ส่งผ่านช่องทางนี้ โดยเฉพาะจากกาตาร์
ดังนั้น หากความขัดแย้งรุนแรงขึ้นจนช่องแคบฮอร์มุซถูกปิดลงอาจกระทบราคาพลังงานและทาให้ต้นทุนการผลิต
สูงขึ้นทั่วโลก เพิ่มความเสี่ยงเงินเฟ้อและซ้าเติมเศรษฐกิจโลกที่เผชิญผลกระทบจากมาตรการภาษีนาเข้าของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม เป็นความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก (Tail risk)
ราคาพลังงานเร่งตัวกดดันเงินเฟ้อ
และกระทบต่อการใช้จ่าย
ความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทาน
ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ภาคธุรกิจ
ชะลอ/ยกเลิกการลงทุนบางส่วน
ความไม่แน่นอนของนโยบายทางเศรษฐกิจ
นักท่องเที่ยวอาจชะลอตัว
ราคาน้ามันมีโอกาสปรับเพิ่มสูงขึ้นในระยะสั้น
จากความกังวลต่อความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ แต่
จะทยอยปรับลดลงในปี 2026 เนื่องจาก OPEC
มีแผนเพิ่มกาลังการผลิตราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน
• ธนาคารกลางอาจเผชิญความท้าทายใน
การดาเนินนโยบายการเงิน ท่ามกลาง
ภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอแต่เงินเฟ้อมี
แนวโน้มเร่งตัวขึ้น (Stagflation)
• ความเสี่ยงด้านการคลังโลกอาจเพิ่ม
สูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลต่าง ๆ อาจใช้
นโยบายพยุงค่าครองชีพหรือกระตุ้น
เศรษฐกิจ
หลายสายการบินยกเลิกเที่ยวบินจากการปิด
น่านฟ้า และการเปลี่ยนเส้นทางบินเพื่อ
หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง
หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซจะกระทบต่อ
ระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งทางเรือ
ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจลดลง
ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่านเพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ที่จะได้รับผลกระทบผ่านราคาน้ามันและความไม่แน่นอน
ที่เพิ่มขึ้น ซ้าเติมผลภาษีทรัมป์
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ TradeMap, Bloomberg และ IMF
คาดการณ์ราคาน้ามัน Brent ในสถานการณ์สงครามอิสราเอล-อิหร่านต่าง ๆ
หน่วย : ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล, เฉลี่ยทั้งปี
40
60
70
80
90
100
110
41
2020
71
2021
100
2022
82
2023
63
63
2024
76
99
2026F
1 Based case
71
80
EIC forecast price
before Isarel attack Iran
67
80
2 Iran infra be destroyed
/ sanction Iran
89
80
3. Blocking
the Strait of Hormuz
Annual avg brent price
(2015-2019)
80
80
80
2025F
Scenario
Q1/
2025
Q2/
2025
Q3/
2025
Q4/
2025
Avg
2025
Avg
2026
1.ความขัดแย้งจากัดในพื้นที่่กระทบสินทรัพย์
พลังงานเล็กน้อย Base case
75 66.7 73 70 71 63
2.การโจมตีกระทบการส่งออกน้ามันของอิหร่าน
หรือ UNSC กลับมาใช้มาตรการคว่าบาตรแบบเต็ม
รูปแบบ
75 66.7 89 89 80 76
3. ความขัดแย้งลุกลามสู่สงครามภูมิภาค และปิด
ชองแคบฮอร์มุซ
75 66.7 89 124 89 99
15
GDP Growth
(%YOY)
2023 2024
2025F
2026F
Apr 25 Jun 25
Global 2.8% 2.8% 2.2% 2.3% 2.3%
US 2.9% 2.8% 1.3% 1.5% 1.5%
Eurozone 0.4% 0.8% 0.7% 0.7% 1.1%
Japan 1.5% 0.1% 0.8% 0.9% 0.9%
China 5.4% 5.0% 4.1% 4.5% 3.9%
India 7.7% 6.4% 6.0% 6.2% 6.4%
ASEAN-5 4.4% 5.3% 4.6% 4.6% 4.7%
• เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอแรงในปี 2025-2026 จากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น ปัญหา
เฉพาะในบางประเทศ เช่น ปัญหาเชิงโครงสร้างในจีน แผลเป็นโควิด ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์
• เงินเฟ้อโลกปี 2025-2026 มีแนวโน้มชะลอลง ตามภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ามันโลก โดยเฉพาะ
เงินเฟ้อยูโรโซนที่กลับเข้ากรอบ 2% แล้ว ยกเว้นเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงจากกาแพงภาษี
เศรษฐกิจ เป้าหมาย ประเภท สูงสุดหลังโควิด Jan-25 Feb-25 Mar-25 Apr-25 May-25
US
(PCE)
Headline
& Core 2%
Headline 7.2 2.5 2.6 2.3 2.1
Core 5.6 2.7 2.9 2.7 2.5
China
(CPI)
Headline
2%
Headline 5.4 0.5 -0.7 -0.1 -0.1 -0.1
Core 1.5 0.6 -0.1 0.5 0.5 0.6
Eurozone
(HICP)
Headline
2%
Headline 10.6 2.5 2.3 2.2 2.2 1.9
Core 5.7 2.7 2.6 2.4 2.7 2.3
Japan
(CPI)
Headline
2%
Headline 4.4 4.0 3.6 3.6 3.5
Core 4.3 2.6 2.6 2.8 3.0
อัตราเงินเฟ้อรายประเทศสาคัญ
หน่วย : %
0
0
27
0
31
42
21
54
30
79
14
0
0% 20% 40% 60% 80% 100%
สหรัฐฯ
ยุโรป
จีน
ต่ามาก ต่า ปานกลาง สูง สูงมาก
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ IMF, WTO, Bloomberg, CEIC, และ Chief Economist Survey เดือน เม.ย. 2025 โดย World Economic Forum (สารวจ Chief Economist 38 คนทั่วโลก)
SCB EIC มองเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวแรงจากนโยบายกีดกันการค้าและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ แม้ Hard
data ยังไม่แย่ลงชัด เงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มทยอยลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ยกเว้นสหรัฐฯ เสี่ยงเผชิญเงินเฟ้อสูง
แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2025 - 2026 โดย SCB EIC (ณ มิ.ย. 2025)
ผลสารวจ Chief Economist Survey โดย WEF (May 2025) ประเด็นภาวะเงินเฟ้อใน 2025H2
หน่วย : % Chief Economist ผู้ตอบแบบสอบถาม
79% มองเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะยังสูง
ไม่มีผู้มองว่าเงินเฟ้อจะชะลอลง
มีเพียง 14% ที่มองว่าเงินเฟ้อ
ยุโรปจะยังคงสูง
เงินเฟ้อจีนมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่า/
ต่ามากต่อเนื่อง
16
ตลาดการเงินโลกผันผวน ความเชื่อมั่น
ในการลงทุนสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลง
17
คาดการณ์หนี้ภาครัฐสหรัฐฯ โดยสานักวิจัยต่าง ๆ
หน่วย : ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
30
40
50
60
2025
2026
2027
2028
2029
2030
2031
2032
2033
2034
The Budget Lab at Yale
Congressional Budget Office
Penn Wharton Budget Model
Tax Foundation
> 120 %GDP
ราว 100%GDP
• Moody’s ปรับลดเครดิตเรตติงสหรัฐฯ จากระดับสูงสุดด้วยเหตุผลด้าน
การคลัง
• Trump 2.0 จะส่งผลให้หนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นอีก โดยขาดดุลการคลังสูง
อีกทั้ง ลดภาษีในประเทศครั้งใหญ่ One Big Beautiful Bill Act (OBBBA)
• สินทรัพย์สหรัฐฯ มีความเสี่ยงหาก OBBBA ผ่านวุฒิสภา ซึ่ง Sec. 899
อนุญาตให้สหรัฐเก็บภาษีกับ Passive income ของบริษัทต่างชาติ
ที่ลงทุนในสหรัฐด้วยอัตราไม่เกิน 20% ของรายได้ต่อปี อาจส่งผลให้
ความน่าดึงดูดของการลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลง
• ความเชื่อมั่นระบบสถาบันและความเป็นอิสระของ Fed ลดลง
0%
5%
10%
15%
20%
01/24 03/24 05/24 07/24 09/24 11/24 01/25 03/25 05/25
DXY THB CNY JPY
2 Apr
แนวโน้มการ De-dollar ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
1 USD อาจมีความสาคัญในฐานะ Safe Haven น้อยลง ขณะที่สกุล
เงินหลักอื่นอย่าง EUR JPY CHF จะมีบทบาทมากขึ้น
2 ความน่าดึงดูดของสินทรัพย์สหรัฐลดลงจากความพยายามเก็บภาษี
Passive income ของนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในสหรัฐฯ
3 USD และสินทรัพย์สหรัฐฯ อาจมีความผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะต่อ
ข้อมูลด้านการคลังสหรัฐฯ
4 สหรัฐฯ อาจพยายาม De-value สกุลเงิน USD ในการเจรจาภาษีกับ
คู่ค้า ขณะที่พยายามคงความสาคัญของสกุลเงิน USD
3.5
4
4.5
5
5.5
98
100
102
104
106
108
110
01/01/25
15/01/25
29/01/25
12/02/25
26/02/25
12/03/25
26/03/25
09/04/25
23/04/25
07/05/25
21/05/25
04/06/25
UST 30Y (RHS)
ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY) และผลตอบแทนพันธบัตร
รัฐบาลระยะ 30 ปี (UST 30Y)
หน่วย : Index (LHS), % (RHS)
2 Apr
DXY
การอ่อนค่าลงของดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ที่สวนทางกับอัตรา
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว สะท้อนความเชื่อมั่น
ของนักลงทุนต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ที่ปรับลดลง จากการประเมินของ
ตลาดการเงินว่าสินทรัพย์สหรัฐฯ มีความเสี่ยงสูงขึ้นจากความไม่แน่นอน
ของนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมายังนโยบายการเงินที่มี
แนวโน้มไม่แน่นอนสูงขึ้น
ความผันผวนของค่าเงินภูมิภาคเพิ่มขึ้นหลัง Liberation Day
หน่วย : % annualized, Exponentially Weighted Moving Average
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Peter G. Peterson Foundation, The Budget Lab at Yale, Congressional Budget Office, Penn Wharton Budget Model, Tax Foundation, IMF, Moody’s, Fitch Ratings, S&P Ratings และ Bloomberg
นโยบาย Trump 2.0 กระทบต่อความเชื่อมั่นในค่าเงินและสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลง ส่งผลให้โลกมีแนวโน้มเผชิญ
ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและการลงทุนระหว่างประเทศมากขึ้น
18
4
3.75
3
2.5
2
1.75 1.75 1.75 1.75 1.75 1.75
1.8 1.8
1.5 1.5 1.4 1.3 1.2 1.1 1.1 1.0 1.0
0
1
2
3
4
5
6
23H2
24H1
24H2
25Q1
25Q2F
25Q3F
25Q4F
26Q1
26Q2
26Q3
26Q4
ECB (Deposit rate)
PBOC (7-days reverse repo)
-0.1
0.1
0.25
0.5 0.5 0.5 0.5
0.75 0.75
1 1
-1
0
1
2
23H2
24H1
24H2
25Q1
25Q2F
25Q3F
25Q4F
26Q1
26Q2
26Q3
26Q4
• Fed มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยเพียง 25 bps ในปี 2025 และ
50 bps ในปี 2026 เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวไม่รุนแรงนักในช่วงปี
2025-2026 และยังมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจาก
นโยบายกาแพงภาษีและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
• BOJ มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี ส่งผลให้ทั้งปีนี้ BOJ
ขึ้นดอกเบี้ยรวมเพียง 25 bps (เดิมคาด 50 bps) จากความกังวลด้าน
เศรษฐกิจในภาวะความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการส่งออกไปสหรัฐฯ
• BOJ จะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยต้นปีหน้า หลังผลเจรจาค่าจ้างของ
สหภาพแรงงานปีนี้มีผลต่อวัฏจักรเชิงบวกของค่าจ้างและเงินเฟ้อ
• วัฏจักรการลดดอกเบี้ยของ ECB ใกล้สิ้นสุด ดอกเบี้ยลดลงแล้ว
100 bps และมีแนวโน้มลดอีก 25 bps ภายในปีนี้
• PBOC มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพียง 30 bps ในปีนี้ (เดิมมอง 50 bps)
จากการระงับภาษีชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯ-จีน 90 วัน
โดยยังส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องอยู่
ในปี 2026 PBOC มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมสู่ 1%
ช่วงคาดการณ์ ช่วงคาดการณ์
5.4 5.4
4.4 4.4 4.4 4.4
4.1
3.9
3.6 3.6 3.6
1
2
3
4
5
6
23H2
24H1
24H2
25Q1
25Q2F
25Q3F
25Q4F
26Q1
26Q2
26Q3
26Q4
ช่วงคาดการณ์
คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ โดย SCB EIC
หน่วย : % ต่อปี
คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายญี่ปุ่น โดย SCB EIC
หน่วย : % ต่อปี
คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายจีนและยูโรโซน โดย SCB EIC
หน่วย : % ต่อปี
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของธนาคารกลางสหรัฐฯ, ธนาคารกลางยุโรป, ธนาคารกลางญี่ปุ่น, ธนาคารกลางจีน และ Bloomberg
ธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงิน (ยกเว้นญี่ปุ่น) ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
แต่ระดับการผ่อนคลายจะแตกต่างกัน ตามความเสี่ยงจากสงครามการค้าและยังมีความไม่แน่นอนสูง
19
เศรษฐกิจไทย
20
เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่าต่อเนื่อง
ผลจากสงครามการค้า ซ้าเติมความเปราะบางภายในประเทศ
21
Medium-term outlook
(Baseline)
Unit 2024
2025F
2026F
Mar Apr Jun
GDP %YOY 2.5 2.4 1.5 1.5 1.4
การบริโภคภาคเอกชน %YOY 4.4 2.6 2.2 2.0 2.1
การบริโภคภาครัฐ %YOY 2.5 1.4 1.4 1.8 1.0
การลงทุนภาคเอกชน %YOY -1.6 2.9 0.3 -2.2 -0.2
การลงทุนภาครัฐ %YOY 4.8 5.0 5.0 5.8 1.5
มูลค่าส่งออกสินค้า (USD BOP) %YOY 5.8 1.6 -0.4 -0.1 -0.8
มูลค่านาเข้าสินค้า (USD BOP) %YOY 6.3 3.0 1.5 0.8 -0.2
จานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ Million 35.5 38.2 36.7 34.2 35.7
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป %YOY 0.4 1.0 0.5 0.5 0.4
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (สิ้นปี) % 2.25 2.0 1.25 1.25 1.00
คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2025 รายไตรมาส (ณ มิ.ย. 2025) โดย SCB EIC
หน่วย : %YOY และ %QOQ_SA
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
3.1
2.2
0.6
0.2
0.7
0.0 -0.4 0.0
-2.5
-0.5
1.5
3.5
Q1 (Actual) Q2 Q3 Q4
YOY-Jun25 QOQ-Jun25
Momentum เศรษฐกิจไทยปี 2025
จะลดลงมากใน H2 และอาจเกิด Technical recession
คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2025-2026 กรณีฐาน (ณ มิ.ย. 2025) โดย SCB EIC
คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในกรณีต่าง ๆ (ณ มิ.ย. 2025)
กรณี สมมติฐาน US Tariffs 2025F (%YOY)
Low tariffs เจรจาลุล่วง เก็บ Universal tariff 10% 2.0%
Baseline
เจรจาลดภาษีได้บ้าง
Universal tariff, Reciprocal tariffs ครึ่งหนึ่งจากอัตรา
ที่ประกาศไว้, ลด Specific tariffs
1.5%
Worse
เจรจาการค้าล้มเหลว เก็บ Tariffs ทุกประเภท
เต็มอัตราตามที่ประกาศวัน Liberation Day
ความขัดแย้งในตะวันออกกลางลุกลามทวีความรุนแรง
0.8%
ผลกระทบจากสงครามการค้า ความไม่แน่นอนในระดับสูง แผลเป็นเศรษฐกิจที่มีอยู่เดิมและข้อจากัดด้านการคลัง กดดันให้
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่าในช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจเห็นเศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ยต่ากว่า 1%
22
จานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยมีแนวโน้มหดตัวในปีนี้...
จากที่เคยเป็นแรงส่งสาคัญ
23
หน่วย : ล้านคน, %YOY
0.2
1.1
0.2
0.1
ม.ค.
0.4
0.8
0.4
0.2
1.0
0.2 0.1
ก.พ.
0.3
0.7
0.4
0.2
0.9
0.2 0.1
มี.ค.
0.3
0.8
0.3
0.2
0.7
0.1 0.1
0.7
เม.ย.
0.3
0.8
0.3
0.3
0.9
0.1 0.1
0.5
พ.ค. 1-8 มิ.ย.
0.4
3.1
2.7 2.5
2.3
0.7
3.7
จีน
อาเซียน
North East Asia
เอเชียใต้
ยุโรป
อเมริกา
ตะวันออกกลาง
อื่น ๆ
22%
-7%
-9%
-8%
-14%
5 อันดับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยสูงสุดในช่วง 1 ม.ค. – 8 มิ.ย. 2025 ได้แก่
มาเลเซีย (2.04 ล้านคน), จีน (2.03 ล้านคน), อินเดีย (1.04 ล้านคน), รัสเซีย (0.98 ล้านคน)
และเกาหลีใต้ (0.70 ล้านคน)
จานวนนักท่องเที่ยวจีนในไทยลดลงสวนทางกับนักท่องเที่ยวจีนที่ไปประเทศจุดหมายอื่น ๆ ในเอเชีย
หน่วย : ล้านคน, %YOY
0.3
0.4
0.6
1.0
0.7
ม.ค.
0.3
0.3
0.3
0.4
0.7
0.4
ก.พ.
0.3
0.4
0.4
0.6
0.7
0.3
มี.ค.
0.3
0.4
0.2
0.4
0.8
0.3
เม.ย.
3.4
2.3 2.4 2.3
0.2
ไทย
ญี่ปุ่น
เวียดนาม
สิงคโปร์
เกาหลีใต้
มาเลเซีย
-30%
68%
57%
3%
4%
29%
79%
-3% 8%
1.6
3.1
2.0
1.0
1.5
1.2
4M2025
10.5
18%
1%
4M2025
หมายเหตุ : * ผลสารวจเรื่อง China Outbound Travel Sentiment Survey ในช่วง Q1/2025 ของ China Trading Desk
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, Jing Dairy และ Dragon Trail
นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยยังหดตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน โดยการสร้างความเชื่อมั่นด้าน
ความปลอดภัยของไทย และการเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ถือเป็นโจทย์สาคัญที่จะดึงนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาเติบโต
นักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ราว 15.02 ล้านคน (ข้อมูล ณ 8 มิ.ย. 2025) YTD หดตัวราว -2.9%YOY
2 โจทย์สาคัญที่จะดึงนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาเติบโต
1. ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของไทย จากผลสารวจของ
Dragon Trail ในช่วง เม.ย. 2025 พบว่า นักท่องเที่ยวจีนมีความ
กังวลด้านความปลอดภัยในไทยสูงขึ้นเป็น 51% จาก 37%
ในการสารวจเดือน ก.ย. 2024
1 2. แหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ แบบ Niche destinations เป็น
หนึ่งในปัจจัยสาคัญในการเลือกจุดหมายท่องเที่ยวต่างประเทศ
ของนักท่องเที่ยวจีนจากผลสารวจ China Trading Desk ช่วง
Q1/2025
2
ตัวอย่างมาตรการภาครัฐที่ดาเนินการแล้ว มาตรการเพิ่มเติมที่ภาครัฐอาจพิจารณา
• เชิญบริษัททัวร์และ KOLs มาไทยเพื่อสร้างความมั่นใจ
และสารวจแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในไทย
• นาเสนอเส้นทางและประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่
• โปรโมตการท่องเที่ยวรูปแบบเทศกาลดนตรี อาหารตลอดทั้งปี
• เพิ่มช่องทางติดต่อสื่อสารสาหรับนักท่องเที่ยวจีนเพื่อแจ้งเหตุ
หรือขอความช่วยเหลือแบบ Real-time
• ประสานกับ OTA จีนในการทาแพ็กเกจ “Thailand Safe
Trip” ในเส้นทางใหม่ ๆ และพัฒนา Feature ให้ผู้ใช้งานรีวิว
ด้านความปลอดภัยโดยเฉพาะ
24
95 100 105 110
85 115 120 125 130 135 140 145 >145
-40
-30
-20
-10
0
60 65
10
70
20
75
30
80
80
0 90
Taiwan
India
Cambodia
Sweden
UK
France
Germany
Netherlands Indonesia
Russia
Israel
Italy
Spain
Canada
Australia
Saudi Arabia
Laos
Malaysia
Myanmar
Philippines
Singapore
Vietnam
China
Hong Kong
Japan
S.Korea
USA
South-East Asia
North-East Asia
South Asia
Oceania
Europe
America
Middle East
ขนาด Bubble : จานวนนักท่องเที่ยวในช่วง 5M2025*
กลุ่มเฝ้าระวัง
(ฟื้นตัวดีแต่กาลังหดตัว)
กลุ่มกาลังเติบโต
(ฟื้นตัวช้าแต่กาลังเร่งตัว)
ค่าเฉลี่ยฟื้นตัวทั้งประเทศปี 2024
กลุ่มศักยภาพ (ฟื้นตัวดี/เติบโตต่อเนื่อง)
กลุ่มเปราะบาง
(ฟื้นช้าและหดตัว)
% การฟื้นตัว 2024 เทียบปี 2019
อัตราเติบโต
5M2025 (%YOY) การใช้จ่ายเฉลี่ย (คน/ทริป) ระยะเวลาพานักเฉลี่ย
จีน 41,400 บาท 8 วัน
อาเซียน 22,000 บาท 5 วัน
North-East Asia 36,000 บาท 7 วัน
อินเดีย 38,000 บาท 6 วัน
ยุโรป 63,000 บาท 17 วัน
โอเชียเนีย 63,000 บาท 14 วัน
อเมริกา 68,000 บาท 14 วัน
ตะวันออกกลาง 94,000 บาท 12 วัน
รูปแบบมาตรการ
กลุ่มศักยภาพ
• เน้นโปรโมตการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง
• ประสานสายการบินเพิ่มเที่ยวบินเพื่อรองรับการเติบโต
กลุ่มกาลัง
เติบโต
• จัดแคมเปญโปรโมชันส่วนลด และโปรโมตการเที่ยวไทย
ราคาประหยัดเนื่องจากเพิ่งฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจ
กลุ่มเฝ้าระวัง
• โปรโมตแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะกลุ่ม Re-visit
กลุ่ม
เปราะบาง
• เน้นมาตรการเชิงรุกลงเม็ดเงินทาโปรโมชันส่วนลดกับสาย
การบิน เอเจนต์ทัวร์ โรงแรมและ OTA เพื่อฟื้นฟูท่องเที่ยว
การใช้จ่ายและระยะเวลาพานัก (1Q2025)
กลุ่ม
ศักยภาพ
มีความเสี่ยงจากสงคราม
อิสราเอล-อิหร่าน
การเจาะนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มที่เติบโตดีมีโอกาสสร้างรายได้ให้ภาคการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น อย่างนักท่องเที่ยวอินเดีย
ยุโรป ตะวันออกกลาง และออสเตรเลีย ที่ใช้จ่ายสูงและระยะเวลาพานักนาน ส่วนกลุ่มอื่น ๆ ต้องเร่งทามาตรการเชิงรุก
หน่วย : %
การเติบโตของจานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย*
หมายเหตุ : * เฉพาะประเทศที่มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยในปี 2024 มากกว่า 2 แสนคน รวม 27 ประเทศ
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, โครงการสารวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศปี 2025 ครั้งที่ 1 (ม.ค.-มี.ค.)
25
5%
5%
2023
19%
30%
14%
7% 3%
16%
5%
4%
2%
4%
14%
30%
13%
8%
3%
19%
5%
5%
2%
28%
2025F
27%
14%
6%
2%
28.2
35.6 34.2
13%
4%
2019 2024
13%
35%
14%
7%
3%
16%
39.8
-3.8%
จีน
อาเซียน
North East Asia
เอเชียใต้
โอเชียเนีย
ยุโรป
รัสเซีย
อเมริกา
ตะวันออกกลาง
แอฟริกา
3 ความท้าทายที่มีผลต่อการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
การระมัดระวังการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวซึ่งเป็นผลจากความไม่
แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐ และการเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ
Tourism war การแข่งขันที่สูงขึ้นในการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติของหลายประเทศ
แหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงรูปแบบเดิม ขาดจุดดึงดูดใหม่ ๆ จึงทาให้ภาครัฐกาลังเร่งพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ
ภายใต้ความร่วมมือกับภาคเอกชน รวมถึงปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวเดิมให้สะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น
สถานการณ์โควิดและโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่แพร่กระจายในไทยและหลายประเทศทั่วโลก
อาจส่งผลให้การเดินทางท่องเที่ยวมาไทยชะลอตัวลงในระยะสั้น
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้อาจทาให้ภาคการท่องเที่ยวไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยง
สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน โดยนักท่องเที่ยวอิสราเอลและอิหร่านจะไม่สามารถเดินทางมาไทย
ได้จากการปิดสนามบินและน่านฟ้า ส่วนนักท่องเที่ยวในพื้นที่เสี่ยงอย่างจอร์แดน เลบานอน และอิรัก จะ
ได้รับผลกระทบในการต่อเที่ยวบินมาไทยจากที่หลายสายการบินประกาศยกเลิกเที่ยวบินชั่วคราว
การปิดด่านไทย-กัมพูชาชั่วคราวในบางพื้นที่ ส่งผลให้เกิดข้อจากัดในการเดินทางข้ามแดนของนักท่องเที่ยว
ทั้งสองประเทศ
• การทยอยออกมาตรการยกเว้นวีซ่าเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย เช่น เวียดนามยกเว้นวีซ่า
ให้กับนักท่องเที่ยวยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้เพิ่มเติมในปีนี้ ขณะที่รัฐบาลจีนยกเว้นวีซ่าเพิ่มเติมให้กับ
นักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง
• การโปรโมตการท่องเที่ยวผ่านอินฟลูเอนเซอร์ต่างชาติ เช่น เกาหลีใต้ร่วมมือกับ 2,800 content
creators ทั่วโลกเพื่อโปรโมตการท่องเที่ยว และจีนสปอนเซอร์ทริปให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลกเพื่อ
นาเสนอ “Real China”
มากกว่า 50% ของคนยุโรประบุว่าข่าวการขึ้นภาษีส่งผลให้เปลี่ยน/เตรียมเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายโดยเฉพาะการ
ใช้จ่ายหมวดเที่ยวบินระหว่างประเทศ (McKinsey ConsumerWise EU-5 sentiment data, May 2025 )
• การใช้จ่ายต่อคนต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทยบางกลุ่มเริ่มลดลงตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี
2025 เช่น North-East Asia, ยุโรป, โอเชียเนีย และอเมริกา
• แนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลงในระยะข้างหน้า
คนอเมริกันมีแนวโน้มลดค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวช่วง Summer (Jun-Aug) ลงอย่างเห็นได้ชัดหลังรัฐบาลประกาศ
นโยบายภาษี (2025 Deloitte summer travel survey: Right-Sized American summer, Mar-Apr 25)
SCB EIC ปรับประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2025 ลงจาก 36.7 ล้านคนเป็น 34.2 ล้านคน ภายใต้ความท้าทายจาก
Tourism war การระมัดระวังการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก และการเร่งปรับคุณภาพและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ
หน่วย : ล้านคน
ประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยในปี 2025
หมายเหตุ : ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติเปรียบเทียบจากข้อมูลของโครงการสารวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศปี 2024 และ 2025 ครั้งที่ 1 (ม.ค.-มี.ค.)
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, McKinsey และ Deloitte
1
2
3
26
• ทา Joint Promotion ร่วมกับแพลตฟอร์ม OTA กว่า 20 รายทั้งของไทยและต่างชาติเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในกลุ่ม FIT
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
สนับสนุนค่าใช้จ่ายในโรงแรมและร้านอาหารจานวน 500,000 สิทธิ เริ่มลงทะเบียนกลางเดือน มิ.ย.
1. สนับสนุนเที่ยวบินเช่าเหมาลาจากจีนและตลาดอื่น ๆ บินตรงเข้าไทย วงเงิน 350 ล้านบาท โดยสนับสนุน 350,000 บาทต่อ
เที่ยวบินจานวน 1,000 เที่ยวบินจาก 15 เมืองรองของจีนเข้ากรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย พัทยา กระบี่ และสมุย
2. ทาโปรโมชันร่วมกับเที่ยวบินพาณิชย์ของสายการบินทั้งในไทยและต่างประเทศ วงเงิน 250 ล้านบาท
3. กระตุ้นตลาด Incentive และกลุ่ม Summer camp วงเงิน 150 ล้านบาท
• โครงการ Thailand Unstoppable Music : Exclusive Concert จากศิลปินระดับโลก
• โครงการ Thailand Music Festival
• โครงการ International Music Concert in Thailand : การจัดคอนเสิร์ตระดับโลก
• การสนับสนุนงานคอนเสิร์ตที่ผู้ประกอบการไทยเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
• ใช้สิทธิได้ 5 สิทธิต่อคน วงเงินค่าที่พักไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้องต่อคืน
• รัฐบาลสมทบ 50% จ่ายเอง 50% ในเมืองน่าเที่ยวหรือในวันธรรมดาและรัฐบาลสมทบ 40% จ่ายเอง 60% ในเมืองหลักหรือในวันหยุด
• ลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ผู้ประกอบการ เช่น ค่าส่วนแบ่ง (Gross profit : GP) ที่ธุรกิจโรงแรมไทยต้องจ่ายให้กับ OTA
โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง วงเงิน 1,780 ล้านบาท
โครงการสนับสนุน OTA วงเงิน 800 ล้านบาท
โครงการ Thailand Summer Blast-China & Overseas Market Stimulus Plan วงเงิน 750 ล้านบาท
โครงการ Amazing Thailand Entertainment Hub วงเงิน 2,500 ล้านบาท
โครงการอื่น ๆ
• พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สนามกีฬา เช่น ปรับปรุงห้องน้า ที่พัก และป้ายบอกทาง
• ยกระดับความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว เช่น ติดตั้งระบบ CCTV ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสาคัญ
ข้อเสนอเชิงนโยบายในภาพรวมของภาคการท่องเที่ยวไทยในระยะสั้นและระยะกลาง-ยาว
• สร้างแหล่งท่องเที่ยว Man-Made แม่เหล็กขนาดใหญ่ระดับโลกเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ต่อเนื่อง
ในระยะยาว อย่างเช่น สวนสนุก Disney land, Universal Studios, หรือสวนน้า Aquaventure ดูไบ
• พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้สามารถเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวเมืองรองโดยสะดวก สาหรับการเดินทาง
ท่องเที่ยวด้วยตนเอง เช่น รถไฟ และเส้นทางรถประจาทางที่เชื่อมต่อไปถึงแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ
• วาง Position การท่องเที่ยวไทยให้ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้แผนการพัฒนาการท่องเที่ยวไทยในระยะข้างหน้า
สอดคล้องกันทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชน อีกทั้ง ยังสร้างจุดแข็งให้กับประเทศในการเจาะกลุ่ม
นักท่องเที่ยวเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น และง่ายต่อการสร้างการรับรู้ให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก เช่น Health
& Wellness และ Sustainability
ระยะสั้น
ระยะกลางและยาว
• พัฒนา Super App ด้านการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวในทุกมิติ ตั้งแต่ข้อมูลการท่องเที่ยว,
ฟังก์ชันการแปลภาษา, บริการติดต่อตารวจและโรงพยาบาลเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน และการเชื่อมต่อกับบริการ
อื่น ๆ เช่น การใช้บริการขนส่งสาธารณะภายในประเทศ การบริการเรียกรถ/เช่ารถ การซื้อทัวร์ท่องเที่ยวใน
ประเทศ การใช้บริการร้านอาหาร รวมถึง e-Wallet ในการชาระเงิน
• แก้ไขปัญหาการฉ้อโกงนักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง เช่น ระบบการคานวณราคาค่าโดยสารรถสาธารณะ
เบื้องต้นผ่าน GPS Tracking ก่อนเริ่มใช้บริการ, การรายงานเหตุฉ้อโกงผ่าน Super App แบบ Real-time
และการเพิ่มโทษหรือมีบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นในกรณีฉ้อโกงนักท่องเที่ยว
• พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ทา Content ออนไลน์ ตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เช่น
เส้นทางกระแส Set-jetting หนังกับซีรีย์ไทย และซีรีย์ Y, เส้นทาง Thai-pop Experience, เส้นทาง
Cafe-Hopping & Creative Street, เส้นทาง Digital Detox & Mindfulness Retreat ส่งเสริมสุขภาพ,
เส้นทางเดินป่า Adventure
โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐคาดว่าจะเข้ามาช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยในช่วงปลายไตรมาส 3 โดย
โครงการหลักจะเน้นฟื้นฟูตลาดนักท่องเที่ยวจีน เจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ และกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ
โครงการหลักภายใต้งบส่งเสริมการท่องเที่ยว 9 พันล้านบาทจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท
27
สงครามการค้าเริ่มส่งผลลบต่อการค้าโลก
ส่งออกไทยจะเริ่มติดลบช่วงครึ่งปีหลัง และต่อเนื่องปีหน้า
28
เครื่องชี้การส่งออกของประเทศต่าง ๆ ไปสหรัฐฯ
หน่วย : %YoY
Economies %YOY Jan-25 Feb-25 Mar-25 Apr-25 May-25
Japan
Total Export to US 8.1 10.5 3.1 -1.8
Vehicle Motors 21.8 13.9 4.1 -4.8
Parts of Motor Vehicles -13.4 0.9 -10.7 -5.0
Steels -12.8 3.9 -16.6 -29.0
Electrical Machinery & Machinery 4.4 7.7 0.7 1.8
South Korea
Total Export (25 Day)* 5.0 11.1 3.8 1.5 -6.8
Passenger Cars 3.4 42.7 3.7 0.2 -11.7
Automotive Parts 0.5 2.6 -2.9 1.3 -14.9
Steel Products 12.9 3.7 -15.7 2.5 -19.7
Semiconductors 28.1 10.0 13.2 18.9 17.2
Vietnam
Total Export to US 4.3 34.2 32.3 34.0 36.1
Electrical Products & Parts 22.4 47.3 74.5 84.3 74.6
Machine & Equipment 4.7 47.4 30.0 33.3 20.3
Textile 5.8 22.6 20.6 23.3 16.9
Taiwan
Total Export to US 0.7 65.6 39.8 29.5 87.4
Electronic Products 2.2 79.1 46.7 32.6 115.3
Items 2025Q1 Feb-25 Mar-25 Apr-25 YTD
Total (100%) 15.2% 14.0% 17.8% 10.2% 14.0%
Total (ex. gold) (97.1%) 12.8% 13.6% 13.8% 7.2% 11.4%
1. Agriculture (9.6%) -1.4% -1.6% -0.5% -19.6% -7.3%
2. Agro (7.8%) 2.0% 9.9% -5.7% 9.1% 3.8%
3. Manufacturing (79%) 19.4% 17.2% 23.5% 16.6% 18.7%
4. Mining and fuel (3.6%) -6.6% -11.5% -9.0% -13.2% -8.3%
Economies 2025Q1 Feb-25 Mar-25 Apr-25 YTD
US (18.3%) 25.4% 18.2% 34.3% 23.8% 25.0%
Electronic Products 12.4% 7.8% 61.8% 29.9% 30.2%
Vehicle & Parts -2.5% 11.8% -0.7% -3.9% 7.9%
Steels 11.1% 5.4% -9.0% 13.8% 0.6%
China (11.7%) 19.5% 22.4% 22.2% 3.2% 14.3%
นัยต่อครึ่งหลังของปี 2025 ต่อการค้าโลก
• ผลกระทบนโยบายภาษีทรัมป์ ขึ้นอยู่กับระดับการพึ่งพาสินค้าส่งออกของแต่ละประเทศ
o ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าที่ถูกเก็บ Specific tariffs แล้ว เช่น ยานยนต์ (25%) และเหล็ก (50%) อาจได้รับผลกระทบ
รุนแรง เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ (ส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯ สูง 36.0% และ 33.5% ของมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งหมดตามลาดับ)
o ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าที่ยังไม่ถูกเก็บ Specific tariffs เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่วนมาก (0%) เช่น ไต้หวันและ
เวียดนาม (ส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ไปสหรัฐฯ 78.8% และ 50.4% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งหมด และมีสัดส่วนส่งออกรถยนต์และ
เหล็กต่า)
• การค้าโลกจะชะลอลงกระทบทุกประเทศ หลังสหรัฐฯ เก็บ Specific tariffs ครบ และเก็บ Reciprocal tariffs หลังพ้นช่วงเจรจา
มูลค่าการส่งออกไทยรายสินค้าและคู่ค้าหลัก
หน่วย : %YoY
กาแพงภาษีสหรัฐฯ เริ่มกระทบการค้าโลก โดยมีผลแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ผลลบต่อคู่ค้าที่เน้นส่งออกสินค้าที่ถูก
สหรัฐฯ เก็บ Specific tariffs เริ่มเห็นแล้ว ขณะที่คู่ค้าที่เน้นส่งออกสินค้าที่ยังไม่ถูกเก็บ Tariffs ถูกกระทบไม่มาก
หมายเหตุ : *ข้อมูลส่งออกเกาหลีใต้เป็นข้อมูลเร็ว ดังนั้น ข้อมูลรายสินค้าเดือน พ.ค. ยังไม่ประกาศ แต่ส่งออกเกาหลีใต้ไปสหรัฐฯ หดตัวแล้ว 2 เดือนติดต่อกันโดยหดตัว -7.0% และ -8.1% ในเดือน เม.ย. และ พ.ค. ตามลาดับ เนื่องจากพึ่งพาส่งออกสินค้าเหล็กและยานยนต์ไปสหรัฐฯ สูง
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ CEIC, Korea Customs Service, Vietnam Customs, Ministry of Finance (Japan), Ministry of Finance (Taiwan) และกระทรวงพาณิชย์
29
14.0%
-10.3%
-4.3%
-6.5%
-9.8%
2.4%
-0.1%
-10.0%
0.3%
-15%
-5%
5%
Total Export Agricultural Food & bev
Jan -Apr 25 May - Dec 25 (f) 2025 (f)
5.1
3.1
2.8
1.1
0.8 0.5 0.4
-0.5
-0.6
-0.8
2.1 14.0
เครื
่
อ
งอิ
เ
ล็
ก
ทรอนิ
ก
ส์
อั
ญ
มณี
ฯ
หั
ก
ทอง
ทองค
าฯ
เครื
่
อ
งใช้
ไ
ฟฟ้
า
ผลิ
ต
ภั
ณ
ฑ์
ย
าง
ยางพารา
อากาศยานและยานอวกาศฯ
ผลไม้
ส
ด/แช่
เ
ย็
น
/แช่
แ
ข็
ง
/แห้
ง
ยานพาหนะ/อุ
ป
กรณ์
/
ส่
ว
นประกอบ
ข้
า
ว
อื
่
น
ๆ
ส่
ง
ออกรวม
0
2
4
6
8
10
12
14
16
18
Contribution to TH export growth 4 เดือนแรกของปี 2025
หน่วย : Percentage point
ปัจจัยชั่วคราว
2.8% จากปัจจัยทองผสมไปตลาด
อินเดีย มีแนวโน้มหมดลง
ความต้องการทองคาสูงขึ้น
รองรับความเสี่ยงโลก
Specific tariffs รถยนต์และ
ส่วนประกอบ 25% (50% ของมูลค่า
ผลิตภัณฑ์ยางมาจาก ยางยานพาหนะ)
4.7% มาจากกลุ่มสินค้า EE
เสี่ยงโดนเก็บ Specific tariffs แต่ยังได้
ยกเว้นภาษีเหลือ 0%* จึงเร่งส่งออก
US
CH
Others
2.0%
1.3%
1.8%
ประมาณการการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมปี 2025
หน่วย : %YTD และ %YOY
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมีแนวโน้มหดตัวในช่วง 8 เดือนสุดท้ายของปี 2025
โดยเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวของคาสั่งซื้อในหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
ขณะที่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยด้านราคาที่ปรับลดลงตามราคาน้ามันดิบโลก
ส่งออกไทยมีแนวโน้มชะลอตัวในไตรมาส 2 และหดตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากปัจจัยหนุนในไตรมาส 1 ส่วนมากเป็น
ปัจจัยชั่วคราว ไทยเสี่ยงสูงจากการพึ่งพาสินค้าส่งออกที่อาจถูกเริ่มเก็บ Specific tariffs และความไม่แน่นอนนโยบายการค้าโลก
หมายเหตุ : สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่วนมากโดนเก็บภาษี 0% เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบรวม อุปกรณ์สื่อสาร เซมิคอนดักเตอร์ และแผงวงจรไฟฟ้า ตามประกาศของทาเนียบขาว (The White House) ณ วันที่ 11 เม.ย. 2025
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ และ The White House
25.8%
-2.7%
10.8% 0.4%
-11.0%
-1.5%
7.9%
-12.7%
-1.2% -1.9%
8.9%
-8.7%
-15%
0%
15%
30%
Electronics Auto & Parts Iron & steel Petchem product
30
แรงส่งจากการลงทุนภาคเอกชนจะหดตัวถึงปีหน้า
ผลจากอุปสงค์ในประเทศซบเซา ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ และภาวะการเงินตึงตัว
31
400
420
440
460
480
500
520
2019Q4
2020Q2
2020Q4
2021Q2
2021Q4
2022Q2
2022Q4
2023Q2
2023Q4
2024Q2
2024Q4
การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องถึงปีหน้า
• ความไม่แน่นอนปรับสูงขึ้นมากจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ธุรกิจโดยรวมชะลอการลงทุน โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิต
จากจีนมาไทยเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ
• อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอต่อเนื่อง ธุรกิจชะลอการลงทุนออกไป หรือระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น
• ภาวะการเงินยังตึงตัว สถานการณ์ในตลาดการเงินไม่เอื้อให้เกิดการระดุมทุนของภาคธุรกิจ
• การลงทุนภาคเอกชนในไตรมาส 1 ปี 2025 ยังไม่ฟื้นกลับไประดับก่อนที่จะหดตัวแรงในช่วงต้นปีก่อน
167 138
95
206 182 156
268
369
161
0
100
200
300
400
Application Approved Certificates Issued
Avg. 23
Avg. 24
Q1/25
มูลค่าการขอส่งเสริมการลงทุนจาก BOI
หน่วย : พันล้านบาท
ยอดขอส่งเสริมการลงทุนยังไม่ได้รับผลกระทบในไตรมาส 1 ปี 2025
มองไปข้างหน้าแรงส่งจากการลงทุนผ่าน BOI อาจแผ่วลง
นโยบายส่งเสริมการลงทุนจะเข้มงวดกับธุรกิจต่างชาติมากขึ้น
เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของภาคธุรกิจและแรงงานไทย
(มติคณะกรรมการ BOI, 19 พ.ค. 2025)
(1) เน้นกลุ่ม SMEs มากขึ้น
(2) งดส่งเสริมกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีปัญหา Oversupply
(3) เพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณาการใช้ Local content ของธุรกิจต่างชาติ
(4) ปรับปรุงเงื่อนไขการจ้างแรงงานต่างชาติ
การลงทุนภาคเอกชนที่แท้จริง (ปรับฤดูกาล)
หน่วย : พันล้านบาท
ระดับ ณ Q1/2024
การลงทุนภาคเอกชนใน Q1/2025 ยังไม่ฟื้น
กลับไประดับก่อนที่จะหดตัวแรงในช่วงต้นปีก่อน
85
90
95
100
23Q1 23Q3 24Q1 24Q3 25Q1
340
360
380
400
420
23Q1 23Q3 24Q1 24Q3 25Q1
หมวดก่อสร้าง (16%)
หมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ (84%)
-3.8%YOY
-0.3%YOY
-0.9%YOY
มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง
ยังไม่ฟื้นตัว ตามการชะลอการลงทุนย้ายฐานการผลิต
และยอดจาหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ยังอยู่ระดับต่า
การลงทุนภาคเอกชนไทยมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องถึงปีหน้า ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ส่งผลให้แรงส่ง
จากการลงทุนจากต่างประเทศชะลอออกไป
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ สศช. BOI และ ธปท.
ธุรกิจที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนแล้วอาจชะลอการลงทุน
จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ และความคืบหน้าในการเจรจาของไทย
32
2019 2020 2021 2022 2023 2024 2025F 2026F
571 555 560 567 589 579 556 551
-2% -4% -1%
มูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนในปี 2025-2026 มีแนวโน้มหดตัว
ต่อเนื่อง
• แรงกดดันจากการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ที่หดตัว
ต่อเนื่อง และภาวะ Oversupply ของพื้นที่สานักงาน
• พื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ
หดตัวสูงในปี 2024 และมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง สะท้อน
กิจกรรมการก่อสร้างภาคเอกชนที่ชะลอตัวในระยะข้างหน้า
หน่วย : %YOY
อัตราการขยายตัวของโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ใน BMR
หน่วย : ล้านตารางเมตร
พื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างทั่วประเทศ
32 32 34 37 36 30
2019
4
2020
3
2021
4
2022
3
2023
2
2024
2M24
2M25
36 36 37
41 40
32
6 4
4
-4% -18%
-34%
แนวราบ
คอนโด
ที่อยู่อาศัย สิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ
7 6 8 7 5 4
7 7
8 10 13
8
2
2022
1
1
2023
2
1
2024
2M24
2M25
3
2019
2
1
2020
2
1
2021
2
2
18
16
19 20 21
15
2 2
0% -25%
-36%
พื้นที่ค้าปลีก
โรงงาน
อาคารสานักงาน
โรงแรม
2019 2020 2021 2022 2023 2024
70%
80%
90%
100%
93%
96%
91%
96%
87%
95%
85%
95%
84%
95%
81%
95%
อาคารสานักงาน
พื้นที่ค้าปลีก
-100
-50
0%
50%
100%
-39%
2020
-17%
2021
77%
2022
-5%
2023
-39%
2024
-13%
2025F
-4%
2026F
การก่อสร้างภาคเอกชนในปี 2025 และ 2026 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง โดยเผชิญแรงกดดันจากการเปิดตัวโครงการ
ที่อยู่อาศัยใหม่ และภาวะอุปทานส่วนเกินของพื้นที่สานักงาน
มูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชน
หน่วย : พันล้านบาท
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, AREA, REIC และ CBRE
33
13.9%
23.0%
33.8% 28.1%
34.4%
45.1% 46.4% 45.3% 47.4%
10%
30%
50%
Q1/2023
Q2/2023
Q3/2023
Q4/2023
Q1/2024
Q2/2024
Q3/2024
Q4/2024
Q1/2025
ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (BSI โดย ธปท.) ณ เม.ย. 2025
หน่วย : Diffusion index (<50 ปรับตัวแย่ลง, >50 ปรับตัวดีขึ้น)
ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการลดลงชัดเจน
ตั้งแต่เดือน เม.ย.
40
45
50
55
60
01/2023
04/2023
07/2023
10/2023
01/2024
04/2024
07/2024
10/2024
01/2025
04/2025
Business Sentiment Index BSI Expectation: Next 3 Month
สถานการณ์ในตลาดตราสารหนี้และภาคการเงิน
ไม่เอื้อต่อการระดมทุนของภาคเอกชนมากนัก
จานวนธุรกิจเปิด-ปิดกิจการในไทย
หน่วย : %YOY
-5.7%
3.3%
-10%
0%
10%
20%
AVG2017-2019 2023 5M-2025
Open Close
-40
-20
0
20
40
Overall SME Large Corp
ธุรกิจขนาดใหญ่เริ่มมีความต้องการสินเชื่อลดลงในขณะที่
SME หันไปพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบสูงขึ้น
ความต้องการสินเชื่อภาคธุรกิจ (ผลสารวจ ธปท.)*
หน่วย : Diffusion index (<0 ลดจากไตรมาสก่อน, >0 เพิ่มจากไตรมาสก่อน)
สัดส่วนแหล่งเงินทุนนอกระบบของ SME (ที่มา : สสว. 2025)
หน่วย : %
การขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจ
หน่วย : %YOY
ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่ปรับลดลง ภาวะการเข้าถึงแหล่งเงินของภาคธุรกิจที่หดตัว และสัญญาณการพึ่งพาเงินทุน
นอกระบบมากขึ้นของ SMEs สะท้อนแนวโน้มการลงทุนที่แย่ลงและความเปราะบางที่สูงขึ้น
หมายเหตุ : *รายงานผลการสารวจภาวะและแนวโน้มสินเชื่อ โดย ธปท.
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ ธปท., สสว., กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ สสว.
0.5
-4.6
3.0
-0.8
-5.5
1.5
-10 -5 0 5
สินเชื่อธุรกิจรวม
สินเชื่อธุรกิจ
วงเงิน < 500 ล้านบาท
สินเชื่อธุรกิจ
วงเงิน > 500 ล้านบาท
Q4-24 Q1-25
การขยายตัวของตราสารหนี้ภาคธุรกิจ
หน่วย : %YOY
-10%
0%
10%
20% Q1/2022
Q3/2022
Q1/2023
Q3/2023
Q1/2024
Q3/2024
Q1/2025
มูลค่าตราสารหนี้ภาคเอกชนคงค้าง
34
ข้อจากัดภาคการคลังมีมากขึ้น
35
รัฐบาลชะลอดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ปรับเป็นแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท SCB EIC ประเมินแผนใหม่
กระตุ้นเศรษฐกิจและรองรับสงครามการค้าคุ้มค่ากว่า แต่ต้องติดตามประสิทธิภาพการคัดเลือกและดาเนินโครงการ
ประเมินกรอบระยะเวลาดาเนินโครงการงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท จากข้อมูลเบื้องต้น (โดย SCB EIC)
งบขับเคลื่อนฯ 157,000 ลบ. 2025Q2 2025Q3 2025Q4 2026Q1 2026Q2
Digital Wallet เฟส 3 (เดิม) ครม.อนุมัติโครงการ / เม็ดเงินลงเศรษฐกิจ
แผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (ใหม่)
โครงสร้างพื้นฐาน / ท่องเที่ยว /
เพิ่มผลิตภาพ / เศรษฐกิจชุมชน
หน่วยงานเสนอโครงการ
ครม. อนุมัติ
สงป. จัดสรรงบ
โครงการประมูล/เริ่มต้น
โครงการ
เม็ดเงินลงเศรษฐกิจ
สมมติฐานการจัดสรรงบขับเคลื่อนฯ (โดย SCB EIC)
งบขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท
Investment
75%
Consumption
25%
ผลศึกษาตัวทวีทางการคลัง (Fiscal Multiplier) ของไทย
หน่วย : เท่า
ธปท. (2015) สศค. (2023)
1.13
0.8
0.4
0
0.3
0.6
0.9
1.2
ก่อสร้างภาครัฐ ก่อสร้างภาครัฐ เงินโอน
ธปท. (2015)
เห็นผลต่อเศรษฐกิจช้ากว่า
โครงการอาจมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่จากการ
เร่งเสนอ คัดเลือก และดาเนินการ
คุ้มค่ากว่าการแจกเงินโดยตรง
ลดความเสี่ยงเครดิตเรตติงลงบ้าง
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, กระทรวงการคลัง, พรรคเพื่อไทย, พรรคประชาชน, Moody’s, S&P Rating, ธนาคารแห่งประเทศไทย และสานักข่าวต่าง ๆ
36
มุมมองเครดิตเรตติงไทยล่าสุด โดย Moody’s และ S&P
THA
Moody’s
(29 Apr 2025)
S&P Global
(2 Jun 2025)
Action • คงอันดับ Baa1
• ลดมุมมอง
Negative Outlook
• คงอันดับ BBB+
• คงมุมมอง
Stable Outlook
เหตุผล • ศักยภาพเศรษฐกิจ
ไทยลดลง ซ้าเติม
โดย US Tariff
• เสถียรภาพการคลัง
แย่ลง รัฐบาลอาจ
ต้องใช้งบฯ เพิ่มเติม
เพื่อพยุงเศรษฐกิจ
• เศรษฐกิจปี 2025-2026
ขยายตัว 2.3% และ 2.6%
• ท่องเที่ยวและลงทุนรัฐ
พยุงเศรษฐกิจ
• อาจโอนงบ Digital
wallet มาลงทุน
กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2026
หน่วย : ล้านล้านบาท
คาดการณ์หนี้สาธารณะไทย โดยกระทรวงการคลังและ SCB EIC
หน่วย : % Nominal GDP, ปีงบประมาณ
0
1
2
3
4
FY2024 FY2025 FY2026
งบประจา งบลงทุน งบอื่น ๆ
+0.7%
กรอบงบประมาณรายจ่ายปี 2026 (หลังหักงบชาระคืนหนี้
และงบชดใช้คืนเงินคงคลัง) ลดลง -2.2%YOY
+7.8%
-2.2%
64.8
65.6
67.3
68.5
69.2
69.3
40
45
50
55
60
65
70
75
2019
2020
2021
2022
2023
2024
2025M7
2025F
2026F
2027F
2028F
2029F
ข้อมูลในอดีต
คาดการณ์โดยกระทรวงการคลัง (ธ.ค. 2024)
เพดาน 70% ของ Nominal GDP
SCB EIC ประเมินหนี้สาธารณะอาจแตะเพดาน 70% ในช่วงปี 2026-
2027 หากไม่มีทบทวนแผนการคลังให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อต่าลง
แนวทางการปฏิรูปการคลังไทย
เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่
จาเป็น ป้องกัน Corruption เน้นลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพ
เศรษฐกิจiระยะยาว จัดทา Policy Evaluation
ปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ของรัฐ ไทยยังมีสัดส่วนรายได้ภาษี
ต่อ GDP ต่า เริ่มด้วยการขยายฐานภาษี ลดการรั่วไหล และ
พิจารณาปรับอัตราภาษีบางประเภทเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น
ใช้กลไกส่งเสริมการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน ในโครงการ
โครงสร้างพื้นฐานอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
ข้อจากัดภาคการคลังเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ต่าลง แนวโน้มหนี้สาธารณะอาจชนเพดาน 70% เร็วขึ้น
และ Moody’s เริ่มปรับมุมมองเครดิตเรตติงไทยลงจากปัจจัยนี้ จึงต้องเร่งปฏิรูปการคลังให้เห็นผล
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง, สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, สานักงบประมาณ Moody’s และ S&P Global Ratings
37
การบริโภคภาคเอกชนจะชะลอลงมาก
จากภาวะการเงินตึงตัว หนี้ครัวเรือนสูง และความเปราะบางในตลาดแรงงาน
38
องค์ประกอบ (%YOY) 2023 Q1-24 Q2-24 Q3-24 Q4-24 Q1-25
Durable 2.5 -6.7 -6.5 -9.9 -9.5 -1.4
Semi-durable 1.5 3.4 4.3 3.5 3.7 0.9
Non-durable 3.4 4.7 3.6 2.2 2.3 1.9
Food 3.4 4.3 3.7 2.8 3.2 2.8
Non-Food 3.5 5.2 3.6 1.5 1.5 0.8
Services 12.8 13.7 6.0 6.3 6.4 4.5
Q4/24: 3.4
Q1/25: 2.6
-4
-2
0
2
4
6
8
10
21Q1
21Q2
21Q3
21Q4
22Q1
22Q2
22Q3
22Q4
23Q1
23Q2
23Q3
23Q4
24Q1
24Q2
24Q3
24Q4r
25Q1
การบริโภคภาคเอกชนที่แท้จริง
หน่วย : %YOY
การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวแบบ broad-based ใน Q1/25 และมีแนวโน้มชะลอตัวลงอีก
จากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับลดลงมาก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
หน่วย : ดัชนี
30
40
50
60
70
01/2023
03/2023
05/2023
07/2023
09/2023
11/2023
01/2024
03/2024
05/2024
07/2024
09/2024
11/2024
01/2025
03/2025
05/2025
CCI CCI: Present CCI: Expectations
การบริโภคสินค้าคงทนยังคงลดลง
แม้หดตัวแรงในปีก่อน
การบริโภคสินค้าไม่คงทนและบริการชะลอ
ส่วนหนึ่งจากเม็ดเงินกระตุ้นการบริโภค
ผ่านโครงการเงินหมื่น เฟส 2 น้อยกว่า
เฟสแรกมาก
Digital Wallet เฟส 1
(ปลาย ก.ย. 24)
เฟส 2
(ปลาย ม.ค. 25)
US Reciprocal
Tariff
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน พ.ค. ปรับตัวลดลง
ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และเป็นระดับต่าสุดในรอบ 27 เดือน
การบริโภคภาคเอกชนจะชะลอลงอีกในระยะข้างหน้า สะท้อนจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงมาก ประกอบกับ
รัฐบาลชะลอโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟสที่เหลือ
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ สศช., มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ธปท.
39
79
-350 -336
-108 -152
53 132 200
79
-104
109
63
-600
-400
-200
0
200
400
Employer Self-employed Contributing
family work
Public employee Private employee Total
Agriculture sector Industrial sector High-paying service sector Low-paying service sector
-152.1
-1,000
-500
0
500
1,000
1,500
2,000
2019
(37.5m)
2020
(37.6m)
2021
(37.7m)
2022
(39.2m)
2023
(39.9m)
2024
(39.7m)
2025Q1
(39.3m)
Agriculture sector Industrial sector High-paying service sector
Low-paying service sector Total employed persons
1.02
0.9 0.9
1.37
1.8 1.9 1.96
0.0
0.5
1.0
1.5
2.0
2.5
3.0
3.5
AVG2015-
2019
2020
2021
2022
2023
2024Q1
2024Q2
2024Q3
2024Q4
2025Q1
2025M4
Unemp. (Overall) Unemp. (In the social security M.33 or M.38)
อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมเร่งตัวใน Q1/2025 แม้อัตราการว่างงานโดยรวมยังทรงตัว
หน่วย : %, ต่อกาลังแรงงาน
ผู้มีงานทาในระบบประกันสังคมอยู่ที่ 12.08 ล้านคนในเดือน เม.ย.
ผู้ขอรับผลประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานอยู่ที่ 2.36 แสนคน สูงสุดตั้งแต่ Q2/23
อัตราการว่างงานของเด็กจบใหม่และผู้ที่อายุ 25-34 ปีปรับสูงขึ้นอีกครั้งใน Q1/2025
หน่วย : %, ต่อกาลังแรงงานในแต่ละช่วงอายุ
5.13 4.52
5.31
1.34 1.19 1.22
1.02 0.89
-1.0
4.0
9.0
AVG2015-
2019
2020
2021
2022
2023
2024Q1
2024Q2
2024Q3
2024Q4
2025Q1
Youth unemp. (Age 15-24) Unemp. (Age 25-34) Unemp. (Age 35-44)
หมายเหตุ : (1) High-paying service sector คือ ภาคบริการที่ลูกจ้างมีรายได้เฉลี่ยมากกว่า 17,000 บาทต่อเดือน ประกอบไปด้วย ขนส่ง สื่อสาร การเงินและประกันภัย สุขภาพและสังคมสงเคราะห์ การศึกษา ราชการ ป้องกันประเทศ เทคนิค วิชาชีพ และวิทยาศาสตร์
Low-paying service sector คือ ภาคบริการที่ลูกจ้างมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 17,000 บาทต่อเดือน ประกอบไปด้วย อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม ร้านอาหาร ขายส่ง ขายปลีก บริการสนับสนุน บันเทิง จ้างงานในครัวเรือน และบริการอื่น ๆ
(2) อัตราการว่างงานในระบบ (Unemployment rate (in the social security M.33 or M.38)) คือ อัตราการว่างงานของผู้มีงานทาที่อยู่ในระบบประกันสังคม มาตรา 33 ที่ลาออกจากงาน หรือลาออกจากประกันสังคมมาตรา 33
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสถิติแห่งชาติ
ผู้มีงานทาโดยรวมหดตัว โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมลดลงมากสุดตั้งแต่ก่อน COVID-19
หน่วย : พันคน, การเปลี่ยนแปลงของผู้มีงานทา (เทียบปีก่อนหน้า)
ผู้มีงานลดลงในปี 2024
และลดลงต่อเนื่องใน Q1/2025
Year
Employment
ผู้ทางานในภาคเกษตรลดลง : (1) ย้ายไปภาคเศรษฐกิจอื่น
ที่มีรายได้สูงกว่า และ (2) ปัญหาภัยแล้ง น้าไม่เพียงพอปลูกพืชในหน้าแล้ง
- 118 + 227 - 150 + 131 - 314 - 224
ลูกจ้างเอกชนลดลงมากที่สุดตั้งแต่ COVID-19
(ราว 3.14 แสนคนในรอบปี)
คนไทยทางานอาชีพอิสระมากขึ้นโดยเฉพาะภาคบริการ
ลูกจ้างเอกชนภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมลดลง แรงงานไทยทางานอาชีพอิสระมากขึ้น
หน่วย : พันคน, การเปลี่ยนแปลงของผู้มีงานทา (Q1/2024 เทียบกับ Q1/2025)
ไตรมาส 1/2025 สัดส่วนผู้ว่างงานนานเกิน 6 เดือนขึ้นไปเร่งตัวสูงขึ้น
ตลาดแรงงานไทยเปราะบางมากขึ้น อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคม และอัตราการว่างงานของเด็กจบใหม่เร่งตัวขึ้น
ขณะที่ผู้มีงานทาลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้มีงานทาในภาคเกษตรและภาคการผลิต อีกทั้ง แรงงานไทยทางานอิสระมากขึ้น
40
• ชั่วโมงการทางานเฉลี่ยของผู้มีงานทาใน Q1/2025 ลดลงทุกสาขาการผลิต และต่ากว่าช่วงก่อน COVID-19
• รายได้ที่แท้จริงฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการที่มีรายได้สูง
• ผู้เสมือนว่างงานใน Q1/2025 สูงขึ้น 14.4%YOY (4.27 ล้านคน) หรือคิดเป็นสัดส่วน 10.8% ของผู้มี
งานทาซึ่งเป็นสัดส่วนสูงที่สุดนับตั้งแต่ Q1/2021 ขณะที่สัดส่วนผู้ทางาน Full-time และผู้ทางาน
ล่วงเวลาปรับตัวลดลง
หมายเหตุ : (1) รายได้ที่แท้จริง ประกอบไปด้วย รายได้ลูกจ้างเอกชน ลูกจ้างรัฐบาล และลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ หักด้วยเงินเฟ้อ
(2) High-paying service sector คือ ภาคบริการที่ลูกจ้างมีรายได้เฉลี่ยมากกว่า 17,000 บาทต่อเดือน และ Low-paying service sector คือ ภาคบริการที่ลูกจ้างมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 17,000 บาทต่อเดือน
(3) ผู้ทางานต่าระดับ คือ ผู้ที่ทางาน 0-34 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ผู้ทางานเต็มเวลา (Full-time) คือ ผู้ที่ทางาน 35-49 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และผู้ทางานล่วงเวลา คือ ผู้ที่ทางานตั้งแต่ 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไป
(4) ผู้เสมือนว่างงาน คือ ผู้มีงานทาที่ทางานในภาคเกษตรไม่เกิน 0-20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และผู้มีงานทาที่ทางานนอกภาคเกษตรไม่เกิน 0-24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสถิติแห่งชาติ
รายได้ที่แท้จริง (รวม OT โบนัส) ของลูกจ้างภาคอุตฯ และภาคบริการที่รายได้สูงชะลอตัวตั้งแต่ COVID-19
หน่วย : ดัชนี (2019 = 100), การเปลี่ยนแปลงของรายได้ที่แท้จริงเฉลี่ยในรอบ 1 ปี
121.53
101.87
91.53
99.52
98.21
80
90
100
110
120
130
2019 2020 2021 2022 2023 2024Q1 2024Q2 2024Q3 2024Q4 2025Q1
Agriculture sector Industrial sector High-paying service sector
Low-paying service sector Total
รายได้ที่แท้จริงของลูกจ้างภาคเกษตรในช่วงปี 2023-2024 สูงขึ้น :
(1) ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น จากปัญหาภัยแล้งเป็นหลัก
(2) อินเดียระงับการส่งออกข้าว ส่งผลให้ราคาข้าวสูงขึ้น
34.41
43.24
39.02
45.20
40.79
30
40
50
2019 2020 2021 2022 2023 2024Q1 2024Q2 2024Q3 2024Q4 2025Q1
Agriculture sector Industrial sector High-paying service sector
Low-paying service sector Total
3.8%
7.0%
11.0% 12.1% 12.8% 11.4% 11.9% 14.2%
10.8% 10.9% 10.7%
11.9%
64.7% 63.3% 64.0% 66.2% 65.4% 60.6% 66.8% 68.1% 67.4% 62.3%
18.0% 14.9% 14.6% 16.0% 16.5% 15.7% 17.4% 17.2% 16.8% 15.0%
0%
20%
40%
60%
80%
100%
2019 2020 2021 2022 2023 2024Q1 2024Q2 2024Q3 2024Q4 2025Q1
0-20 hrs. (in Agri) 0-24 hrs. (in Non-agri)
21-34 hrs. (in Agri) and 25-34 hrs. (in Non-agri) 35-49 hrs. (Full-time)
50 hrs. and above (OT)
ไตรมาส 1/2025 จานวนผู้เสมือนว่างงานเร่งตัวสูงขึ้นมากสุดในรอบ 4 ปี
ชั่วโมงทางานเฉลี่ยของผู้มีงานทาลดลงทุกสาขาการผลิต รวมไปถึงรายได้ของลูกจ้างในภาคอุตฯ และบริการเริ่ม
หดตัว ขณะที่สัดส่วนผู้ทางานต่าระดับปรับตัวสูงที่สุดในรอบ 4 ไตรมาส
ชั่วโมงการทางานเฉลี่ยของผู้มีงานทาในไตรมาส 1/2025 ปรับลดลงในทุกสาขาการผลิต
หน่วย : ชั่วโมงทางานต่อสัปดาห์
สัดส่วนผู้เสมือนว่างงานสูงขึ้นมากสุดนับตั้งแต่ Q1/2021 ขณะที่ผู้ทางานเต็มเวลาและล่วงเวลาลดลง
หน่วย : %, ต่อผู้มีงานทา
Real wage
(2025Q1)
Agriculture Industrial
High-paying
service
Low-paying
service
Total
THB/month 8,209 15,008 21,257 13,443 15,948
41
-3.4
-10.6
6.2
-5.0
-20
-10
0
10
20
Jul-23
Oct-23
Jan-24
Apr-24
Jul-24
Oct-24
Jan-25
Apr-25
ราคา ผลผลิต รายได้
คาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้ภาคเกษตรปี 2025 (โดย SCB EIC)
หน่วย : %YOY
ปี 2023 2024 2025F 4M25
ดัชนีรายได้ 0.0 6.7 -2.9 1.5
ดัชนีราคา -2.1 7.7 -4.7 -3.5
ดัชนีผลผลิต 2.1 -1.0 1.8 4.8
รายได้ภาคเกษตรในปี 2025 มีแนวโน้ม
หดตัว จากราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้ม
ลดลง ขณะที่ปริมาณผลผลิตมีแนวโน้ม
กลับมาฟื้นตัว รายได้ภาคเกษตรเป็นหนึ่งใน
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริโภคภาคเอกชน
กาลังแรงงานราว 12 ล้านคน (2024)
พึ่งพารายได้จากภาคส่วนนี้
ปัจจัยสนับสนุนผลผลิต ปัจจัยกดดันให้ราคาลดลง ปัจจัยเสี่ยง
• ปัญหาภัยแล้งคลี่คลาย ช่วยให้
ผลผลิตข้าว มันสาปะหลัง อ้อย
ยางพารา และปาล์มน้ามัน เพิ่มขึ้น
• ปริมาณน้าในเขื่อนในพื้นที่ภาคกลาง
และเหนือสูงกว่าปีก่อน ส่งผลให้
ผลผลิตพืชที่ปลูกช่วงหน้าแล้ง เช่น
ข้าวนาปรัง สูงขึ้น
• การระบาดของโรคในพืชคลี่คลาย
เช่น โรคใบด่างมันสาปะหลัง โรคใบร่วง
ยางพาราชนิดใหม่ ส่งผลให้ผลผลิต
มันสาปะหลัง และยางพาราเพิ่มขึ้น
• สต็อกข้าวโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและ
การยกเลิกนโยบายควบคุมการส่งออก
ข้าวของอินเดีย ส่งผลให้ราคาข้าวลดลง
• แนวโน้มเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯ ที่
ชะลอลง ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรที่อิง
ความต้องการบริโภคในตลาดโลก เช่น
มันสาปะหลัง, ยางพารา และอ้อย มี
แนวโน้มลดลง
• แนวโน้มราคาน้ามันลดลงจากปีก่อน
กดดันให้ราคาสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับ
ราคาพลังงาน เช่น อ้อย และยางพารา
ลดลง
• ความไม่แน่นอนของ
ภาวะเศรษฐกิจโลก
• การแพร่ระบาดของ
โรคพืช
• Geopolitical risks
• การเปลี่ยนแปลง
นโยบายเกษตรของ
ประเทศคู่แข่ง
• ความแปรปรวนของ
สภาพดินฟ้าอากาศ
-30.1
-42.2
-21.9 -15.6
-0.4
25.2
-7.8
11.5 6.1
-0.5
-4.9
-50.0
-10.4 -9.5
-0.9
ข้าวเปลือกเจ้า มันสาปะหลัง อ้อย ยางพารา ปาล์มน้ามัน
ดัชนีผลผลิต ราคา และรายได้ภาคเกษตรรายสินค้า เดือน เม.ย. 2025
หน่วย : %YOY
ราคา ผลผลิต รายได้
รายได้ภาคเกษตรเดือน เม.ย หดตัวครั้งแรกในรอบ 15 เดือน ผลจากราคาสินค้าเกษตรหดตัวรุนแรง โดยในปี 2025
รายได้ภาคเกษตรมีแนวโน้มกลับมาหดตัวจากผลด้านราคา ซึ่งจะเป็นข้อจากัดเพิ่มเติมของการบริโภคภาคเอกชนในปีนี้
ดัชนีผลผลิต ราคา และรายได้ภาคเกษตรรายเดือน
หน่วย : %YOY
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานเศรษฐกิจการเกษตร (ประมาณการ ณ พ.ค. 2025)
42 ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ REIC และ AREA
หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ
หน่วย : พันหน่วย หน่วย : พันหน่วย
ปัจจัยหนุน : อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง และมาตรการภาครัฐ ได้แก่
• การผ่อนคลาย LTV (1 พ.ค. 2025 - 30 มิ.ย. 2026)
• การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจานองที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท
(22 เม.ย. 2025 - 30 มิ.ย. 2026)
ปัจจัยกดดัน :
• ตลาดคอนโดยังต้องรอความเชื่อมั่นของผู้ซื้อกลับมาฟื้นตัวหลังแผ่นดินไหว
• กาลังซื้อในประเทศยังไม่สามารถฟื้นตัวมากนัก
• กลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลาง-ล่างยังเผชิญข้อจากัดในการเข้าถึงสินเชื่อ
• เศรษฐกิจโลก และจีนชะลอตัว กระทบกาลังซื้อต่างชาติ
• ราคาบ้านใหม่ยังอยู่ในระดับสูง จากต้นทุนที่ดิน และค่าก่อสร้าง
ที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
หน่วย : พันหน่วย
33
17
2021
86
75
35
19
2022
84
44
25
2023
79
76
51
37
2024 2025F 2026F
94
67
26
38
16
2019
91
75
20
2020
85
72
219
77
212 219 233 234 235 236
226
+7%
+0.4% +0.4% 0%
13%
9%
2021
50%
26%
15%
8%
2022
48%
19%
11%
2023
45%
20%
25%
14%
2024 2025F 2026F
56%
27%
9%
11%
6%
2019
35%
40%
11%
2020
39%
38%
119
21%
60
107 102
61
53 51
73
-5% -39%
-13%
-4%
บ้านแฝด บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโด
20%
16%
8%
3%
2021
50%
21%
15%
8%
2%
2022
52%
22%
15%
8%
2%
2023
51%
26%
13%
8%
2%
2024 2025F 2026F
47%
26%
15%
7%
2%
2019
47%
15%
7%
2%
2020
51%
392
25%
344
393
367 347
318 311
374
-7%
-5% -9%
-2%
บ้านแฝด
บ้านเดี่ยว
ทาวน์เฮาส์
คอนโด
ต่างจังหวัด
บ้านแฝด บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโด
ราคาโอนเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
หน่วย : ล้านบาท/หน่วย
4.2
4.7 4.8
2.2
1
2
3
4
5
3.5
2019
3.6
2.3
2020
2.5
2021
4.4
2.4
2022
2.4
2023
4.6
2.4
2024
2.4
3M25
มือหนึ่ง
มือสอง
มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติ
หน่วย : พันล้านบาท
ข้อเสนอแนะ : กระตุ้นกาลังซื้อกลุ่มที่ยังมีศักยภาพ เช่น นักลงทุน ผู้ที่ต้องการซื้อ
ที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 ขึ้นไป ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น ขยายการลดค่าธรรมเนียมการโอน
และจดจานองที่อยู่อาศัยสาหรับที่อยู่อาศัยทุกระดับราคา, ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
กรุงเทพฯ และปริมณฑล
สัดส่วนต่อมูลค่าโอนคอนโดทั้งประเทศ 15% 12% 16% 23%
24%
71%
29%
2022
62%
38%
2023
65%
35% 63%
37%
3M24
61%
2020 3M25
67%
33% 39%
2019
77%
23%
75%
25%
2021
50.6
37.7 39.7
2024
73.2 68.2
18.0 16.4
59.3
+23%
-7%
-9%
กรุงเทพฯ และปริมณฑล
ต่างจังหวัด
21% 29% 29%
โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2025 หดตัว โดยปัจจัยกดดันมีน้าหนักมากกว่าปัจจัยหนุน ทั้งความต้องการซื้อ และการเปิด
โครงการใหม่ สาหรับในปี 2026 คาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยจะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้
ใช้เวลาราว 4 ปี จึงจะระบายได้หมด (กรณีที่ไม่มีการเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติม)
43
แหล่งที่มาการขยายตัวของเงินเฟ้อไทย
หน่วย : %YOY
ดัชนีราคาผู้ผลิตและผู้บริโภค
หน่วย : %YOY
ไตรมาส 2 เงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มที่จะหดตัว
ต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก :
1.ราคาน้ามันดิบดูไบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับ
ลดลง
2.การปรับลดค่า Ft สาหรับรอบเดือน พ.ค.–ส.ค.
2025 ลง 17 สตางค์/หน่วย
3.ผลของฐานราคาผักสดที่อยู่ในระดับสูงในปีก่อน
จากปัจจัยด้านสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ
อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงด้านราคาจากความ
ขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสถานการณ์
ในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจกระทบราคาพลังงาน
และสินค้าเกษตรในตลาดโลก หากความตึงเครียด
ยืดเยื้อ อาจเป็นปัจจัยกดดันเงินเฟ้อในระยะถัดไป
-2%
-1%
0%
1%
2%
3%
4%
Jun-23
Aug-23
Oct-23
Dec-23
Feb-24
Apr-24
Jun-24
Aug-24
Oct-24
Dec-24
Feb-25
Apr-25
Core contribution Energy contribution Raw food contribution
Headline Core
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป รายหมวดสินค้า
หน่วย : %
กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ
ราคาพลังงานที่ลดลงมากเป็นปัจจัย
สาคัญที่ฉุดเงินเฟ้อติดลบ
-3.70%
-0.57%
-20%
0%
20%
Jan-19
Oct-19
Jul-20
Apr-21
Jan-22
Oct-22
Jul-23
Apr-24
Jan-25
PPI CPI
%YoY Share 2024 Dec-24 Jan-25 Feb-25 Mar-25 Apr-25 May-25 YTD
รวมทุกรายการ 100% 0.4% 1.2% 1.3% 1.1% 0.8% -0.2% -0.6% 0.5%
อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 39.5% 0.8% 1.3% 1.8% 2.0% 2.4% 1.6% 0.9% 1.7%
อาหารสด 17.4% 0.1% 0.2% 1.0% 1.1% 1.9% 0.3% -1.8% 0.5%
- เนื้อสัตว์ 3.0% -6.9% -0.6% -0.9% 0.5% 4.1% 8.4% 9.4% 4.3%
เครื่องประกอบอาหาร 1.2% -0.6% 2.2% 3.3% 5.2% 6.8% 6.2% 6.0% 5.5%
เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 3.4% 2.3% 3.3% 3.2% 3.3% 3.7% 4.2% 4.4% 3.8%
อาหารสาเร็จรูป 16.7% 1.4% 2.3% 2.5% 2.7% 2.4% 2.6% 3.4% 2.7%
เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า 2.1% -0.4% -0.5% -0.2% -0.3% -0.4% -0.6% -0.9% -0.5%
เคหสถาน 24.6% -0.2% 0.4% 0.4% 0.5% 0.0% -0.7% -0.3% 0.0%
ไฟฟ้า เชื้อเพลิง น้าประปาและแสง
สว่าง
5.8% -0.8% 1.4% 1.5% 1.5% 0.1% -2.8% -1.4% -0.3%
การตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล 6.4% 0.1% -0.4% -0.5% -0.5% -0.6% -0.7% -1.1% -0.7%
พาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร 22.2% 0.4% 2.7% 2.1% 0.5% -0.4% -3.0% -3.4% -0.9%
การบันเทิงการอ่าน การศึกษา และ
การศาสนา
4.0% 0.5% 0.4% 0.4% 0.4% 0.4% 0.7% 0.4% 0.5%
ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ 1.2% 1.2% 0.8% 0.8% 0.3% 0.1% 0.1% 0.1% 0.3%
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน 70.4% 0.6% 0.8% 0.8% 1.0% 0.9% 1.0% 1.1% 0.9%
เงินเฟ้อปี 2026
มีแนวโน้มต่ากว่า
กรอบเป้าหมาย
ต่อเนื่อง จากทั้ง
อุปสงค์ที่ฟื้นตัวช้า
และราคาพลังงาน
รวมถึงสินค้าเกษตร
ขยายตัวต่า
เงินเฟ้อทั่วไปยังคงติดลบ ผลจากราคาพลังงานที่ปรับลดลงต่อเนื่องและอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอลง ทั้งนี้ประเมิน
เงินเฟ้อในไตรมาส 2 จะยังติดลบ และเงินเฟ้อเฉลี่ยจะอยู่ต่ากว่ากรอบเป้าหมาย 1% ในปี 2025 และ 2026 ที่ 0.5%
และ 0.4% ตามลาดับ โดยความเสี่ยงจากสงครามในตะวันออกกลางเป็นปัจจัยสาคัญที่ต้องติดตาม
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์
44
เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วง Deleverage ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า โดยเพื่อลดความเสี่ยงจากภาระหนี้ต่อ GDP ที่สูงขึ้น
มากจากผลกระทบ COVID-19 ทั้งนี้สินเชื่อรายย่อยที่โตต่า ความระมัดระวังในการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนจะสร้าง
แรงกดดันเพิ่มเติมต่ออุปสงค์ในประเทศ
สัดส่วนหนี้ และตราสารหนี้คงค้างประเภทต่าง ๆ ต่อ GDP
หน่วย : %GDP
การเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนหนี้ต่อ GDP หลัง COVID-19 (2021Q1 เทียบ 2024Q3)
หน่วย : %GDP
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ สศช. BIS และ ธปท.
สัดส่วนหนี้ภาคเอกชนต่อ GDP ไทยทยอยลดลงตามการเติบโตของหนี้ที่ต่า ขณะที่หนี้ภาครัฐต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้นจาก GDP ที่โตต่า
-0.5%
-0.5%
-3%
-2%
-1%
0%
1%
2%
Q1-21 Q3-21 Q1-22 Q3-22 Q1-23 Q3-23 Q1-24 Q3-24
Nominal GDP
Outstanding
Household Debt
Household Debt to
GDP
95.5%
Q1/21
88.4%
Q4/24
การเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP
หน่วย : %QoQ
สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่ลดลง มาจากการหดตัวของยอดคงค้างหนี้ครัวเรือน
207
253
243
84
94
88
70
83
76
34
54 57
18 22 22
0
50
100
150
200
250
300
2019Q4 2022Q1 2024Q4
Grand Total
Households
Corporate
Government
Corporate
Bond
+2.9
-5.4 -6.5
-0.7
-9.6
-20
-10
0
10
Government Households Corporate Corporate Bond Grand Total
45
60
80
100
120
140
01/1994
12/1997
11/2001
10/2005
09/2009
08/2013
07/2017
06/2021
-2
0
2
4
6
8
2004
2007
2010
2013
2016
2019
2022
2025F
-10
-5
0
5
10
2004
2007
2010
2013
2016
2019
2022
2025F
คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย โดย SCB EIC
หน่วย : %,
GDP Growth (%YOY) Headline Inflation (%)
Target range
1-3%
GDP โตต่ากว่าศักยภาพ อัตราเงินเฟ้อต่า
NPL และ SM เพิ่มขึ้น
โดยยอดหนี้เสียเพิ่มขึ้น แต่ยอด
สินเชื่อลดลง
• หนี้เสียเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อ SMEs
และสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นสาคัญ
สัดส่วนคุณภาพหนี้ด้อยคุณภาพ (SM + NPL) ของสินเชื่อธุรกิจและรายย่อย
หน่วย : %ยอดคงค้างสินเชื่อ
Q4/24 Q1/25
สินเชื่อรวม 9.76 9.87
สินเชื่อธุรกิจ 9.09 9.15
วงเงิน > 500 ลบ 5.14 5.05
วงเงิน <= 500 ลบ 19.69 20.62
สินเชื่ออุปโภคบริโภค 11.21 11.41
คุณภาพสินเชื่อทยอยปรับด้อยลง
Nominal Effective Exchange Rate
Index 2012 = 100
Appreciation
1.4
0.4
แนวโน้มดอกเบี้ยของไทยจะยังปรับลดลง จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่เปราะบาง เงินเฟ้อต่า และความเปราะบางทางการเงิน
จากคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง
-4
-2
0
2
4
6
01/2009
11/2009
09/2010
07/2011
05/2012
03/2013
01/2014
11/2014
09/2015
07/2016
05/2017
03/2018
01/2019
11/2019
09/2020
07/2021
05/2022
03/2023
01/2024
11/2024
Policy Interest Rate Inflation Expectation (1-Year ahead) Real Rate
Policy rate Current End-25F End-26F
Nominal 1.75 1.25 1.0
Real 1.0 0.75 0.6
ดอกเบี้ยนโยบายไทยยังลดลงต่อเนื่อง
• ดอกเบี้ยนโยบายไทยจะยังเป็นขาลงในระยะ
ข้างหน้า เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ และ
เอื้อต่อกระบวนการ Deleveraging หนี้ครัวเรือน
ขณะที่ดอกเบี้ยต่าอาจไม่กระตุ้นการก่อหนี้
ครัวเรือนในอดีต
• สงครามอิสราเอล-อิหร่าน อาจสร้างความไม่
แน่นอนให้กับแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยใน
ระยะสั้นได้ หากสถานการณ์รุนแรงจนทาให้ราคา
โภคภัณฑ์เริ่มสร้างแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อ
หมายเหตุ : Inflation expectation จาก Bloomberg Median (ปี 2016-ปัจจุบัน) สาหรับก่อนปี 2016 ใช้ข้อมูลจริงอัตราเงินเฟ้อทั่วไป 1 ปีข้างหน้า
ที่มา : สศช. BIS ธปท. และกระทรวงพาณิชย์
10-year avg. = -0.1
20-year avg. = -0.1
46
Aggregate USD position,
หน่วย : Billion USD (Non-commercial traders)
• ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง จาก 1) ทรัมป์กลับมาขู่ขึ้นภาษีนาเข้าเป็นบางช่วง
2) ความกังวลเรื่องดุลการคลังสหรัฐฯ 3) เลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ บางตัวปรับแย่ลง
• ค่าเงินภูมิภาคแข็งค่าขึ้น จากเงินทุนไหลเข้า และข้อตกลงการค้า
• ราคาทองกลับมาสูงขึ้นบางช่วง จากความเสี่ยงสงครามใน Middle East
• เงินทุนไหลเข้าตลาดบอนด์ไทย บางส่วนมาเก็งกาไรค่าเงิน
ทั้งนี้เงินบาทอ่อนค่าบางช่วงจากความไม่แน่นอนเรื่อง Tariffs หลังศาลการค้าสหรัฐฯ
พิพากษาให้มาตรการภาษีนาเข้าของทรัมป์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เงินบาทแข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่นในภูมิภาค จากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก
75
46
20
14 14 9 6
0
20
40
60
80
THB CNY KRW MYR IDR INR PHP
1 year 5 year
Correlation ราคาทองกับเงินภูมิภาค
หน่วย : %
เงินบาทแข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่น จากเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค และการอ่อนค่าของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะตลาด
ปรับมุมมองต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ แย่ลง ตามความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีมากขึ้น
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB FM จากข้อมูลของ Bloomberg และ ธปท.
47
Foreign Holdings in LCY Govt Bonds
หน่วย : %
มองเงินบาท 31.50-32.50 ปลายปี แต่อาจอ่อนค่าจากข่าว Tariffs บางช่วง
% of foreign assets held by each country
หน่วย : %
•วัฏจักรเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงจะเป็นปัจจัยหลักที่ทาให้บาทแข็งค่าในปีนี้
สะท้อนจากการเทขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ของนักลงทุนต่างชาติ
•เงินทุนที่มีแนวโน้มไหลเข้ายุโรปและเอเชีย เพราะนักลงทุนมองว่าธนาคารกลาง
เอเชียมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อ และเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า
•แต่แนวโน้ม Repatriation flows ของไทยจะยังน้อยกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค
โดยพบว่ามูลค่าการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ (หุ้นและพันธบัตร) ของไทยยังต่า
มูลค่าการถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศ
หน่วย : Trillion USD
นักลงทุนไทยยังลงทุนในสินทรัพย์
ต่างประเทศในสัดส่วนต่า
9.8
11.9
14.5
19.8
22.2
0
5
10
15
20
25 Thailand
Japan
Indonesia
Korea
Malaysia
เงินทุนเคลื่อนย้ายสู่ตลาดการเงินไทย
หน่วย : พันล้านบาท
-110
-60
-10
40
90
Apr-23
Jun-23
Aug-23
Oct-23
Dec-23
Feb-24
Apr-24
Jun-24
Aug-24
Oct-24
Dec-24
Feb-25
Apr-25
Jun-25
Equity market Bond market
Bn THB YTD 2024 2023 2022
Equity -54.6 -148 -193 +196.9
Bond +58.3 -70 -144 +46.8
เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อได้ ตามวัฏจักรเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าและการไหลออกของเงินทุนจากสหรัฐฯ ทั้งนี้บาทอาจ
ไม่แข็งค่าเร็ว เพราะที่ผ่านมาสัดส่วนลงทุนต่างประเทศของไทยยังต่า ทาให้ Repatriation flows กลับไทยน่าจะมีน้อย
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB FM จากข้อมูลของ Bloomberg ThaiBMA และ SETSMART
48
ภาคการผลิตไทยฟื้นตัวช้า จากปัญหา China flooding ที่รุนแรงขึ้น
รวมถึงยังต้องจับตาผลการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ
ซึ่งอาจมีบางอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหรือได้อานิสงส์
49
ดัชนีมูลค่าการส่งออกสินค้า จาแนกตามประเทศและภูมิภาค
149.8
184.5
221.7
60
120
180
Jan 19 Jul 19 Jan 20 Jul 20 Jan 21 Jul 21 Jan 22 Jul 22 Jan 23 Jul 23 Jan 24 Jul 24 Jan 25
World ASEAN Africa Latin America Thailand
China
export growth
%CAGR
2019 – 24
Q1/25 Apr 25
%YOY
World 7% 6% 8%
ASEAN 10% 8% 21%
Thailand 14% 18% 28%
Malaysia 14% 3% 15%
Vietnam 11% 16% 23%
Indonesia 11% 12% 37%
หน่วย : Index sa 3mm_ Average 2019 = 100
ดุลการค้าไทย รายประเทศ
หน่วย : ล้านดอลลาร์สหรัฐ
2019 2020 2021 2022 2023 2024 Jan - Apr 25 %YTD
World 10,016 25,483 5,131 -13,605 - 3,435 - 6,356 - 2,251 -61%
% Nominal GDP 1.8% 5.1% 1.0% -2.7% -0.7% -1.2%
Major trade deficit
CHINA -21,101 -19,988 -29,288 -36,337 -36,653 -45,365 - 19,233 40%
SOUTH AFRICA - 5,449 - 6,116 - 7,498 - 9,003 -13,074 -17,595 - 5,713 -25%
SWITZERLAND - 2,070 2,263 - 7,767 -13,672 -11,771 -13,140 - 3,945 -8%
JAPAN - 8,673 - 4,878 -10,659 - 9,821 - 6,601 - 5,449 - 1,868 -6%
Major trade surplus
USA 14,066 19,574 27,571 29,791 29,046 35,428 13,995 32%
INDIA 3,659 2,796 5,897 7,023 5,973 7,700 4,242 99%
CLMV 12,055 14,007 15,238 11,371 13,405 4,134 3%
EU28 2,770 3,543 5,040 6,571 3,755 6,711 3,217 81%
HONG KONG 8,737 9,287 8,733 7,350 8,485 4,664 1,783 -41%
SINGAPORE 1,290 2,028 1,719 2,082 2,112 2,969 899 24%
7.0
1.8
1.8
1.7
-0.2 -0.6
-1.3 -0.6
9.6
CHINA
MIDDLE EAST
ASEAN5
SWAZILAND
TAIWAN
EU28
SOUTH AFRICA
ROW
TOTAL IMPORT
Contribution to TH import growth 4 เดือนแรกของปี 2025
หน่วย : Percentage point
ไทยกลายเป็นจุดหมายสาคัญในการระบายสินค้าออกจากประเทศจีน โดยมูลค่าส่งออกมายังไทยเติบโตสูงสุดในอาเซียน
และสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ไทยนาเข้าจากจีนเร่งตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ CEIC และกระทรวงพาณิชย์
50
ความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องชี้ข้อมูลด้านการค้า การบริโภค และการผลิตของไทย
หน่วย : Index_ Average 2015 - 2019 = 100
Correlation Export
ดัชนีการบริโภค
ภาคเอกชน (PCI)
MPI
ปี 2015 - 2020 0.91 0.81
ปี 2021 – 2024 -0.51 -0.60
Import from
China
ปี 2015 – 2020 0.85 0.87
ปี 2021 – 2024 0.98 0.77
122
129
90
227
135
50
100
150
200
250
2016 2017 2018 2019 2020 2021 2022 2023 2024 Q1/25 Apr-25
PCI Export MPI Import_China Import_Non-China
%YOY 2015 - 19 2021 - 24 Jan – Apr 25
Total Import 4% 5% 10%
Import_China 5% 7% 29%
Import_non-China 4% 4% 3%
การทะลักเข้ามาของสินค้านาเข้าจากจีน กดดันการฟื้นตัวของภาคการผลิตของไทย
0
80
100
120
140
260
2018 2021 2024 Jan-
Apr25
มูลค่าการนาเข้าจากจีน MPI
0
80
100
120
140
160
180
2018 2021 2024 Jan-
Apr25
0
80
100
120
140
2018 2021 2024 Jan-
Apr25
0
70
80
90
100
110
140
2018 2021 2024 Jan-
Apr25
0
80
100
120
140
2018 2021 2024 Jan-
Apr25
0
100
150
200
2018 2021 2024 Jan-
Apr25
เหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก
(3.5%)
ผลิตภัณฑ์จากอะลูมิเนียม
(2.3%)
ชิ้นส่วนยานยนต์
(2.0%)
แผงวงจรรวม (IC)
(2.8%)
สายไฟ / สายเคเบิล
(1.1%)
เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก
(1.0%)
หน่วย : Index 2021 = 100 และ (%) สัดส่วนมูลค่าเพิ่มจากการผลิตในประเทศ
การทะลักเข้ามาของสินค้าจีนกดดันการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม การบริโภคและการผลิตเพื่อส่งออกเริ่มถูกแทนที่ด้วย
สินค้านาเข้า สะท้อนจากความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมการผลิตในประเทศกับอุปสงค์ในและต่างประเทศที่น้อยลง
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ CEIC, กรมศุลกากร และสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)
51
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการทะลักเข้ามาของสินค้านาเข้าจากจีน
เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ส่งผลให้เกิดปัญหา
สินค้าคงคลังล้นตลาด
: ธุรกิจจีนเร่งระบายสินค้าส่วนเกินออกสู่ต่างประเทศ
: ความตกลงการค้าเสรี (FTA) เอื้อการนาเข้าสินค้า
เข้ามาในไทยสะดวกและเสียภาษีน้อยลง
การเติบโตของธุรกิจและแพลตฟอร์ม
E-commerce ข้ามชาติ
: 30% ของสินค้าที่ซื้อขายผ่านช่องทาง
E-Commerce ในไทยเป็นสินค้านาเข้า
: การเติบโตของ Platform ต่างชาติ เช่น SHEIN และ
TEMU สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทยในวงจากัด
เพราะยังไม่ได้เข้ามาลงทุนหรือจัดตั้งฐานการดาเนินงาน
ภายในประเทศ
ความเสี่ยงจากกิจกรรมสวมสิทธิ์และธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนาเข้าเป็นหลัก (High import content)
ธุรกิจสวมสิทธิ์
ธุรกิจที่พึ่งพา
วัตถุดิบนาเข้าเป็นหลัก
ลักษณะธุรกิจ ธุรกิจที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่
3 เพื่ออ้างอิงแหล่งกาเนิด และไม่ได้มีการผลิตจริงในประเทศ
ไทย
• การเติบโตของภาคส่งออกและกิจกรรมการผลิต
ในประเทศเพื่อการส่งออก ไม่สอดคล้องกันอย่างชัดเจน
มากขึ้น นับตั้งแต่ปี 2023 ซึ่งอาจเกิดจากบทบาทของธุรกิจ
สวมสิทธิ์ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
ธุรกิจที่ดาเนินการผลิตจริงในไทย แต่พึ่งพาการนาเข้า
วัตถุดิบ/ชิ้นส่วนจากต่างประเทศในสัดส่วนสูง
การเติบโตของมูลค่าการนาเข้าสินค้าจากประเทศจีน
• การนาเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบขั้นกลางจากจีนที่ขยายตัว
ต่อเนื่อง อาจส่งผลให้การสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศจาก
ห่วงโซ่การผลิตลดลง
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
และภาคธุรกิจไทย
• สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจไทยในระดับต่า
• ก่อให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการในประเทศ จากข้อได้เปรียบด้านต้นทุนและสิทธิพิเศษทางภาษี
• ผู้ประกอบการไทยอาจเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff Measures) ที่เข้มงวดขึ้น
อาทิ การตรวจสอบแหล่งกาเนิดสินค้าอย่างละเอียด การสุ่มตรวจและกักกันสินค้าที่ท่าเรือปลายทาง ซึ่งส่งผลให้กระบวนการ
ส่งออกมีความซับซ้อนมากขึ้น และทาให้ต้นทุนแฝงเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
3% 1% 4%
16% 15% 18%
23%
40%
19%
Total import from
China
Capital goods Intermediate goods
2016 - 19 2020 - 24 Jan - Apr 25
%YOY
มูลค่าการผลิตเพื่อส่งออก
จากโรงงานในประเทศ
มูลค่าการส่งออกสินค้า
(ไม่รวมทอง)
2019 - 22 +11.3% +5.3%
2023 -2.0% -0.8%
Jan 24 – Apr 25 -0.5% +7.5%
1
2
3
หมายเหตุ : กระบวนการแปรรูปเบื้องต้นหรือเปลี่ยนแปลงสินค้าเพียงเล็กน้อย เพื่อให้สินค้านั้นเสมือนผลิตในประเทศใหม่ แม้ที่จริงแล้ววัตถุดิบหลักหรือสินค้าเกือบทั้งหมดมาจากการนาเข้า
ที่มา : SCB EIC analysis based on data from Priceza Insights กระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)
การทะลักเข้ามาของสินค้านาเข้าและความเสี่ยงจากการประกอบธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจไทยในระดับต่า
มีส่วนทาให้ภาคการผลิตไทยฟื้นตัวช้าและผู้ประกอบการบางส่วนก็อาจเผชิญมาตรการกีดกันการค้าที่เข้มงวดขึ้น
52
กุ้งแช่แข็ง, 1.0%
เม็ดพลาสติก, 1.0%
เส้นใยประดิษฐ์, 0.3%
ยางล้อ, 1.0%
ยางแท่ง ยางแผ่น, 0.4%
น้ายางข้น, 0.9%
ถุงมือยาง, 0.1%
ชิ้นส่วนยานยนต์, 3.0%
ผลิตภัณฑ์พลาสติก, 2.0%
เหล็ก ผลิตภัณฑ์เหล็ก, 2.0%
ผลิตภัณฑ์
อะลูมิเนียม, 2.0%
วงจรพิมพ์ PCB PWB, 0.1%
แผงวงจรไฟฟ้า / แผงโซลาร์เซลล์
/ชิ้นส่วน EE อื่น ๆ, 12.0%
แบตเตอรี่, 0.1%
สายไฟฟ้า สายเคเบิล, 1.4%
เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก,
2.0%
เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่,
2.0%
เครื่องปรับอากาศ, 0.1%
ยานยนต์ จักรยานยนต์, 0.1%
เฟอร์นิเจอร์, 1.3%
เภสัชภัณฑ์, 0.4%
-30%
-10%
10%
30%
50%
-25% 0% 25%
มู
ล
ค่
า
การผลิ
ต
เพื
่
อ
ส่
ง
ออกจากโรงงานในไทย
(%YTD_Jan
–
Apr
2025)
มูลค่าการส่งออก (%YTD_Jan – Apr 2025)
กิจกรรมสวมสิทธิ์ และธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนาเข้าในสัดส่วนสูง มีการกระจุกตัวในหลายอุตสาหกรรมสาคัญของไทย
โดยเฉพาะกลุ่มแผงวงจรไฟฟ้าและแผงโซลาร์เซลล์ ผลิตภัณฑ์จากอะลูมิเนียมและพลาสติก รวมถึงชิ้นส่วนยานยนต์
The mismatch between Thailand’s export growth and domestic production for export shipments
Bubble size : สัดส่วนมูลค่าธุรกิจที่ ‘ต้องสงสัย/เข้าข่าย’
กิจกรรมสวมสิทธิ์หรือธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนาเข้าเป็นหลัก (High import content)
SCB EIC Investigation
5% ของธุรกิจภาคการผลิต ‘ต้องสงสัย/เข้าข่าย’
กิจกรรมสวมสิทธิ์หรือธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบ
นาเข้าเป็นหลัก
: คิดเป็นสถานประกอบการ 3,000 แห่งทั่วประเทศจากข้อมูลปี 2023
: สูงขึ้นจากค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2014–2019 ซึ่งอยู่ที่ 1%
Investigation methodology*
• ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนกว่า 7.5 หมื่นแห่งในภาคอุตสาหกรรมระหว่างปี 2015 - 2024
• ประเมินความเสี่ยงของกิจกรรมสวมสิทธิ์และธุรกิจที่พึ่งพาการนาเข้าวัตถุดิบเป็นหลัก
โดยพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงิน 3 ประเภท ได้แก่ 1) Cost ratio
2) Inventory turnover ratio และ 3) Revenue-to-fixed asset ratio
Policy implications:
• ปรับแผนดึงดูดการลงทุน (BOI อยู่ระหว่างดาเนินการ)
: สัดส่วนการใช้ Local content มีที่การบังคับใช้และตรวจสอบอย่างจริงจัง
: กาหมดเงื่อนไขการแปรสภาพวัตถุดิบหลักเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างเพียงพอ
• พัฒนาระบบตรวจสอบโรงงานเชิงลึก (Factory vetting)
เพื่อประเมินศักยภาพการผลิตจริง เทียบกับมูลค่าการส่งออก
• มาตรการคุ้มครองและเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน
แก่ผู้ประกอบการในท้องถิ่น
อาทิ ให้ความรู้และบังคับใช้มาตรการ Anti-Dumping อย่างจริงจัง
ที่มา : SCB EIC analysis based on data from DBD กรมศุลกากร และสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)
53
การเจรจากับสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อบางอุตสาหกรรมของไทย หากต้องเปิดตลาดเสรีให้สหรัฐฯ โดยไม่มีเงื่อนไข สินค้าที่คาดว่าจะกระทบ ได้แก่
ข้าวโพด, เนื้อสุกร และไก่ ที่มีความอ่อนไหวสูง เนื่องจากไทยมีต้นทุนการผลิตสูงกว่า ประกอบกับผลผลิตมีเพียงพอความต้องการบริโภคอยู่แล้ว
ตัวชี้วัดระดับความอ่อนไหวของอุตสาหกรรมต่อการเปิดตลาดเสรี
-20
0
20
40
60
80
100
120
0.0 0.2 0.4 0.6 0.8 1.0 1.2 1.4 1.6 1.8 2.0 2.2 2.4
ข้าวโพด เกษตรกร 4.2 แสนครัวเรือน
ถั่วเหลือง
สุกรขุน เกษตรกร 1.5 แสนราย
โคเนื้อ
ไก่เนื้อ** เกษตรกร 0.26 แสนราย
น้านมดิบ
ก๊าซธรรมชาติ*
สัดส่วนการนาเข้าต่อปริมาณการบริโภค/ใช้ทั้งหมดในประเทศ (%) 2024
Bubble size = จานวนเกษตรกร/ผู้ผลิตในประเทศ (ครัวเรือน/ราย)
สินค้า มาตรการกีดกันสินค้า
จากสหรัฐฯ
ระดับความ
อ่อนไหว***
คาอธิบาย
ข้าวโพด ภาษีนาเข้า 73% สูง ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ ไทยนาเข้าไม่มาก การเปิดตลาดโดยไม่มีเงื่อนไข
นาเข้าจะส่งผลลบต่อเกษตรกร 4.2 แสนครัวเรือน แต่จะส่งผลดีผู้ผลิตอาหารสัตว์
เนื้อสุกรและ
เครื่องใน
ภาษี 40%, Import
ban: สารเร่งเนื้อแดง
สูง ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ มาก ไทยพึ่งพาผลผลิตในประเทศทั้งหมด การเปิด
ตลาดเสรีจะส่งผลลบต่อเกษตรกร 1.5 แสนครัวเรือนและผู้ผลิตอาหารสุกร
เนื้อไก่และ
เครื่องใน
ภาษี 30%-40%, Ban:
โรคไข้หวัดนก (HPAI)
สูง ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ มาก ไทยพึ่งพาผลผลิตในประเทศทั้งหมด การเปิด
ตลาดเสรีแบบไม่มีเงื่อนไขจะส่งผลลบต่อผู้ผลิตในประเทศ
เนื้อวัวและ
เครื่องใน
ภาษี 30%-50%,
Ban: สารเร่งเนื้อแดง
ปานกลาง แม้ต้นทุนการผลิตในไทยจะสูงกว่าสหรัฐฯ มาก แต่ไทยมีการนาเข้าเนื้อวัวอยู่แล้ว ซึ่งการ
เปิดตลาดเสรีจะทาให้กลุ่มผู้ผู้ผลิตเนื้อวัวเกรดพรีเมียม เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
ก๊าซธรรมชาติ ควบคุมปริมาณการ
นาเข้า
ต่า แม้ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ แต่ไทยพึ่งพาการนาเข้าราว 53% และภาครัฐให้
ความสาคัญกับการใช้ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศเป็นหลัก ทาให้ไม่กระทบผู้ผลิต
ถั่วเหลือง ไม่กีดกัน ต่า แม้ต้นทุนการผลิตในไทยจะสูงกว่าสหรัฐฯ มาก แต่ไทยพึ่งพาการนาเข้าเกือบ 99% โดย
ส่วนใหญ่นาเข้าจากบราซิลซึ่งถั่วเหลืองราคาถูกและมีโปรตีนดีกว่าสหรัฐฯ
ผลิตภัณฑ์นม ภาษี 5% - 30% ต่า ต้นทุนการผลิตในไทยต่ากว่าสหรัฐฯ ซึ่งไทยนาเข้าผลิตภัณฑ์นมมากราว 30% โดยเฉพาะ
นมผงขาดมันเนยจาก AUS, NZ เพื่อผลิตแล้วส่งออกไปตลาด ASEAN
ผลไม้และพืชเมืองหนาว เช่น แอปเปิล
เชอรี่ ข้าวสาลี
มีผลกระทบค่อนข้างน้อย เนื่องจากผู้ผลิตในไทยมีไม่มาก จากสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสมสาหรับการ
เพาะปลูก
สัดส่วนต้นทุนการผลิตในไทยเทียบกับต้นทุนการผลิตในสหรัฐฯ
รวมค่าขนส่งมาไทย ปี 2024
ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ
แม้จะรวมค่าขนส่งมาไทยแล้ว
ระดับความอ่อนไหวของอุตสาหกรรมในประเทศต่อการเปิดตลาดเสรีให้สหรัฐฯ หากไม่มีการกาหนดเงื่อนไขการนาเข้า (กรณีแย่ที่สุด)
หมายเหตุ : *สัดส่วนต้นทุนการผลิตของก๊าซธรรมชาติ เปรียบเทียบจากราคาก๊าซฯ ที่ประกาศโดย กกพ. ต่อราคาส่งออกก๊าซของสหรัฐฯ รวมกับค่าขนส่งปี 2024, ** คานวณต้นทุนของสหรัฐฯ โดยใช้สัดส่วนต้นทุนการเลี้ยงไก่ต่อต้นทุนในการเลี้ยงสุกรในไทยคูณกับต้นทุนการ
ผลิตสุกรในสหรัฐฯ เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่เปิดเผยข้อมูลต้นทุนการเลี้ยงไก่, ***ระดับความอ่อนไหว พิจารณาจาก 1) สัดส่วนต้นทุนการผลิตในไทยเทียบกับต้นทุนการผลิตในสหรัฐฯ รวมค่าขนส่งมาไทย 2) สัดส่วนการนาเข้าต่อปริมาณการบริโภคในประเทศ 3) จานวนผู้ผลิตใน
ประเทศ และ 4) ปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ USDA, Trade Map, OAE และ CEIC
54
ภาพรวมแนวโน้มภาวะธุรกิจยังเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น
แต่ยังมีบาง Subsegment ของธุรกิจแต่ละประเภทที่ยังมีโอกาสเติบโต
55
Electronic
components
Consumer
electronics
Home
appliances
Solar PV
Plastic
products
Steel
producer
Hard Disk
Drive (HDD)
Auto parts
Motorbike
Auto
makers
Industrial
estate
Petrochemical
Rubber
gloves
Transport
Logistics
Real estate Hotel
Agriculture
product
Seafood
Fresh and
Processed
Fruits
Negative outlook
Export to China / China Economic slowdown
Export to US / US Economic slowdown
China influx
Domestic market slowdown
Global economic slowdown (excl. US and China)
Packaged
foods
Hospital
Wholesale
& retail
Rubber
wood
Private
construction
แนวโน้มภาวะธุรกิจปี 2025 และความเสี่ยงในระยะข้างหน้า
ประเด็นความเสี่ยงต่อ
ภาคธุรกิจที่ต้องจับตามอง
ความไม่แน่นอนของ
Trump policy และ
ผลการเจรจาการค้ากับ US
ปัญหาสินค้าจีนทะลักและ
ความสามารถในการแข่งขัน
ความเปราะบางของ
กาลังซื้อในประเทศ
Power
Plant
ปัญหา Geopolitics
ของประเทศต่าง ๆ
และการชะลอตัวของ
เศรษฐกิจโลก
Restaurant
Beverages
แนวโน้มภาวะธุรกิจยังเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ และจีน กลุ่มที่พึ่งพากาลังซื้อในประเทศฟื้นตัวได้ช้า โดยเฉพาะ
ตลาดบ้านและรถยนต์ กลุ่มที่เผชิญปัญหาสินค้าจีนทะลักรุนแรงขึ้น ขณะที่กลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยวมีปัจจัยลบมากขึ้นส่งผลต่อแนวโน้มการฟื้นตัว
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC
Positive outlook
56
แม้ภาคธุรกิจจะเผชิญความท้าทายอยู่มากทั้งความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและผลกระทบจาก Mega trend ของโลกที่เข้ามา Disrupt ธุรกิจ
แต่ยังมีบาง Subsegment ของธุรกิจแต่ละประเภทที่ยังมีโอกาสเติบโต ขณะเดียวกัน ยังมีบาง Subsegment ที่ต้องระมัดระวังอย่างใกล้ชิด
ปัจจัยชี้วัด 1) ความอ่อนไหวต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ความผันผวนของกาลังซื้อในประเทศ อุปสงค์จากต่างประเทศ ผลกระทบจาก Geopolitics และสงครามการค้า 2) ศักยภาพการแข่งขัน เทียบกับคู่แข่ง 3) ความท้าทายและโอกาสจาก Key mega trend ต่าง ๆ
ได้แก่ ประเด็นความยั่งยืน, Health & wellness. New technology และ Demographic changes
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC
Outlook ไตรมาส 2/2025 SCB EIC ยังคงมุมมองประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตต่ำที่ 1.5% และต่อเนื่องไปในปี 2026 ที่ 1.4%
Outlook ไตรมาส 2/2025 SCB EIC ยังคงมุมมองประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตต่ำที่ 1.5% และต่อเนื่องไปในปี 2026 ที่ 1.4%

Outlook ไตรมาส 2/2025 SCB EIC ยังคงมุมมองประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตต่ำที่ 1.5% และต่อเนื่องไปในปี 2026 ที่ 1.4%

  • 1.
  • 2.
    3 Executive summary :Global economy Elevated Global Uncertainty • SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกจะอยู่กับความไม่ แน่นอนสูงตลอดปี 2025 – 2026 จากนโยบายสหรัฐฯ โดยเฉพาะกาแพงภาษีศุลกากร อีกทั้ง สงครามรัสเซีย- ยูเครนยังไม่สิ้นสุดลง สงครามอิสราเอล-อิหร่านกลับ รุนแรงขึ้น • โลกจะเผชิญความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตรา แลกเปลี่ยนและการลงทุนระหว่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากความเชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและ สินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลงจากหลายปัจจัยภายในสหรัฐฯ เอง ทั้งความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ปัญหาความยั่งยืน ทางการคลัง และความเชื่อมั่นต่อระบบการตรวจสอบ และถ่วงดุลอานาจที่อ่อนแอลง รวมถึงความพยายาม ในการแทรกแซงธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) Global Economic Outlook • เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงมากในปีนี้ และปีหน้า โดยในปีนี้จะโตเหลือเพียง 2.3% ชะลอลง มากจาก 2.8% ในปีก่อนด้วยผลของสงครามการค้า ที่จะรุนแรงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 เป็นต้นไป แม้ว่าภาพในปีนี้จะปรับดีขึ้นบ้างจากมุมมองเดิมที่ 2.2% ตามการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ ที่คืบหน้า และการเร่ง ผลิตและส่งออกก่อนได้รับผลกระทบจากภาษีนาเข้า สหรัฐฯ • สาหรับปี 2026 เศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มขยายตัวต่า ใกล้เคียงปีนี้ โดยเศรษฐกิจหลักมีแนวโน้มฟื้นตัว เล็กน้อย ยกเว้นจีนที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง จากผลของสงครามการค้าและปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่มีอยู่แล้ว Global Monetary Policy • ธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบาย การเงินแตกต่างกันตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ (ยกเว้นญี่ปุ่น) ท่ามกลางสงครามการค้า ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง • ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย เพียง 75 bps ในปี 2025-2026 เนื่องจากยังมี ความเสี่ยงเงินเฟ้อสูงจากกาแพงภาษี • ธนาคารกลางยุโรป (ECB) วัฏจักรการลดดอกเบี้ยใกล้ สิ้นสุด ปีนี้ปรับลดแล้ว 100 bps และมีแนวโน้มลดอีก 25 bps จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่ต่าลง • ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย เพิ่มเติมสู่ระดับ 1% ในปี 2026 เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ
  • 3.
    4 Executive summary :Thai economy เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่า ในช่วง 2 ปีข้างหน้า • SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่า ที่ 1.5% และ 1.4% ในปี 2025 และ 2026 ตามลาดับ ผลกระทบจากสงครามการค้า ความไม่แน่นอนในระดับสูง แผลเป็นเศรษฐกิจที่มีอยู่เดิมและข้อจากัดด้านการคลัง โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจเห็นเศรษฐกิจไทย โตเฉลี่ยต่ากว่า 1% • นักท่องเที่ยวต่างชาติลดเหลือ 34.2 ล้านคน หดตัว จากปีก่อน ตามจานวนนักท่องเที่ยวจีนที่หดตัวและการ ระมัดระวังใช้จ่ายท่องเที่ยวตามอุปสงค์โลก • การลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง ความไม่แน่นอน ของนโยบายการค้าโลก และความเชื่อมั่นภาคธุรกิจปรับ ลดลง • การบริโภคภาคเอกชนจะชะลอลงมาก สะท้อนจาก ความเปราะบางด้านการจ้างงานและรายได้ ท่ามกลาง ภาวะการเงินที่ยังตึงตัว แนวโน้มดอกเบี้ยของไทย จะยังปรับลดลง • เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วง Deleverage ในระยะ 2-3 ปี ข้างหน้า เพื่อลดความเสี่ยงจากภาระหนี้ต่อ GDP ที่สูงขึ้น มากจากผลกระทบ COVID-19 ทั้งนี้สินเชื่อรายย่อยที่โตต่า ความระมัดระวังในการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนจะสร้าง แรงกดดันเพิ่มเติมต่ออุปสงค์ในประเทศ • ดอกเบี้ยนโยบายไทยจะยังเป็นขาลงในระยะข้างหน้า ซึ่งจะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ และเอื้อต่อ กระบวนการ Deleveraging หนี้ครัวเรือนและธุรกิจ แม้ ประสิทธิภาพในการกระตุ้นการใช้จ่ายอาจกาจัดในภาวะ ที่ความไม่แน่นอนสูง ธุรกิจไทยเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น แต่โอกาสในบาง Subsegment ยังพอมี • แนวโน้มภาวะธุรกิจยังเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ และจีน กลุ่มที่พึ่งพากาลังซื้อในประเทศฟื้นตัวได้ช้า โดยเฉพาะ ตลาดบ้านและรถยนต์ กลุ่มที่เผชิญปัญหาสินค้าจีน ทะลักรุนแรงขึ้น ขณะที่กลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยว มีปัจจัยลบมากขึ้นส่งผลต่อแนวโน้มการฟื้นตัว • บาง Subsegment ของธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตได้ จากการปรับตัวพัฒนาสินค้าและบริการให้ยังสามารถ ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคศักยภาพสูง อาทิ ธุรกิจที่เน้นนักท่องเที่ยวกลุ่มเติบโตใหม่ ธุรกิจที่มี สินค้าและบริการมีเอกลักษณ์เฉพาะ กลุ่มที่ตอบโจทย์ Mega trends ได้แก่ เทรนด์ health and wellness
  • 4.
  • 5.
  • 6.
    7 ความไม่แน่นอนของโลกและความไม่แน่นอนนโยบายการค้าโลก หน่วย : ดัชนี ดัชนีความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์(Geopolitical Risk Index, GPR) หน่วย : ดัชนี 72,733.5 77,997.7 1,151.4 723.1 0 200 400 600 800 1000 1200 1400 1600 1800 0 10,000 20,000 30,000 40,000 50,000 60,000 70,000 80,000 90,000 1998q4 2000q2 2001q4 2003q2 2004q4 2006q2 2007q4 2009q2 2010q4 2012q2 2013q4 2015q2 2016q4 2018q2 2019q4 2021q2 2022q4 2024q2 May-25 World Uncertainty Index (WUI) (LHS) Trade Policy Uncertainty Index (TPU) (RHS) โลกกาลังเผชิญความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจในระดับสูงหลายมิติ นโยบายการค้าของ Trump และความเสี่ยง ด้านภูมิรัฐศาสตร์ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Caldara, Dario, Matteo Iacoviello, Patrick Molligo, Andrea Prestipino, and Andrea Raffo (2020), “The Economic Effects of Trade Policy Uncertainty,” Journal of Monetary Economics, 109, pp.38-59, Hites Ahir & Nicholas Bloom & Davide Furceri, 2022. "The World Uncertainty Index และ Chief Economist Survey เดือน เม.ย. 2025 โดย World Economic Forum (สารวจ Chief Economist 38 คนทั่วโลก) ผลสารวจ Chief Economist Survey โดย WEF (May 2025) หน่วย : % Chief Economist ผู้ตอบแบบสอบถาม 3 16 82 0% 10% 20% 30% 40% 50% 60% 70% 80% 90% 100% ความไม่แน่นอนในปัจจุบัน ต่ามาก ต่า ปานกลาง สูง สูงมาก 0 100 200 300 400 500 600 05/98 01/00 09/01 05/03 01/05 09/06 05/08 01/10 09/11 05/13 01/15 09/16 05/18 01/20 09/21 05/23 01/25 Geopolitical Risk Index ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์มีแนวโน้ม เพิ่มขึ้นในเดือน มิ.ย. จากสงคราม อิสราเอลที่รุนแรงขึ้น May 158.0 Apr 141.1
  • 7.
    8 สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนาเข้ากับ 60ประเทศ/กลุ่มเศรษฐกิจ ที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ สูง ในอัตราแตกต่างกัน เลื่อนบังคับใช้ 90 วัน มีผล 9 ก.ค. สาหรับจีนจัดเก็บ 10% ถึง 12 ส.ค. (เป็นอัตราสูงสุดที่เก็บเพิ่มจาก Universal tariffs) สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนาเข้า 10% กับสินค้าจากทุกประเทศ มีผลแล้ว 5 เม.ย. (ไม่ใช้กับ Mexico & Canada) ศาลอยู่ระหว่างไต่สวนอานาจออกนโยบาย Tariffs ของทรัมป์ Policy uncertainty ยิ่งสูงขึ้น Trump’s Tariff policies under IEEPA ชนะศาลอุทธรณ์/ฎีกา หรือ รัฐสภาเห็นชอบ Sec.122 (BOP deficit) แทน Universal Tariff up to 15%, 150 days Sec.301 (Unfair trade) ใช้อานาจประธานาธิบดี สั่ง USTR ให้ทา Country Specific Tariffs Sec.232 ขยายประเภท Product Specific Tariffs Trade policy uncertainty รูปแบบกาแพงภาษี กรอบระยะเวลา และความต่อเนื่องการเจรจาการค้า Probability of worse case สหรัฐฯ มีกลไก check & balance ลดอานาจการต่อรองของ Trump Legal validation The Trade Acts 1974 นโยบายกาแพงภาษีนาเข้าของสหรัฐฯ ตั้งแต่ต้นปี 2025* Reciprocal tariffs Universal tariffs* Specific tariffs Products specific Semi-conductor / Electronics 25% Agri 50% Steel Aluminum 25% Auto & Parts** 20% Medical Country specific Canada Mexico 25% China 20% รัฐบาลสหรัฐฯ เดินหน้าตั้งนโยบายกาแพงภาษีนาเข้าและเร่งเจรจาการค้า แม้ติดปัญหาอานาจทางกฎหมาย ยิ่งทาให้ ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสูงขึ้น แต่สะท้อนโอกาสเกิดกรณีเลวร้ายลดลง เพราะอานาจ Trump อาจมีจากัด หมายเหตุ : *กล่องสีแดง (มีผลบังคับใช้แล้ว) กล่องสีทอง (มีผลบังคับใช้บางส่วน) และกล่องสีเทา (ประกาศแล้ว แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้) ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ The White House, Goldman Sachs, FT, Bloomberg ,CNBC, BBC, Xinhua, CNN และ Reuters Alternative IEEPA
  • 8.
    9 Timeline of USTariffs สถานการณ์หลังพ้นช่วงเจรจา 90 วันยังไม่แน่นอนสูง แต่สหรัฐฯ มีแนวโน้มใช้ Product specific tariff มากขึ้น คู่ค้าจึงหันมาให้ความสาคัญกับการเจรจารายสินค้า เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมสาคัญในประเทศ หมายเหตุ : *งานศึกษาของ Peterson Institute for International Economics (PIIE) พบว่าสหรัฐใช้เวลาเฉลี่ย 18 เดือนตั้งแต่เปิดเจรจาถึงลงนามข้อตกลง และ 45 เดือนตั้งแต่เปิดเจรจาจนถึงข้อตกลงมีผลบังคับใช้ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bloomberg, Reuters และ Peterson Institute for International Economics ผลลัพธ์ของการเจรจาหลัง 90 วันยังไม่มีความแน่นอนสูง • การหาข้อสรุปการเจรจาภายใน 90 วันเป็นไปได้ยาก (ในอดีตใช้เวลาเฉลี่ย 1.5 ปี*) แต่สหรัฐส่งสัญญาณ ว่าอาจขยายเวลาเจรจากับ 18 คู่ค้าสาคัญที่เจรจาด้วย Good faith • อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะกลับมาขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ในอัตราสูงสุดยังมีอยู่ ซึ่งจะทาให้ ประเทศเอเชียได้รับผลกระทบมาก เพราะอัตราภาษีสูงและพี่งพาการส่งออกสูง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเผชิญเงินเฟ้อสูงขึ้น หลายประเทศอาจเผชิญแรงกดดันเงินฝืดจากสินค้าจีนราคาถูก 4 มิ.ย. • แจ้งคู่ค้าให้ยื่น Best trade deal ให้สหรัฐฯ 11 มิ.ย. ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ มีคาสั่งให้มาตรการภาษีของทรัมป์มีผลบังคับใช้ต่อ ได้และจะเร่งพิพากษาประเด็นการใช้อานาจเกินขอบเขตภายใน ก.ค. 8 ก.ค. • พ้นช่วงระงับ Reciprocal tariffs สหรัฐฯ อาจเก็บอัตราตาม Liberation day • Deadline ของ EU ในการขอเจรจาสหรัฐฯ เพื่อลดภาษีเฉพาะสินค้า 50% 14 ก.ค. พ้นช่วงระงับขึ้นภาษีตอบโต้ของ EU ต่อสหรัฐฯ 12 ส.ค. พ้นช่วงลดอัตราภาษีนาเข้าชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯ-จีน การเจรจาภาษีในระยะข้างหน้า มีแนวโน้มเน้นรายสินค้า (Product Specific Tariff) มากขึ้น ความไม่แน่นอนด้านกฎหมายอาจทาให้สหรัฐฯ ใช้ภาษีรายสินค้ามากขึ้น 25% 50% การเจรจากับ UK สะท้อนว่าประเทศอื่น ๆ สามารถเจรจาเพื่อขอปรับลดภาษีรายสินค้าได้ หลายประเทศให้ความสาคัญกับการเจรจา Product specific tariffs มากขึ้น เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เน้นอุตสาหกรรม Labor-intensive ตั้งทีมเจรจาเฉพาะกิจครอบคลุม ประเด็นการค้าและการลงทุน Steel & Aluminum ไม่ลด Universal tariff 10% ลด Product specific tariff 25% -> 0% เฉพาะ 1 แสนคันแรก/ปี UK เปิดตลาดภายในประเทศ เช่น เนื้อวัว เอทานอล เก็บภาษีจีนรวม 55% จีนเก็บสหรัฐ 10% ลด มาตรการควบคุมการส่งออกแม่เหล็ก และแร่ธาตุหายากให้สหรัฐฯ 25% -> 10% อาจใช้การลงทุนในสหรัฐฯ ต่อรอง
  • 9.
    10 ช่องทางประเมินผลกระทบของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจ ที่มา : การวิเคราะห์โดยSCB EIC จากข้อมูลของ BCG ผลกระทบด้านอุปทาน ศุลกากรนาเข้า ราคา การบริโภค การขยายตัวเศรษฐกิจ ผลกระทบด้านอุปสงค์ การนาเข้าของสหรัฐฯ ส่งออก การขยายตัวเศรษฐกิจ ราคา ผลกระทบด้านอุปสงค์ ศุลกากรของสินค้าสหรัฐฯ ราคาโดยเปรียบเทียบ การส่งออก การขยายตัวเศรษฐกิจ ผลกระทบด้านอุปทาน ศุลกากรของสินค้าสหรัฐฯ ราคา/เงินเฟ้อ การบริโภค การขยายตัวเศรษฐกิจ ผลกระทบทางตรง ผลกระทบทางอ้อม 1. ความไม่แน่นอนสูงขึ้น 2. สินค้าต่างชาติไหลทะลักเข้าประเทศ 3. ความเชื่อมั่นลดลง 4. ความมั่งคั่งลดลง 5. ทานโยบายการเงินที่เหมาะสมได้ยาก 6. ประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันแต่ละประเทศเปลี่ยนไป เศรษฐกิจสหรัฐฯ เศรษฐกิจอื่น ๆ ศุ ล กากรสหรั ฐ ฯ ศุ ล กากรตอบโต้ จากประเทศอื ่ น %
  • 10.
    11 หน่วย : จานวนนโยบายใหม่ในช่วง1 ม.ค. – 17 มิ.ย. ของแต่ละปี หน่วย : % CEO ผู้ตอบแบบสอบถาม 22 54 24 0% 10% 20% 30% 40% 50% 60% 70% 80% 90% 100% ยกเลิกแผนการลงทุนเดิม ชะลอแผนการลงทุน ไม่ยกเลิกหรือชะลอการลงทุน 76% ของ CEO ทั่วโลก ประเมินว่าจะชะลอ/ยกเลิก บางโครงการลงทุนจากเหตุผล ภูมิรัฐศาสตร์และนโยบาย การค้าโลก หน่วย : US ดัชนี > 0 (LHS), จีน ดัชนี > 50 (RHS) สะท้อนการขยายตัว -6.7 53.3 40 45 50 55 60 65 70 75 80 85 90 -20 -10 0 10 20 30 40 50 Jul-19 Feb-20 Sep-20 Apr-21 Nov-21 Jun-22 Jan-23 Aug-23 Mar-24 Oct-24 May-25 US China (RHS) ความไม่แน่นอนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกผ่านหลายช่องทาง โดยเฉพาะการค้าและการลงทุนในประเทศ/ต่างประเทศ ภาคธุรกิจทั่วโลกชะลอหรือยกเลิกแผนการลงทุนบางส่วน ขณะที่ความเชื่อมั่นในการลงทุนใหม่ปรับลดลงแรง หมายเหตุ : *สหรัฐฯ Empire State Manufacturing Survey ของผู้ประกอบการในนิวยอร์กเกี่ยวกับ Future Capital Expenditures; จีน Cheung Kong Graduate School of Business สารวจความเห็นผู้ประกอบการต่อการลงทุนสินทรัพย์ถาวรในอนาคต ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Global Trade Alert และ Global EY-Parthenon CEO Outlook Survey เดือน พ.ค. 2025 (สารวจ CEO ทั่วโลก 1,200 คน) นโยบาย Discriminatory ใหม่ต่อการค้าและอุตสาหกรรมทั่วโลก ผลสารวจ Global CEO Outlook Survey โดย EYP (May 2025) ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจต่อการลงทุนในอนาคต* 161 133 137 276 221 267 304 317 322 484 707 1029 1275 1518 1428 1343 0 200 400 600 800 1000 1200 1400 1600 2010 2011 2012 2013 2014 2015 2016 2017 2018 2019 2020 2021 2022 2023 2024 2025 โลกมีการใช้นโยบายกีดกัน ระหว่างประเทศมากขึ้น ในยุคสงครามการค้า
  • 11.
    12 หน่วย : %MOM -19.9 -25 -20 -15 -10 -5 0 5 10 15 20 25 Jan-25Feb-25 Mar-25 Apr-25 Total India China Germany Japan • การค้าโลกเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว การเร่งนาเข้า (Front loading) เริ่มอ่อนแรง การนาเข้าของสหรัฐฯ จากคู่ค้าหลักปรับลดลงมากในเดือน เม.ย. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อโลกด้าน New orders และ Export orders หดตัว สอดคล้องกับ เครื่องชี้ปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ขาเข้าท่าเรือสหรัฐฯ ที่เริ่มลดลง สะท้อนว่ากาแพงภาษีทรัมป์เริ่มส่งผลต่อการค้าโลกแล้ว ทั้งนี้การนาเข้าสหรัฐฯ เดือน มิ.ย. อาจปรับตัวดีขึ้นบ้างชั่วคราวหลังสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงชั่วคราวกับจีน • WTO ประเมินว่าปริมาณการค้าสินค้าโลกหดตัว -0.2% ในปี 2025 ก่อนจะขยายตัวได้ 2.5% ในปี 2026 ชะลอลงจาก 2.9% ในปี 2024 (ข้อมูลเดือน เม.ย. 2025) • ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและเศรษฐกิจโลกส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในสหรัฐฯ และจีนในระยะข้างหน้า • แม้ปัจจุบันสัญญาณเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจะเห็นชัดเจนขึ้นในด้านการค้าและการลงทุน ผลกระทบส่งผ่านไปสู่กาลังซื้อผู้บริโภคและตลาดแรงงานอาจเกิดขึ้นตามมา 200,000 250,000 300,000 350,000 400,000 450,000 500,000 550,000 01/2019 07/2019 01/2020 07/2020 01/2021 07/2021 01/2022 07/2022 01/2023 07/2023 01/2024 07/2024 01/2025 หน่วย : TEU (ความจุของตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต) -13.4%YOY พ.ค. 25 49.1 48.0 48.4 50 46 47 48 49 50 51 52 Jan-24 Mar-24 May-24 Jul-24 Sep-24 Nov-24 Jan-25 Mar-25 May-25 New orders Export orders Backlogs of work หน่วย : ดัชนี > 50 สะท้อนการขยายตัว เครื่องชี้กิจกรรมการค้าโลกเริ่มชะลอตัว โดยการนาเข้าของสหรัฐฯ และยอดคาสั่งซื้อใหม่ปรับลดลง ขณะที่ความ เชื่อมั่นในการลงทุนของภาคธุรกิจในสหรัฐฯ และจีนอ่อนแรงลง อาจกระทบการจ้างงานและการบริโภคในระยะถัดไป ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ S&P Global, JP Morgan, Port of Long Beach, US Census Bureau, Federal Reserve of New York, WTO และ CEIC สหรัฐฯ นาเข้าจากคู่ค้าหลักลดลงมากในเดือน เม.ย. 2025 ตู้สินค้าขาเข้าที่บรรจุแล้ว ณ Port of Long Beach ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อของโลก แยกองค์ประกอบหลักภาคการผลิต
  • 12.
    13 ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกปี 2025 (รายวัน) หน่วย: ดัชนี (1 ม.ค. = 100) 2 เม.ย.ประกาศนโยบาย Reciprocal tariff 20 ม.ค. ทรัมป์ สาบานตน 9 เม.ย.เลื่อนReciprocal tariff 90 วัน 12 พ.ค. 1 วันก่อน อิสราเอล เปิดฉากโจมตีอิหร่าน 13/06 • ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกในกลุ่มพลังงาน เกษตร และโลหะ มีทิศทางปรับตัวลงอย่างชัดเจน หลังทรัมป์ประกาศเก็บภาษีตอบโต้ จากการที่ ตลาด Price in ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจาก การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก • ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ลดลง ส่งผลให้ต้นทุน พลังงานและโลหะของผู้ประกอบการลดลง แต่จะ กดดันราคาสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกรไทย • อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยง จากความ ขัดแย้งระหว่างอิสราเอล – อิหร่าน ที่จะส่งผลให้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกในกลุ่มพลังงานปรับตัว เพิ่มขึ้น และส่งผลต่อเนื่องให้ราคาสินค้าเกษตร ที่ความต้องการใช้อิงกับราคาพลังงาน เช่น ยางพารา และปาล์มน้ามัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย 80.0 81.9 79.1 83.7 93.5 99.4 98.7 131.7 60 70 80 90 100 110 120 130 140 01/01 07/01 13/01 19/01 25/01 31/01 06/02 12/02 18/02 24/02 02/03 08/03 14/03 20/03 26/03 01/04 07/04 13/04 19/04 25/04 01/05 07/05 13/05 19/05 25/05 31/05 06/06 12/06 น้ามันดิบ brent (ICE) ก๊าซธรรมชาติ (TCM) ยางพารา (TSR 20 SICOM) น้ามันปาล์มดิบ (MDE) น้าตาลทรายดิบ (No. 11 ICE) สินแร่เหล็ก อะลูมิเนียม (LME) ทองคา (LBMA) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก (ยกเว้นทองคา) ลดลงอย่างชัดเจนหลังทรัมป์ประกาศเก็บภาษีตอบโต้ อย่างไรก็ดี ในระยะต่อไป ต้องจับตาความเสี่ยงจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ซึ่งจะผลักดันให้ราคาสินค้าพลังงานและเกษตรเพิ่มขึ้น ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bloomberg
  • 13.
    14 ช่องทางส่งผ่านผลกระทบของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ช่องแคบฮอร์มุซเป็นจุดขนส่งหลักด้านพลังงานของโลกโดยเฉพาะน้ามันและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) • 20.9%ของการขนส่งน้ามันโลกผ่านเส้นทางนี้ • การขนส่ง LNG มากกว่า 20% ของโลกในปี 2024 ส่งผ่านช่องทางนี้ โดยเฉพาะจากกาตาร์ ดังนั้น หากความขัดแย้งรุนแรงขึ้นจนช่องแคบฮอร์มุซถูกปิดลงอาจกระทบราคาพลังงานและทาให้ต้นทุนการผลิต สูงขึ้นทั่วโลก เพิ่มความเสี่ยงเงินเฟ้อและซ้าเติมเศรษฐกิจโลกที่เผชิญผลกระทบจากมาตรการภาษีนาเข้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เป็นความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก (Tail risk) ราคาพลังงานเร่งตัวกดดันเงินเฟ้อ และกระทบต่อการใช้จ่าย ความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทาน ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ภาคธุรกิจ ชะลอ/ยกเลิกการลงทุนบางส่วน ความไม่แน่นอนของนโยบายทางเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวอาจชะลอตัว ราคาน้ามันมีโอกาสปรับเพิ่มสูงขึ้นในระยะสั้น จากความกังวลต่อความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ แต่ จะทยอยปรับลดลงในปี 2026 เนื่องจาก OPEC มีแผนเพิ่มกาลังการผลิตราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน • ธนาคารกลางอาจเผชิญความท้าทายใน การดาเนินนโยบายการเงิน ท่ามกลาง ภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอแต่เงินเฟ้อมี แนวโน้มเร่งตัวขึ้น (Stagflation) • ความเสี่ยงด้านการคลังโลกอาจเพิ่ม สูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลต่าง ๆ อาจใช้ นโยบายพยุงค่าครองชีพหรือกระตุ้น เศรษฐกิจ หลายสายการบินยกเลิกเที่ยวบินจากการปิด น่านฟ้า และการเปลี่ยนเส้นทางบินเพื่อ หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซจะกระทบต่อ ระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งทางเรือ ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจลดลง ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่านเพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก ที่จะได้รับผลกระทบผ่านราคาน้ามันและความไม่แน่นอน ที่เพิ่มขึ้น ซ้าเติมผลภาษีทรัมป์ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ TradeMap, Bloomberg และ IMF คาดการณ์ราคาน้ามัน Brent ในสถานการณ์สงครามอิสราเอล-อิหร่านต่าง ๆ หน่วย : ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล, เฉลี่ยทั้งปี 40 60 70 80 90 100 110 41 2020 71 2021 100 2022 82 2023 63 63 2024 76 99 2026F 1 Based case 71 80 EIC forecast price before Isarel attack Iran 67 80 2 Iran infra be destroyed / sanction Iran 89 80 3. Blocking the Strait of Hormuz Annual avg brent price (2015-2019) 80 80 80 2025F Scenario Q1/ 2025 Q2/ 2025 Q3/ 2025 Q4/ 2025 Avg 2025 Avg 2026 1.ความขัดแย้งจากัดในพื้นที่่กระทบสินทรัพย์ พลังงานเล็กน้อย Base case 75 66.7 73 70 71 63 2.การโจมตีกระทบการส่งออกน้ามันของอิหร่าน หรือ UNSC กลับมาใช้มาตรการคว่าบาตรแบบเต็ม รูปแบบ 75 66.7 89 89 80 76 3. ความขัดแย้งลุกลามสู่สงครามภูมิภาค และปิด ชองแคบฮอร์มุซ 75 66.7 89 124 89 99
  • 14.
    15 GDP Growth (%YOY) 2023 2024 2025F 2026F Apr25 Jun 25 Global 2.8% 2.8% 2.2% 2.3% 2.3% US 2.9% 2.8% 1.3% 1.5% 1.5% Eurozone 0.4% 0.8% 0.7% 0.7% 1.1% Japan 1.5% 0.1% 0.8% 0.9% 0.9% China 5.4% 5.0% 4.1% 4.5% 3.9% India 7.7% 6.4% 6.0% 6.2% 6.4% ASEAN-5 4.4% 5.3% 4.6% 4.6% 4.7% • เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอแรงในปี 2025-2026 จากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น ปัญหา เฉพาะในบางประเทศ เช่น ปัญหาเชิงโครงสร้างในจีน แผลเป็นโควิด ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ • เงินเฟ้อโลกปี 2025-2026 มีแนวโน้มชะลอลง ตามภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ามันโลก โดยเฉพาะ เงินเฟ้อยูโรโซนที่กลับเข้ากรอบ 2% แล้ว ยกเว้นเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงจากกาแพงภาษี เศรษฐกิจ เป้าหมาย ประเภท สูงสุดหลังโควิด Jan-25 Feb-25 Mar-25 Apr-25 May-25 US (PCE) Headline & Core 2% Headline 7.2 2.5 2.6 2.3 2.1 Core 5.6 2.7 2.9 2.7 2.5 China (CPI) Headline 2% Headline 5.4 0.5 -0.7 -0.1 -0.1 -0.1 Core 1.5 0.6 -0.1 0.5 0.5 0.6 Eurozone (HICP) Headline 2% Headline 10.6 2.5 2.3 2.2 2.2 1.9 Core 5.7 2.7 2.6 2.4 2.7 2.3 Japan (CPI) Headline 2% Headline 4.4 4.0 3.6 3.6 3.5 Core 4.3 2.6 2.6 2.8 3.0 อัตราเงินเฟ้อรายประเทศสาคัญ หน่วย : % 0 0 27 0 31 42 21 54 30 79 14 0 0% 20% 40% 60% 80% 100% สหรัฐฯ ยุโรป จีน ต่ามาก ต่า ปานกลาง สูง สูงมาก ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ IMF, WTO, Bloomberg, CEIC, และ Chief Economist Survey เดือน เม.ย. 2025 โดย World Economic Forum (สารวจ Chief Economist 38 คนทั่วโลก) SCB EIC มองเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวแรงจากนโยบายกีดกันการค้าและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ แม้ Hard data ยังไม่แย่ลงชัด เงินเฟ้อโลกมีแนวโน้มทยอยลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ยกเว้นสหรัฐฯ เสี่ยงเผชิญเงินเฟ้อสูง แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2025 - 2026 โดย SCB EIC (ณ มิ.ย. 2025) ผลสารวจ Chief Economist Survey โดย WEF (May 2025) ประเด็นภาวะเงินเฟ้อใน 2025H2 หน่วย : % Chief Economist ผู้ตอบแบบสอบถาม 79% มองเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะยังสูง ไม่มีผู้มองว่าเงินเฟ้อจะชะลอลง มีเพียง 14% ที่มองว่าเงินเฟ้อ ยุโรปจะยังคงสูง เงินเฟ้อจีนมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่า/ ต่ามากต่อเนื่อง
  • 15.
  • 16.
    17 คาดการณ์หนี้ภาครัฐสหรัฐฯ โดยสานักวิจัยต่าง ๆ หน่วย: ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 30 40 50 60 2025 2026 2027 2028 2029 2030 2031 2032 2033 2034 The Budget Lab at Yale Congressional Budget Office Penn Wharton Budget Model Tax Foundation > 120 %GDP ราว 100%GDP • Moody’s ปรับลดเครดิตเรตติงสหรัฐฯ จากระดับสูงสุดด้วยเหตุผลด้าน การคลัง • Trump 2.0 จะส่งผลให้หนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นอีก โดยขาดดุลการคลังสูง อีกทั้ง ลดภาษีในประเทศครั้งใหญ่ One Big Beautiful Bill Act (OBBBA) • สินทรัพย์สหรัฐฯ มีความเสี่ยงหาก OBBBA ผ่านวุฒิสภา ซึ่ง Sec. 899 อนุญาตให้สหรัฐเก็บภาษีกับ Passive income ของบริษัทต่างชาติ ที่ลงทุนในสหรัฐด้วยอัตราไม่เกิน 20% ของรายได้ต่อปี อาจส่งผลให้ ความน่าดึงดูดของการลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลง • ความเชื่อมั่นระบบสถาบันและความเป็นอิสระของ Fed ลดลง 0% 5% 10% 15% 20% 01/24 03/24 05/24 07/24 09/24 11/24 01/25 03/25 05/25 DXY THB CNY JPY 2 Apr แนวโน้มการ De-dollar ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 1 USD อาจมีความสาคัญในฐานะ Safe Haven น้อยลง ขณะที่สกุล เงินหลักอื่นอย่าง EUR JPY CHF จะมีบทบาทมากขึ้น 2 ความน่าดึงดูดของสินทรัพย์สหรัฐลดลงจากความพยายามเก็บภาษี Passive income ของนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในสหรัฐฯ 3 USD และสินทรัพย์สหรัฐฯ อาจมีความผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะต่อ ข้อมูลด้านการคลังสหรัฐฯ 4 สหรัฐฯ อาจพยายาม De-value สกุลเงิน USD ในการเจรจาภาษีกับ คู่ค้า ขณะที่พยายามคงความสาคัญของสกุลเงิน USD 3.5 4 4.5 5 5.5 98 100 102 104 106 108 110 01/01/25 15/01/25 29/01/25 12/02/25 26/02/25 12/03/25 26/03/25 09/04/25 23/04/25 07/05/25 21/05/25 04/06/25 UST 30Y (RHS) ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ (DXY) และผลตอบแทนพันธบัตร รัฐบาลระยะ 30 ปี (UST 30Y) หน่วย : Index (LHS), % (RHS) 2 Apr DXY การอ่อนค่าลงของดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ที่สวนทางกับอัตรา ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว สะท้อนความเชื่อมั่น ของนักลงทุนต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ที่ปรับลดลง จากการประเมินของ ตลาดการเงินว่าสินทรัพย์สหรัฐฯ มีความเสี่ยงสูงขึ้นจากความไม่แน่นอน ของนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมายังนโยบายการเงินที่มี แนวโน้มไม่แน่นอนสูงขึ้น ความผันผวนของค่าเงินภูมิภาคเพิ่มขึ้นหลัง Liberation Day หน่วย : % annualized, Exponentially Weighted Moving Average ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Peter G. Peterson Foundation, The Budget Lab at Yale, Congressional Budget Office, Penn Wharton Budget Model, Tax Foundation, IMF, Moody’s, Fitch Ratings, S&P Ratings และ Bloomberg นโยบาย Trump 2.0 กระทบต่อความเชื่อมั่นในค่าเงินและสินทรัพย์สหรัฐฯ ลดลง ส่งผลให้โลกมีแนวโน้มเผชิญ ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและการลงทุนระหว่างประเทศมากขึ้น
  • 17.
    18 4 3.75 3 2.5 2 1.75 1.75 1.751.75 1.75 1.75 1.8 1.8 1.5 1.5 1.4 1.3 1.2 1.1 1.1 1.0 1.0 0 1 2 3 4 5 6 23H2 24H1 24H2 25Q1 25Q2F 25Q3F 25Q4F 26Q1 26Q2 26Q3 26Q4 ECB (Deposit rate) PBOC (7-days reverse repo) -0.1 0.1 0.25 0.5 0.5 0.5 0.5 0.75 0.75 1 1 -1 0 1 2 23H2 24H1 24H2 25Q1 25Q2F 25Q3F 25Q4F 26Q1 26Q2 26Q3 26Q4 • Fed มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยเพียง 25 bps ในปี 2025 และ 50 bps ในปี 2026 เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวไม่รุนแรงนักในช่วงปี 2025-2026 และยังมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจาก นโยบายกาแพงภาษีและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ • BOJ มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี ส่งผลให้ทั้งปีนี้ BOJ ขึ้นดอกเบี้ยรวมเพียง 25 bps (เดิมคาด 50 bps) จากความกังวลด้าน เศรษฐกิจในภาวะความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการส่งออกไปสหรัฐฯ • BOJ จะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยต้นปีหน้า หลังผลเจรจาค่าจ้างของ สหภาพแรงงานปีนี้มีผลต่อวัฏจักรเชิงบวกของค่าจ้างและเงินเฟ้อ • วัฏจักรการลดดอกเบี้ยของ ECB ใกล้สิ้นสุด ดอกเบี้ยลดลงแล้ว 100 bps และมีแนวโน้มลดอีก 25 bps ภายในปีนี้ • PBOC มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพียง 30 bps ในปีนี้ (เดิมมอง 50 bps) จากการระงับภาษีชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯ-จีน 90 วัน โดยยังส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องอยู่ ในปี 2026 PBOC มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมสู่ 1% ช่วงคาดการณ์ ช่วงคาดการณ์ 5.4 5.4 4.4 4.4 4.4 4.4 4.1 3.9 3.6 3.6 3.6 1 2 3 4 5 6 23H2 24H1 24H2 25Q1 25Q2F 25Q3F 25Q4F 26Q1 26Q2 26Q3 26Q4 ช่วงคาดการณ์ คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ โดย SCB EIC หน่วย : % ต่อปี คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายญี่ปุ่น โดย SCB EIC หน่วย : % ต่อปี คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายจีนและยูโรโซน โดย SCB EIC หน่วย : % ต่อปี ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของธนาคารกลางสหรัฐฯ, ธนาคารกลางยุโรป, ธนาคารกลางญี่ปุ่น, ธนาคารกลางจีน และ Bloomberg ธนาคารกลางหลักมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงิน (ยกเว้นญี่ปุ่น) ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ แต่ระดับการผ่อนคลายจะแตกต่างกัน ตามความเสี่ยงจากสงครามการค้าและยังมีความไม่แน่นอนสูง
  • 18.
  • 19.
  • 20.
    21 Medium-term outlook (Baseline) Unit 2024 2025F 2026F MarApr Jun GDP %YOY 2.5 2.4 1.5 1.5 1.4 การบริโภคภาคเอกชน %YOY 4.4 2.6 2.2 2.0 2.1 การบริโภคภาครัฐ %YOY 2.5 1.4 1.4 1.8 1.0 การลงทุนภาคเอกชน %YOY -1.6 2.9 0.3 -2.2 -0.2 การลงทุนภาครัฐ %YOY 4.8 5.0 5.0 5.8 1.5 มูลค่าส่งออกสินค้า (USD BOP) %YOY 5.8 1.6 -0.4 -0.1 -0.8 มูลค่านาเข้าสินค้า (USD BOP) %YOY 6.3 3.0 1.5 0.8 -0.2 จานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ Million 35.5 38.2 36.7 34.2 35.7 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป %YOY 0.4 1.0 0.5 0.5 0.4 อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (สิ้นปี) % 2.25 2.0 1.25 1.25 1.00 คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2025 รายไตรมาส (ณ มิ.ย. 2025) โดย SCB EIC หน่วย : %YOY และ %QOQ_SA ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 3.1 2.2 0.6 0.2 0.7 0.0 -0.4 0.0 -2.5 -0.5 1.5 3.5 Q1 (Actual) Q2 Q3 Q4 YOY-Jun25 QOQ-Jun25 Momentum เศรษฐกิจไทยปี 2025 จะลดลงมากใน H2 และอาจเกิด Technical recession คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2025-2026 กรณีฐาน (ณ มิ.ย. 2025) โดย SCB EIC คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในกรณีต่าง ๆ (ณ มิ.ย. 2025) กรณี สมมติฐาน US Tariffs 2025F (%YOY) Low tariffs เจรจาลุล่วง เก็บ Universal tariff 10% 2.0% Baseline เจรจาลดภาษีได้บ้าง Universal tariff, Reciprocal tariffs ครึ่งหนึ่งจากอัตรา ที่ประกาศไว้, ลด Specific tariffs 1.5% Worse เจรจาการค้าล้มเหลว เก็บ Tariffs ทุกประเภท เต็มอัตราตามที่ประกาศวัน Liberation Day ความขัดแย้งในตะวันออกกลางลุกลามทวีความรุนแรง 0.8% ผลกระทบจากสงครามการค้า ความไม่แน่นอนในระดับสูง แผลเป็นเศรษฐกิจที่มีอยู่เดิมและข้อจากัดด้านการคลัง กดดันให้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่าในช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจเห็นเศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ยต่ากว่า 1%
  • 21.
  • 22.
    23 หน่วย : ล้านคน,%YOY 0.2 1.1 0.2 0.1 ม.ค. 0.4 0.8 0.4 0.2 1.0 0.2 0.1 ก.พ. 0.3 0.7 0.4 0.2 0.9 0.2 0.1 มี.ค. 0.3 0.8 0.3 0.2 0.7 0.1 0.1 0.7 เม.ย. 0.3 0.8 0.3 0.3 0.9 0.1 0.1 0.5 พ.ค. 1-8 มิ.ย. 0.4 3.1 2.7 2.5 2.3 0.7 3.7 จีน อาเซียน North East Asia เอเชียใต้ ยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง อื่น ๆ 22% -7% -9% -8% -14% 5 อันดับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยสูงสุดในช่วง 1 ม.ค. – 8 มิ.ย. 2025 ได้แก่ มาเลเซีย (2.04 ล้านคน), จีน (2.03 ล้านคน), อินเดีย (1.04 ล้านคน), รัสเซีย (0.98 ล้านคน) และเกาหลีใต้ (0.70 ล้านคน) จานวนนักท่องเที่ยวจีนในไทยลดลงสวนทางกับนักท่องเที่ยวจีนที่ไปประเทศจุดหมายอื่น ๆ ในเอเชีย หน่วย : ล้านคน, %YOY 0.3 0.4 0.6 1.0 0.7 ม.ค. 0.3 0.3 0.3 0.4 0.7 0.4 ก.พ. 0.3 0.4 0.4 0.6 0.7 0.3 มี.ค. 0.3 0.4 0.2 0.4 0.8 0.3 เม.ย. 3.4 2.3 2.4 2.3 0.2 ไทย ญี่ปุ่น เวียดนาม สิงคโปร์ เกาหลีใต้ มาเลเซีย -30% 68% 57% 3% 4% 29% 79% -3% 8% 1.6 3.1 2.0 1.0 1.5 1.2 4M2025 10.5 18% 1% 4M2025 หมายเหตุ : * ผลสารวจเรื่อง China Outbound Travel Sentiment Survey ในช่วง Q1/2025 ของ China Trading Desk ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, Jing Dairy และ Dragon Trail นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยยังหดตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน โดยการสร้างความเชื่อมั่นด้าน ความปลอดภัยของไทย และการเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ถือเป็นโจทย์สาคัญที่จะดึงนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาเติบโต นักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ราว 15.02 ล้านคน (ข้อมูล ณ 8 มิ.ย. 2025) YTD หดตัวราว -2.9%YOY 2 โจทย์สาคัญที่จะดึงนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาเติบโต 1. ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของไทย จากผลสารวจของ Dragon Trail ในช่วง เม.ย. 2025 พบว่า นักท่องเที่ยวจีนมีความ กังวลด้านความปลอดภัยในไทยสูงขึ้นเป็น 51% จาก 37% ในการสารวจเดือน ก.ย. 2024 1 2. แหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ แบบ Niche destinations เป็น หนึ่งในปัจจัยสาคัญในการเลือกจุดหมายท่องเที่ยวต่างประเทศ ของนักท่องเที่ยวจีนจากผลสารวจ China Trading Desk ช่วง Q1/2025 2 ตัวอย่างมาตรการภาครัฐที่ดาเนินการแล้ว มาตรการเพิ่มเติมที่ภาครัฐอาจพิจารณา • เชิญบริษัททัวร์และ KOLs มาไทยเพื่อสร้างความมั่นใจ และสารวจแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในไทย • นาเสนอเส้นทางและประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ • โปรโมตการท่องเที่ยวรูปแบบเทศกาลดนตรี อาหารตลอดทั้งปี • เพิ่มช่องทางติดต่อสื่อสารสาหรับนักท่องเที่ยวจีนเพื่อแจ้งเหตุ หรือขอความช่วยเหลือแบบ Real-time • ประสานกับ OTA จีนในการทาแพ็กเกจ “Thailand Safe Trip” ในเส้นทางใหม่ ๆ และพัฒนา Feature ให้ผู้ใช้งานรีวิว ด้านความปลอดภัยโดยเฉพาะ
  • 23.
    24 95 100 105110 85 115 120 125 130 135 140 145 >145 -40 -30 -20 -10 0 60 65 10 70 20 75 30 80 80 0 90 Taiwan India Cambodia Sweden UK France Germany Netherlands Indonesia Russia Israel Italy Spain Canada Australia Saudi Arabia Laos Malaysia Myanmar Philippines Singapore Vietnam China Hong Kong Japan S.Korea USA South-East Asia North-East Asia South Asia Oceania Europe America Middle East ขนาด Bubble : จานวนนักท่องเที่ยวในช่วง 5M2025* กลุ่มเฝ้าระวัง (ฟื้นตัวดีแต่กาลังหดตัว) กลุ่มกาลังเติบโต (ฟื้นตัวช้าแต่กาลังเร่งตัว) ค่าเฉลี่ยฟื้นตัวทั้งประเทศปี 2024 กลุ่มศักยภาพ (ฟื้นตัวดี/เติบโตต่อเนื่อง) กลุ่มเปราะบาง (ฟื้นช้าและหดตัว) % การฟื้นตัว 2024 เทียบปี 2019 อัตราเติบโต 5M2025 (%YOY) การใช้จ่ายเฉลี่ย (คน/ทริป) ระยะเวลาพานักเฉลี่ย จีน 41,400 บาท 8 วัน อาเซียน 22,000 บาท 5 วัน North-East Asia 36,000 บาท 7 วัน อินเดีย 38,000 บาท 6 วัน ยุโรป 63,000 บาท 17 วัน โอเชียเนีย 63,000 บาท 14 วัน อเมริกา 68,000 บาท 14 วัน ตะวันออกกลาง 94,000 บาท 12 วัน รูปแบบมาตรการ กลุ่มศักยภาพ • เน้นโปรโมตการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง • ประสานสายการบินเพิ่มเที่ยวบินเพื่อรองรับการเติบโต กลุ่มกาลัง เติบโต • จัดแคมเปญโปรโมชันส่วนลด และโปรโมตการเที่ยวไทย ราคาประหยัดเนื่องจากเพิ่งฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจ กลุ่มเฝ้าระวัง • โปรโมตแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่ม Re-visit กลุ่ม เปราะบาง • เน้นมาตรการเชิงรุกลงเม็ดเงินทาโปรโมชันส่วนลดกับสาย การบิน เอเจนต์ทัวร์ โรงแรมและ OTA เพื่อฟื้นฟูท่องเที่ยว การใช้จ่ายและระยะเวลาพานัก (1Q2025) กลุ่ม ศักยภาพ มีความเสี่ยงจากสงคราม อิสราเอล-อิหร่าน การเจาะนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มที่เติบโตดีมีโอกาสสร้างรายได้ให้ภาคการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น อย่างนักท่องเที่ยวอินเดีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และออสเตรเลีย ที่ใช้จ่ายสูงและระยะเวลาพานักนาน ส่วนกลุ่มอื่น ๆ ต้องเร่งทามาตรการเชิงรุก หน่วย : % การเติบโตของจานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย* หมายเหตุ : * เฉพาะประเทศที่มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยในปี 2024 มากกว่า 2 แสนคน รวม 27 ประเทศ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, โครงการสารวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศปี 2025 ครั้งที่ 1 (ม.ค.-มี.ค.)
  • 24.
    25 5% 5% 2023 19% 30% 14% 7% 3% 16% 5% 4% 2% 4% 14% 30% 13% 8% 3% 19% 5% 5% 2% 28% 2025F 27% 14% 6% 2% 28.2 35.6 34.2 13% 4% 20192024 13% 35% 14% 7% 3% 16% 39.8 -3.8% จีน อาเซียน North East Asia เอเชียใต้ โอเชียเนีย ยุโรป รัสเซีย อเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา 3 ความท้าทายที่มีผลต่อการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ การระมัดระวังการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวซึ่งเป็นผลจากความไม่ แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐ และการเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ Tourism war การแข่งขันที่สูงขึ้นในการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติของหลายประเทศ แหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงรูปแบบเดิม ขาดจุดดึงดูดใหม่ ๆ จึงทาให้ภาครัฐกาลังเร่งพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ภายใต้ความร่วมมือกับภาคเอกชน รวมถึงปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวเดิมให้สะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น สถานการณ์โควิดและโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่แพร่กระจายในไทยและหลายประเทศทั่วโลก อาจส่งผลให้การเดินทางท่องเที่ยวมาไทยชะลอตัวลงในระยะสั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้อาจทาให้ภาคการท่องเที่ยวไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยง สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน โดยนักท่องเที่ยวอิสราเอลและอิหร่านจะไม่สามารถเดินทางมาไทย ได้จากการปิดสนามบินและน่านฟ้า ส่วนนักท่องเที่ยวในพื้นที่เสี่ยงอย่างจอร์แดน เลบานอน และอิรัก จะ ได้รับผลกระทบในการต่อเที่ยวบินมาไทยจากที่หลายสายการบินประกาศยกเลิกเที่ยวบินชั่วคราว การปิดด่านไทย-กัมพูชาชั่วคราวในบางพื้นที่ ส่งผลให้เกิดข้อจากัดในการเดินทางข้ามแดนของนักท่องเที่ยว ทั้งสองประเทศ • การทยอยออกมาตรการยกเว้นวีซ่าเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย เช่น เวียดนามยกเว้นวีซ่า ให้กับนักท่องเที่ยวยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้เพิ่มเติมในปีนี้ ขณะที่รัฐบาลจีนยกเว้นวีซ่าเพิ่มเติมให้กับ นักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง • การโปรโมตการท่องเที่ยวผ่านอินฟลูเอนเซอร์ต่างชาติ เช่น เกาหลีใต้ร่วมมือกับ 2,800 content creators ทั่วโลกเพื่อโปรโมตการท่องเที่ยว และจีนสปอนเซอร์ทริปให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลกเพื่อ นาเสนอ “Real China” มากกว่า 50% ของคนยุโรประบุว่าข่าวการขึ้นภาษีส่งผลให้เปลี่ยน/เตรียมเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายโดยเฉพาะการ ใช้จ่ายหมวดเที่ยวบินระหว่างประเทศ (McKinsey ConsumerWise EU-5 sentiment data, May 2025 ) • การใช้จ่ายต่อคนต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทยบางกลุ่มเริ่มลดลงตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2025 เช่น North-East Asia, ยุโรป, โอเชียเนีย และอเมริกา • แนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลงในระยะข้างหน้า คนอเมริกันมีแนวโน้มลดค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวช่วง Summer (Jun-Aug) ลงอย่างเห็นได้ชัดหลังรัฐบาลประกาศ นโยบายภาษี (2025 Deloitte summer travel survey: Right-Sized American summer, Mar-Apr 25) SCB EIC ปรับประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2025 ลงจาก 36.7 ล้านคนเป็น 34.2 ล้านคน ภายใต้ความท้าทายจาก Tourism war การระมัดระวังการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก และการเร่งปรับคุณภาพและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ หน่วย : ล้านคน ประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยในปี 2025 หมายเหตุ : ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติเปรียบเทียบจากข้อมูลของโครงการสารวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศปี 2024 และ 2025 ครั้งที่ 1 (ม.ค.-มี.ค.) ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, McKinsey และ Deloitte 1 2 3
  • 25.
    26 • ทา JointPromotion ร่วมกับแพลตฟอร์ม OTA กว่า 20 รายทั้งของไทยและต่างชาติเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในกลุ่ม FIT ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สนับสนุนค่าใช้จ่ายในโรงแรมและร้านอาหารจานวน 500,000 สิทธิ เริ่มลงทะเบียนกลางเดือน มิ.ย. 1. สนับสนุนเที่ยวบินเช่าเหมาลาจากจีนและตลาดอื่น ๆ บินตรงเข้าไทย วงเงิน 350 ล้านบาท โดยสนับสนุน 350,000 บาทต่อ เที่ยวบินจานวน 1,000 เที่ยวบินจาก 15 เมืองรองของจีนเข้ากรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย พัทยา กระบี่ และสมุย 2. ทาโปรโมชันร่วมกับเที่ยวบินพาณิชย์ของสายการบินทั้งในไทยและต่างประเทศ วงเงิน 250 ล้านบาท 3. กระตุ้นตลาด Incentive และกลุ่ม Summer camp วงเงิน 150 ล้านบาท • โครงการ Thailand Unstoppable Music : Exclusive Concert จากศิลปินระดับโลก • โครงการ Thailand Music Festival • โครงการ International Music Concert in Thailand : การจัดคอนเสิร์ตระดับโลก • การสนับสนุนงานคอนเสิร์ตที่ผู้ประกอบการไทยเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ • ใช้สิทธิได้ 5 สิทธิต่อคน วงเงินค่าที่พักไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้องต่อคืน • รัฐบาลสมทบ 50% จ่ายเอง 50% ในเมืองน่าเที่ยวหรือในวันธรรมดาและรัฐบาลสมทบ 40% จ่ายเอง 60% ในเมืองหลักหรือในวันหยุด • ลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ผู้ประกอบการ เช่น ค่าส่วนแบ่ง (Gross profit : GP) ที่ธุรกิจโรงแรมไทยต้องจ่ายให้กับ OTA โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง วงเงิน 1,780 ล้านบาท โครงการสนับสนุน OTA วงเงิน 800 ล้านบาท โครงการ Thailand Summer Blast-China & Overseas Market Stimulus Plan วงเงิน 750 ล้านบาท โครงการ Amazing Thailand Entertainment Hub วงเงิน 2,500 ล้านบาท โครงการอื่น ๆ • พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สนามกีฬา เช่น ปรับปรุงห้องน้า ที่พัก และป้ายบอกทาง • ยกระดับความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว เช่น ติดตั้งระบบ CCTV ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสาคัญ ข้อเสนอเชิงนโยบายในภาพรวมของภาคการท่องเที่ยวไทยในระยะสั้นและระยะกลาง-ยาว • สร้างแหล่งท่องเที่ยว Man-Made แม่เหล็กขนาดใหญ่ระดับโลกเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ต่อเนื่อง ในระยะยาว อย่างเช่น สวนสนุก Disney land, Universal Studios, หรือสวนน้า Aquaventure ดูไบ • พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้สามารถเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวเมืองรองโดยสะดวก สาหรับการเดินทาง ท่องเที่ยวด้วยตนเอง เช่น รถไฟ และเส้นทางรถประจาทางที่เชื่อมต่อไปถึงแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ • วาง Position การท่องเที่ยวไทยให้ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้แผนการพัฒนาการท่องเที่ยวไทยในระยะข้างหน้า สอดคล้องกันทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชน อีกทั้ง ยังสร้างจุดแข็งให้กับประเทศในการเจาะกลุ่ม นักท่องเที่ยวเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น และง่ายต่อการสร้างการรับรู้ให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก เช่น Health & Wellness และ Sustainability ระยะสั้น ระยะกลางและยาว • พัฒนา Super App ด้านการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวในทุกมิติ ตั้งแต่ข้อมูลการท่องเที่ยว, ฟังก์ชันการแปลภาษา, บริการติดต่อตารวจและโรงพยาบาลเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน และการเชื่อมต่อกับบริการ อื่น ๆ เช่น การใช้บริการขนส่งสาธารณะภายในประเทศ การบริการเรียกรถ/เช่ารถ การซื้อทัวร์ท่องเที่ยวใน ประเทศ การใช้บริการร้านอาหาร รวมถึง e-Wallet ในการชาระเงิน • แก้ไขปัญหาการฉ้อโกงนักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง เช่น ระบบการคานวณราคาค่าโดยสารรถสาธารณะ เบื้องต้นผ่าน GPS Tracking ก่อนเริ่มใช้บริการ, การรายงานเหตุฉ้อโกงผ่าน Super App แบบ Real-time และการเพิ่มโทษหรือมีบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นในกรณีฉ้อโกงนักท่องเที่ยว • พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ทา Content ออนไลน์ ตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เช่น เส้นทางกระแส Set-jetting หนังกับซีรีย์ไทย และซีรีย์ Y, เส้นทาง Thai-pop Experience, เส้นทาง Cafe-Hopping & Creative Street, เส้นทาง Digital Detox & Mindfulness Retreat ส่งเสริมสุขภาพ, เส้นทางเดินป่า Adventure โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐคาดว่าจะเข้ามาช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยในช่วงปลายไตรมาส 3 โดย โครงการหลักจะเน้นฟื้นฟูตลาดนักท่องเที่ยวจีน เจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ และกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ โครงการหลักภายใต้งบส่งเสริมการท่องเที่ยว 9 พันล้านบาทจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท
  • 26.
  • 27.
    28 เครื่องชี้การส่งออกของประเทศต่าง ๆ ไปสหรัฐฯ หน่วย: %YoY Economies %YOY Jan-25 Feb-25 Mar-25 Apr-25 May-25 Japan Total Export to US 8.1 10.5 3.1 -1.8 Vehicle Motors 21.8 13.9 4.1 -4.8 Parts of Motor Vehicles -13.4 0.9 -10.7 -5.0 Steels -12.8 3.9 -16.6 -29.0 Electrical Machinery & Machinery 4.4 7.7 0.7 1.8 South Korea Total Export (25 Day)* 5.0 11.1 3.8 1.5 -6.8 Passenger Cars 3.4 42.7 3.7 0.2 -11.7 Automotive Parts 0.5 2.6 -2.9 1.3 -14.9 Steel Products 12.9 3.7 -15.7 2.5 -19.7 Semiconductors 28.1 10.0 13.2 18.9 17.2 Vietnam Total Export to US 4.3 34.2 32.3 34.0 36.1 Electrical Products & Parts 22.4 47.3 74.5 84.3 74.6 Machine & Equipment 4.7 47.4 30.0 33.3 20.3 Textile 5.8 22.6 20.6 23.3 16.9 Taiwan Total Export to US 0.7 65.6 39.8 29.5 87.4 Electronic Products 2.2 79.1 46.7 32.6 115.3 Items 2025Q1 Feb-25 Mar-25 Apr-25 YTD Total (100%) 15.2% 14.0% 17.8% 10.2% 14.0% Total (ex. gold) (97.1%) 12.8% 13.6% 13.8% 7.2% 11.4% 1. Agriculture (9.6%) -1.4% -1.6% -0.5% -19.6% -7.3% 2. Agro (7.8%) 2.0% 9.9% -5.7% 9.1% 3.8% 3. Manufacturing (79%) 19.4% 17.2% 23.5% 16.6% 18.7% 4. Mining and fuel (3.6%) -6.6% -11.5% -9.0% -13.2% -8.3% Economies 2025Q1 Feb-25 Mar-25 Apr-25 YTD US (18.3%) 25.4% 18.2% 34.3% 23.8% 25.0% Electronic Products 12.4% 7.8% 61.8% 29.9% 30.2% Vehicle & Parts -2.5% 11.8% -0.7% -3.9% 7.9% Steels 11.1% 5.4% -9.0% 13.8% 0.6% China (11.7%) 19.5% 22.4% 22.2% 3.2% 14.3% นัยต่อครึ่งหลังของปี 2025 ต่อการค้าโลก • ผลกระทบนโยบายภาษีทรัมป์ ขึ้นอยู่กับระดับการพึ่งพาสินค้าส่งออกของแต่ละประเทศ o ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าที่ถูกเก็บ Specific tariffs แล้ว เช่น ยานยนต์ (25%) และเหล็ก (50%) อาจได้รับผลกระทบ รุนแรง เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ (ส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯ สูง 36.0% และ 33.5% ของมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งหมดตามลาดับ) o ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าที่ยังไม่ถูกเก็บ Specific tariffs เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่วนมาก (0%) เช่น ไต้หวันและ เวียดนาม (ส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ไปสหรัฐฯ 78.8% และ 50.4% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งหมด และมีสัดส่วนส่งออกรถยนต์และ เหล็กต่า) • การค้าโลกจะชะลอลงกระทบทุกประเทศ หลังสหรัฐฯ เก็บ Specific tariffs ครบ และเก็บ Reciprocal tariffs หลังพ้นช่วงเจรจา มูลค่าการส่งออกไทยรายสินค้าและคู่ค้าหลัก หน่วย : %YoY กาแพงภาษีสหรัฐฯ เริ่มกระทบการค้าโลก โดยมีผลแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ผลลบต่อคู่ค้าที่เน้นส่งออกสินค้าที่ถูก สหรัฐฯ เก็บ Specific tariffs เริ่มเห็นแล้ว ขณะที่คู่ค้าที่เน้นส่งออกสินค้าที่ยังไม่ถูกเก็บ Tariffs ถูกกระทบไม่มาก หมายเหตุ : *ข้อมูลส่งออกเกาหลีใต้เป็นข้อมูลเร็ว ดังนั้น ข้อมูลรายสินค้าเดือน พ.ค. ยังไม่ประกาศ แต่ส่งออกเกาหลีใต้ไปสหรัฐฯ หดตัวแล้ว 2 เดือนติดต่อกันโดยหดตัว -7.0% และ -8.1% ในเดือน เม.ย. และ พ.ค. ตามลาดับ เนื่องจากพึ่งพาส่งออกสินค้าเหล็กและยานยนต์ไปสหรัฐฯ สูง ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ CEIC, Korea Customs Service, Vietnam Customs, Ministry of Finance (Japan), Ministry of Finance (Taiwan) และกระทรวงพาณิชย์
  • 28.
    29 14.0% -10.3% -4.3% -6.5% -9.8% 2.4% -0.1% -10.0% 0.3% -15% -5% 5% Total Export AgriculturalFood & bev Jan -Apr 25 May - Dec 25 (f) 2025 (f) 5.1 3.1 2.8 1.1 0.8 0.5 0.4 -0.5 -0.6 -0.8 2.1 14.0 เครื ่ อ งอิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ อั ญ มณี ฯ หั ก ทอง ทองค าฯ เครื ่ อ งใช้ ไ ฟฟ้ า ผลิ ต ภั ณ ฑ์ ย าง ยางพารา อากาศยานและยานอวกาศฯ ผลไม้ ส ด/แช่ เ ย็ น /แช่ แ ข็ ง /แห้ ง ยานพาหนะ/อุ ป กรณ์ / ส่ ว นประกอบ ข้ า ว อื ่ น ๆ ส่ ง ออกรวม 0 2 4 6 8 10 12 14 16 18 Contribution to TH export growth 4 เดือนแรกของปี 2025 หน่วย : Percentage point ปัจจัยชั่วคราว 2.8% จากปัจจัยทองผสมไปตลาด อินเดีย มีแนวโน้มหมดลง ความต้องการทองคาสูงขึ้น รองรับความเสี่ยงโลก Specific tariffs รถยนต์และ ส่วนประกอบ 25% (50% ของมูลค่า ผลิตภัณฑ์ยางมาจาก ยางยานพาหนะ) 4.7% มาจากกลุ่มสินค้า EE เสี่ยงโดนเก็บ Specific tariffs แต่ยังได้ ยกเว้นภาษีเหลือ 0%* จึงเร่งส่งออก US CH Others 2.0% 1.3% 1.8% ประมาณการการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมปี 2025 หน่วย : %YTD และ %YOY การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมีแนวโน้มหดตัวในช่วง 8 เดือนสุดท้ายของปี 2025 โดยเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวของคาสั่งซื้อในหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยด้านราคาที่ปรับลดลงตามราคาน้ามันดิบโลก ส่งออกไทยมีแนวโน้มชะลอตัวในไตรมาส 2 และหดตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากปัจจัยหนุนในไตรมาส 1 ส่วนมากเป็น ปัจจัยชั่วคราว ไทยเสี่ยงสูงจากการพึ่งพาสินค้าส่งออกที่อาจถูกเริ่มเก็บ Specific tariffs และความไม่แน่นอนนโยบายการค้าโลก หมายเหตุ : สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่วนมากโดนเก็บภาษี 0% เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบรวม อุปกรณ์สื่อสาร เซมิคอนดักเตอร์ และแผงวงจรไฟฟ้า ตามประกาศของทาเนียบขาว (The White House) ณ วันที่ 11 เม.ย. 2025 ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ และ The White House 25.8% -2.7% 10.8% 0.4% -11.0% -1.5% 7.9% -12.7% -1.2% -1.9% 8.9% -8.7% -15% 0% 15% 30% Electronics Auto & Parts Iron & steel Petchem product
  • 29.
  • 30.
    31 400 420 440 460 480 500 520 2019Q4 2020Q2 2020Q4 2021Q2 2021Q4 2022Q2 2022Q4 2023Q2 2023Q4 2024Q2 2024Q4 การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องถึงปีหน้า • ความไม่แน่นอนปรับสูงขึ้นมากจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ธุรกิจโดยรวมชะลอการลงทุนโดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิต จากจีนมาไทยเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ • อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอต่อเนื่อง ธุรกิจชะลอการลงทุนออกไป หรือระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น • ภาวะการเงินยังตึงตัว สถานการณ์ในตลาดการเงินไม่เอื้อให้เกิดการระดุมทุนของภาคธุรกิจ • การลงทุนภาคเอกชนในไตรมาส 1 ปี 2025 ยังไม่ฟื้นกลับไประดับก่อนที่จะหดตัวแรงในช่วงต้นปีก่อน 167 138 95 206 182 156 268 369 161 0 100 200 300 400 Application Approved Certificates Issued Avg. 23 Avg. 24 Q1/25 มูลค่าการขอส่งเสริมการลงทุนจาก BOI หน่วย : พันล้านบาท ยอดขอส่งเสริมการลงทุนยังไม่ได้รับผลกระทบในไตรมาส 1 ปี 2025 มองไปข้างหน้าแรงส่งจากการลงทุนผ่าน BOI อาจแผ่วลง นโยบายส่งเสริมการลงทุนจะเข้มงวดกับธุรกิจต่างชาติมากขึ้น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของภาคธุรกิจและแรงงานไทย (มติคณะกรรมการ BOI, 19 พ.ค. 2025) (1) เน้นกลุ่ม SMEs มากขึ้น (2) งดส่งเสริมกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีปัญหา Oversupply (3) เพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณาการใช้ Local content ของธุรกิจต่างชาติ (4) ปรับปรุงเงื่อนไขการจ้างแรงงานต่างชาติ การลงทุนภาคเอกชนที่แท้จริง (ปรับฤดูกาล) หน่วย : พันล้านบาท ระดับ ณ Q1/2024 การลงทุนภาคเอกชนใน Q1/2025 ยังไม่ฟื้น กลับไประดับก่อนที่จะหดตัวแรงในช่วงต้นปีก่อน 85 90 95 100 23Q1 23Q3 24Q1 24Q3 25Q1 340 360 380 400 420 23Q1 23Q3 24Q1 24Q3 25Q1 หมวดก่อสร้าง (16%) หมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ (84%) -3.8%YOY -0.3%YOY -0.9%YOY มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง ยังไม่ฟื้นตัว ตามการชะลอการลงทุนย้ายฐานการผลิต และยอดจาหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ยังอยู่ระดับต่า การลงทุนภาคเอกชนไทยมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องถึงปีหน้า ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ส่งผลให้แรงส่ง จากการลงทุนจากต่างประเทศชะลอออกไป ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ สศช. BOI และ ธปท. ธุรกิจที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนแล้วอาจชะลอการลงทุน จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ และความคืบหน้าในการเจรจาของไทย
  • 31.
    32 2019 2020 20212022 2023 2024 2025F 2026F 571 555 560 567 589 579 556 551 -2% -4% -1% มูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนในปี 2025-2026 มีแนวโน้มหดตัว ต่อเนื่อง • แรงกดดันจากการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ที่หดตัว ต่อเนื่อง และภาวะ Oversupply ของพื้นที่สานักงาน • พื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ หดตัวสูงในปี 2024 และมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง สะท้อน กิจกรรมการก่อสร้างภาคเอกชนที่ชะลอตัวในระยะข้างหน้า หน่วย : %YOY อัตราการขยายตัวของโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ใน BMR หน่วย : ล้านตารางเมตร พื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างทั่วประเทศ 32 32 34 37 36 30 2019 4 2020 3 2021 4 2022 3 2023 2 2024 2M24 2M25 36 36 37 41 40 32 6 4 4 -4% -18% -34% แนวราบ คอนโด ที่อยู่อาศัย สิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ 7 6 8 7 5 4 7 7 8 10 13 8 2 2022 1 1 2023 2 1 2024 2M24 2M25 3 2019 2 1 2020 2 1 2021 2 2 18 16 19 20 21 15 2 2 0% -25% -36% พื้นที่ค้าปลีก โรงงาน อาคารสานักงาน โรงแรม 2019 2020 2021 2022 2023 2024 70% 80% 90% 100% 93% 96% 91% 96% 87% 95% 85% 95% 84% 95% 81% 95% อาคารสานักงาน พื้นที่ค้าปลีก -100 -50 0% 50% 100% -39% 2020 -17% 2021 77% 2022 -5% 2023 -39% 2024 -13% 2025F -4% 2026F การก่อสร้างภาคเอกชนในปี 2025 และ 2026 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง โดยเผชิญแรงกดดันจากการเปิดตัวโครงการ ที่อยู่อาศัยใหม่ และภาวะอุปทานส่วนเกินของพื้นที่สานักงาน มูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชน หน่วย : พันล้านบาท ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, AREA, REIC และ CBRE
  • 32.
    33 13.9% 23.0% 33.8% 28.1% 34.4% 45.1% 46.4%45.3% 47.4% 10% 30% 50% Q1/2023 Q2/2023 Q3/2023 Q4/2023 Q1/2024 Q2/2024 Q3/2024 Q4/2024 Q1/2025 ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (BSI โดย ธปท.) ณ เม.ย. 2025 หน่วย : Diffusion index (<50 ปรับตัวแย่ลง, >50 ปรับตัวดีขึ้น) ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการลดลงชัดเจน ตั้งแต่เดือน เม.ย. 40 45 50 55 60 01/2023 04/2023 07/2023 10/2023 01/2024 04/2024 07/2024 10/2024 01/2025 04/2025 Business Sentiment Index BSI Expectation: Next 3 Month สถานการณ์ในตลาดตราสารหนี้และภาคการเงิน ไม่เอื้อต่อการระดมทุนของภาคเอกชนมากนัก จานวนธุรกิจเปิด-ปิดกิจการในไทย หน่วย : %YOY -5.7% 3.3% -10% 0% 10% 20% AVG2017-2019 2023 5M-2025 Open Close -40 -20 0 20 40 Overall SME Large Corp ธุรกิจขนาดใหญ่เริ่มมีความต้องการสินเชื่อลดลงในขณะที่ SME หันไปพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบสูงขึ้น ความต้องการสินเชื่อภาคธุรกิจ (ผลสารวจ ธปท.)* หน่วย : Diffusion index (<0 ลดจากไตรมาสก่อน, >0 เพิ่มจากไตรมาสก่อน) สัดส่วนแหล่งเงินทุนนอกระบบของ SME (ที่มา : สสว. 2025) หน่วย : % การขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจ หน่วย : %YOY ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่ปรับลดลง ภาวะการเข้าถึงแหล่งเงินของภาคธุรกิจที่หดตัว และสัญญาณการพึ่งพาเงินทุน นอกระบบมากขึ้นของ SMEs สะท้อนแนวโน้มการลงทุนที่แย่ลงและความเปราะบางที่สูงขึ้น หมายเหตุ : *รายงานผลการสารวจภาวะและแนวโน้มสินเชื่อ โดย ธปท. ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ ธปท., สสว., กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ สสว. 0.5 -4.6 3.0 -0.8 -5.5 1.5 -10 -5 0 5 สินเชื่อธุรกิจรวม สินเชื่อธุรกิจ วงเงิน < 500 ล้านบาท สินเชื่อธุรกิจ วงเงิน > 500 ล้านบาท Q4-24 Q1-25 การขยายตัวของตราสารหนี้ภาคธุรกิจ หน่วย : %YOY -10% 0% 10% 20% Q1/2022 Q3/2022 Q1/2023 Q3/2023 Q1/2024 Q3/2024 Q1/2025 มูลค่าตราสารหนี้ภาคเอกชนคงค้าง
  • 33.
  • 34.
    35 รัฐบาลชะลอดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3ปรับเป็นแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท SCB EIC ประเมินแผนใหม่ กระตุ้นเศรษฐกิจและรองรับสงครามการค้าคุ้มค่ากว่า แต่ต้องติดตามประสิทธิภาพการคัดเลือกและดาเนินโครงการ ประเมินกรอบระยะเวลาดาเนินโครงการงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท จากข้อมูลเบื้องต้น (โดย SCB EIC) งบขับเคลื่อนฯ 157,000 ลบ. 2025Q2 2025Q3 2025Q4 2026Q1 2026Q2 Digital Wallet เฟส 3 (เดิม) ครม.อนุมัติโครงการ / เม็ดเงินลงเศรษฐกิจ แผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (ใหม่) โครงสร้างพื้นฐาน / ท่องเที่ยว / เพิ่มผลิตภาพ / เศรษฐกิจชุมชน หน่วยงานเสนอโครงการ ครม. อนุมัติ สงป. จัดสรรงบ โครงการประมูล/เริ่มต้น โครงการ เม็ดเงินลงเศรษฐกิจ สมมติฐานการจัดสรรงบขับเคลื่อนฯ (โดย SCB EIC) งบขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท Investment 75% Consumption 25% ผลศึกษาตัวทวีทางการคลัง (Fiscal Multiplier) ของไทย หน่วย : เท่า ธปท. (2015) สศค. (2023) 1.13 0.8 0.4 0 0.3 0.6 0.9 1.2 ก่อสร้างภาครัฐ ก่อสร้างภาครัฐ เงินโอน ธปท. (2015) เห็นผลต่อเศรษฐกิจช้ากว่า โครงการอาจมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่จากการ เร่งเสนอ คัดเลือก และดาเนินการ คุ้มค่ากว่าการแจกเงินโดยตรง ลดความเสี่ยงเครดิตเรตติงลงบ้าง ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, กระทรวงการคลัง, พรรคเพื่อไทย, พรรคประชาชน, Moody’s, S&P Rating, ธนาคารแห่งประเทศไทย และสานักข่าวต่าง ๆ
  • 35.
    36 มุมมองเครดิตเรตติงไทยล่าสุด โดย Moody’sและ S&P THA Moody’s (29 Apr 2025) S&P Global (2 Jun 2025) Action • คงอันดับ Baa1 • ลดมุมมอง Negative Outlook • คงอันดับ BBB+ • คงมุมมอง Stable Outlook เหตุผล • ศักยภาพเศรษฐกิจ ไทยลดลง ซ้าเติม โดย US Tariff • เสถียรภาพการคลัง แย่ลง รัฐบาลอาจ ต้องใช้งบฯ เพิ่มเติม เพื่อพยุงเศรษฐกิจ • เศรษฐกิจปี 2025-2026 ขยายตัว 2.3% และ 2.6% • ท่องเที่ยวและลงทุนรัฐ พยุงเศรษฐกิจ • อาจโอนงบ Digital wallet มาลงทุน กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2026 หน่วย : ล้านล้านบาท คาดการณ์หนี้สาธารณะไทย โดยกระทรวงการคลังและ SCB EIC หน่วย : % Nominal GDP, ปีงบประมาณ 0 1 2 3 4 FY2024 FY2025 FY2026 งบประจา งบลงทุน งบอื่น ๆ +0.7% กรอบงบประมาณรายจ่ายปี 2026 (หลังหักงบชาระคืนหนี้ และงบชดใช้คืนเงินคงคลัง) ลดลง -2.2%YOY +7.8% -2.2% 64.8 65.6 67.3 68.5 69.2 69.3 40 45 50 55 60 65 70 75 2019 2020 2021 2022 2023 2024 2025M7 2025F 2026F 2027F 2028F 2029F ข้อมูลในอดีต คาดการณ์โดยกระทรวงการคลัง (ธ.ค. 2024) เพดาน 70% ของ Nominal GDP SCB EIC ประเมินหนี้สาธารณะอาจแตะเพดาน 70% ในช่วงปี 2026- 2027 หากไม่มีทบทวนแผนการคลังให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อต่าลง แนวทางการปฏิรูปการคลังไทย เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่ จาเป็น ป้องกัน Corruption เน้นลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพ เศรษฐกิจiระยะยาว จัดทา Policy Evaluation ปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ของรัฐ ไทยยังมีสัดส่วนรายได้ภาษี ต่อ GDP ต่า เริ่มด้วยการขยายฐานภาษี ลดการรั่วไหล และ พิจารณาปรับอัตราภาษีบางประเภทเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น ใช้กลไกส่งเสริมการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน ในโครงการ โครงสร้างพื้นฐานอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ข้อจากัดภาคการคลังเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ต่าลง แนวโน้มหนี้สาธารณะอาจชนเพดาน 70% เร็วขึ้น และ Moody’s เริ่มปรับมุมมองเครดิตเรตติงไทยลงจากปัจจัยนี้ จึงต้องเร่งปฏิรูปการคลังให้เห็นผล ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง, สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, สานักงบประมาณ Moody’s และ S&P Global Ratings
  • 36.
  • 37.
    38 องค์ประกอบ (%YOY) 2023Q1-24 Q2-24 Q3-24 Q4-24 Q1-25 Durable 2.5 -6.7 -6.5 -9.9 -9.5 -1.4 Semi-durable 1.5 3.4 4.3 3.5 3.7 0.9 Non-durable 3.4 4.7 3.6 2.2 2.3 1.9 Food 3.4 4.3 3.7 2.8 3.2 2.8 Non-Food 3.5 5.2 3.6 1.5 1.5 0.8 Services 12.8 13.7 6.0 6.3 6.4 4.5 Q4/24: 3.4 Q1/25: 2.6 -4 -2 0 2 4 6 8 10 21Q1 21Q2 21Q3 21Q4 22Q1 22Q2 22Q3 22Q4 23Q1 23Q2 23Q3 23Q4 24Q1 24Q2 24Q3 24Q4r 25Q1 การบริโภคภาคเอกชนที่แท้จริง หน่วย : %YOY การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวแบบ broad-based ใน Q1/25 และมีแนวโน้มชะลอตัวลงอีก จากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับลดลงมาก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย หน่วย : ดัชนี 30 40 50 60 70 01/2023 03/2023 05/2023 07/2023 09/2023 11/2023 01/2024 03/2024 05/2024 07/2024 09/2024 11/2024 01/2025 03/2025 05/2025 CCI CCI: Present CCI: Expectations การบริโภคสินค้าคงทนยังคงลดลง แม้หดตัวแรงในปีก่อน การบริโภคสินค้าไม่คงทนและบริการชะลอ ส่วนหนึ่งจากเม็ดเงินกระตุ้นการบริโภค ผ่านโครงการเงินหมื่น เฟส 2 น้อยกว่า เฟสแรกมาก Digital Wallet เฟส 1 (ปลาย ก.ย. 24) เฟส 2 (ปลาย ม.ค. 25) US Reciprocal Tariff ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน พ.ค. ปรับตัวลดลง ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และเป็นระดับต่าสุดในรอบ 27 เดือน การบริโภคภาคเอกชนจะชะลอลงอีกในระยะข้างหน้า สะท้อนจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงมาก ประกอบกับ รัฐบาลชะลอโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟสที่เหลือ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ สศช., มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ธปท.
  • 38.
    39 79 -350 -336 -108 -152 53132 200 79 -104 109 63 -600 -400 -200 0 200 400 Employer Self-employed Contributing family work Public employee Private employee Total Agriculture sector Industrial sector High-paying service sector Low-paying service sector -152.1 -1,000 -500 0 500 1,000 1,500 2,000 2019 (37.5m) 2020 (37.6m) 2021 (37.7m) 2022 (39.2m) 2023 (39.9m) 2024 (39.7m) 2025Q1 (39.3m) Agriculture sector Industrial sector High-paying service sector Low-paying service sector Total employed persons 1.02 0.9 0.9 1.37 1.8 1.9 1.96 0.0 0.5 1.0 1.5 2.0 2.5 3.0 3.5 AVG2015- 2019 2020 2021 2022 2023 2024Q1 2024Q2 2024Q3 2024Q4 2025Q1 2025M4 Unemp. (Overall) Unemp. (In the social security M.33 or M.38) อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมเร่งตัวใน Q1/2025 แม้อัตราการว่างงานโดยรวมยังทรงตัว หน่วย : %, ต่อกาลังแรงงาน ผู้มีงานทาในระบบประกันสังคมอยู่ที่ 12.08 ล้านคนในเดือน เม.ย. ผู้ขอรับผลประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานอยู่ที่ 2.36 แสนคน สูงสุดตั้งแต่ Q2/23 อัตราการว่างงานของเด็กจบใหม่และผู้ที่อายุ 25-34 ปีปรับสูงขึ้นอีกครั้งใน Q1/2025 หน่วย : %, ต่อกาลังแรงงานในแต่ละช่วงอายุ 5.13 4.52 5.31 1.34 1.19 1.22 1.02 0.89 -1.0 4.0 9.0 AVG2015- 2019 2020 2021 2022 2023 2024Q1 2024Q2 2024Q3 2024Q4 2025Q1 Youth unemp. (Age 15-24) Unemp. (Age 25-34) Unemp. (Age 35-44) หมายเหตุ : (1) High-paying service sector คือ ภาคบริการที่ลูกจ้างมีรายได้เฉลี่ยมากกว่า 17,000 บาทต่อเดือน ประกอบไปด้วย ขนส่ง สื่อสาร การเงินและประกันภัย สุขภาพและสังคมสงเคราะห์ การศึกษา ราชการ ป้องกันประเทศ เทคนิค วิชาชีพ และวิทยาศาสตร์ Low-paying service sector คือ ภาคบริการที่ลูกจ้างมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 17,000 บาทต่อเดือน ประกอบไปด้วย อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม ร้านอาหาร ขายส่ง ขายปลีก บริการสนับสนุน บันเทิง จ้างงานในครัวเรือน และบริการอื่น ๆ (2) อัตราการว่างงานในระบบ (Unemployment rate (in the social security M.33 or M.38)) คือ อัตราการว่างงานของผู้มีงานทาที่อยู่ในระบบประกันสังคม มาตรา 33 ที่ลาออกจากงาน หรือลาออกจากประกันสังคมมาตรา 33 ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสถิติแห่งชาติ ผู้มีงานทาโดยรวมหดตัว โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมลดลงมากสุดตั้งแต่ก่อน COVID-19 หน่วย : พันคน, การเปลี่ยนแปลงของผู้มีงานทา (เทียบปีก่อนหน้า) ผู้มีงานลดลงในปี 2024 และลดลงต่อเนื่องใน Q1/2025 Year Employment ผู้ทางานในภาคเกษตรลดลง : (1) ย้ายไปภาคเศรษฐกิจอื่น ที่มีรายได้สูงกว่า และ (2) ปัญหาภัยแล้ง น้าไม่เพียงพอปลูกพืชในหน้าแล้ง - 118 + 227 - 150 + 131 - 314 - 224 ลูกจ้างเอกชนลดลงมากที่สุดตั้งแต่ COVID-19 (ราว 3.14 แสนคนในรอบปี) คนไทยทางานอาชีพอิสระมากขึ้นโดยเฉพาะภาคบริการ ลูกจ้างเอกชนภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมลดลง แรงงานไทยทางานอาชีพอิสระมากขึ้น หน่วย : พันคน, การเปลี่ยนแปลงของผู้มีงานทา (Q1/2024 เทียบกับ Q1/2025) ไตรมาส 1/2025 สัดส่วนผู้ว่างงานนานเกิน 6 เดือนขึ้นไปเร่งตัวสูงขึ้น ตลาดแรงงานไทยเปราะบางมากขึ้น อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคม และอัตราการว่างงานของเด็กจบใหม่เร่งตัวขึ้น ขณะที่ผู้มีงานทาลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้มีงานทาในภาคเกษตรและภาคการผลิต อีกทั้ง แรงงานไทยทางานอิสระมากขึ้น
  • 39.
    40 • ชั่วโมงการทางานเฉลี่ยของผู้มีงานทาใน Q1/2025ลดลงทุกสาขาการผลิต และต่ากว่าช่วงก่อน COVID-19 • รายได้ที่แท้จริงฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการที่มีรายได้สูง • ผู้เสมือนว่างงานใน Q1/2025 สูงขึ้น 14.4%YOY (4.27 ล้านคน) หรือคิดเป็นสัดส่วน 10.8% ของผู้มี งานทาซึ่งเป็นสัดส่วนสูงที่สุดนับตั้งแต่ Q1/2021 ขณะที่สัดส่วนผู้ทางาน Full-time และผู้ทางาน ล่วงเวลาปรับตัวลดลง หมายเหตุ : (1) รายได้ที่แท้จริง ประกอบไปด้วย รายได้ลูกจ้างเอกชน ลูกจ้างรัฐบาล และลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ หักด้วยเงินเฟ้อ (2) High-paying service sector คือ ภาคบริการที่ลูกจ้างมีรายได้เฉลี่ยมากกว่า 17,000 บาทต่อเดือน และ Low-paying service sector คือ ภาคบริการที่ลูกจ้างมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 17,000 บาทต่อเดือน (3) ผู้ทางานต่าระดับ คือ ผู้ที่ทางาน 0-34 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ผู้ทางานเต็มเวลา (Full-time) คือ ผู้ที่ทางาน 35-49 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และผู้ทางานล่วงเวลา คือ ผู้ที่ทางานตั้งแต่ 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไป (4) ผู้เสมือนว่างงาน คือ ผู้มีงานทาที่ทางานในภาคเกษตรไม่เกิน 0-20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และผู้มีงานทาที่ทางานนอกภาคเกษตรไม่เกิน 0-24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสถิติแห่งชาติ รายได้ที่แท้จริง (รวม OT โบนัส) ของลูกจ้างภาคอุตฯ และภาคบริการที่รายได้สูงชะลอตัวตั้งแต่ COVID-19 หน่วย : ดัชนี (2019 = 100), การเปลี่ยนแปลงของรายได้ที่แท้จริงเฉลี่ยในรอบ 1 ปี 121.53 101.87 91.53 99.52 98.21 80 90 100 110 120 130 2019 2020 2021 2022 2023 2024Q1 2024Q2 2024Q3 2024Q4 2025Q1 Agriculture sector Industrial sector High-paying service sector Low-paying service sector Total รายได้ที่แท้จริงของลูกจ้างภาคเกษตรในช่วงปี 2023-2024 สูงขึ้น : (1) ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น จากปัญหาภัยแล้งเป็นหลัก (2) อินเดียระงับการส่งออกข้าว ส่งผลให้ราคาข้าวสูงขึ้น 34.41 43.24 39.02 45.20 40.79 30 40 50 2019 2020 2021 2022 2023 2024Q1 2024Q2 2024Q3 2024Q4 2025Q1 Agriculture sector Industrial sector High-paying service sector Low-paying service sector Total 3.8% 7.0% 11.0% 12.1% 12.8% 11.4% 11.9% 14.2% 10.8% 10.9% 10.7% 11.9% 64.7% 63.3% 64.0% 66.2% 65.4% 60.6% 66.8% 68.1% 67.4% 62.3% 18.0% 14.9% 14.6% 16.0% 16.5% 15.7% 17.4% 17.2% 16.8% 15.0% 0% 20% 40% 60% 80% 100% 2019 2020 2021 2022 2023 2024Q1 2024Q2 2024Q3 2024Q4 2025Q1 0-20 hrs. (in Agri) 0-24 hrs. (in Non-agri) 21-34 hrs. (in Agri) and 25-34 hrs. (in Non-agri) 35-49 hrs. (Full-time) 50 hrs. and above (OT) ไตรมาส 1/2025 จานวนผู้เสมือนว่างงานเร่งตัวสูงขึ้นมากสุดในรอบ 4 ปี ชั่วโมงทางานเฉลี่ยของผู้มีงานทาลดลงทุกสาขาการผลิต รวมไปถึงรายได้ของลูกจ้างในภาคอุตฯ และบริการเริ่ม หดตัว ขณะที่สัดส่วนผู้ทางานต่าระดับปรับตัวสูงที่สุดในรอบ 4 ไตรมาส ชั่วโมงการทางานเฉลี่ยของผู้มีงานทาในไตรมาส 1/2025 ปรับลดลงในทุกสาขาการผลิต หน่วย : ชั่วโมงทางานต่อสัปดาห์ สัดส่วนผู้เสมือนว่างงานสูงขึ้นมากสุดนับตั้งแต่ Q1/2021 ขณะที่ผู้ทางานเต็มเวลาและล่วงเวลาลดลง หน่วย : %, ต่อผู้มีงานทา Real wage (2025Q1) Agriculture Industrial High-paying service Low-paying service Total THB/month 8,209 15,008 21,257 13,443 15,948
  • 40.
    41 -3.4 -10.6 6.2 -5.0 -20 -10 0 10 20 Jul-23 Oct-23 Jan-24 Apr-24 Jul-24 Oct-24 Jan-25 Apr-25 ราคา ผลผลิต รายได้ คาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้ภาคเกษตรปี2025 (โดย SCB EIC) หน่วย : %YOY ปี 2023 2024 2025F 4M25 ดัชนีรายได้ 0.0 6.7 -2.9 1.5 ดัชนีราคา -2.1 7.7 -4.7 -3.5 ดัชนีผลผลิต 2.1 -1.0 1.8 4.8 รายได้ภาคเกษตรในปี 2025 มีแนวโน้ม หดตัว จากราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้ม ลดลง ขณะที่ปริมาณผลผลิตมีแนวโน้ม กลับมาฟื้นตัว รายได้ภาคเกษตรเป็นหนึ่งใน ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริโภคภาคเอกชน กาลังแรงงานราว 12 ล้านคน (2024) พึ่งพารายได้จากภาคส่วนนี้ ปัจจัยสนับสนุนผลผลิต ปัจจัยกดดันให้ราคาลดลง ปัจจัยเสี่ยง • ปัญหาภัยแล้งคลี่คลาย ช่วยให้ ผลผลิตข้าว มันสาปะหลัง อ้อย ยางพารา และปาล์มน้ามัน เพิ่มขึ้น • ปริมาณน้าในเขื่อนในพื้นที่ภาคกลาง และเหนือสูงกว่าปีก่อน ส่งผลให้ ผลผลิตพืชที่ปลูกช่วงหน้าแล้ง เช่น ข้าวนาปรัง สูงขึ้น • การระบาดของโรคในพืชคลี่คลาย เช่น โรคใบด่างมันสาปะหลัง โรคใบร่วง ยางพาราชนิดใหม่ ส่งผลให้ผลผลิต มันสาปะหลัง และยางพาราเพิ่มขึ้น • สต็อกข้าวโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและ การยกเลิกนโยบายควบคุมการส่งออก ข้าวของอินเดีย ส่งผลให้ราคาข้าวลดลง • แนวโน้มเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯ ที่ ชะลอลง ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรที่อิง ความต้องการบริโภคในตลาดโลก เช่น มันสาปะหลัง, ยางพารา และอ้อย มี แนวโน้มลดลง • แนวโน้มราคาน้ามันลดลงจากปีก่อน กดดันให้ราคาสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับ ราคาพลังงาน เช่น อ้อย และยางพารา ลดลง • ความไม่แน่นอนของ ภาวะเศรษฐกิจโลก • การแพร่ระบาดของ โรคพืช • Geopolitical risks • การเปลี่ยนแปลง นโยบายเกษตรของ ประเทศคู่แข่ง • ความแปรปรวนของ สภาพดินฟ้าอากาศ -30.1 -42.2 -21.9 -15.6 -0.4 25.2 -7.8 11.5 6.1 -0.5 -4.9 -50.0 -10.4 -9.5 -0.9 ข้าวเปลือกเจ้า มันสาปะหลัง อ้อย ยางพารา ปาล์มน้ามัน ดัชนีผลผลิต ราคา และรายได้ภาคเกษตรรายสินค้า เดือน เม.ย. 2025 หน่วย : %YOY ราคา ผลผลิต รายได้ รายได้ภาคเกษตรเดือน เม.ย หดตัวครั้งแรกในรอบ 15 เดือน ผลจากราคาสินค้าเกษตรหดตัวรุนแรง โดยในปี 2025 รายได้ภาคเกษตรมีแนวโน้มกลับมาหดตัวจากผลด้านราคา ซึ่งจะเป็นข้อจากัดเพิ่มเติมของการบริโภคภาคเอกชนในปีนี้ ดัชนีผลผลิต ราคา และรายได้ภาคเกษตรรายเดือน หน่วย : %YOY ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานเศรษฐกิจการเกษตร (ประมาณการ ณ พ.ค. 2025)
  • 41.
    42 ที่มา :การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ REIC และ AREA หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ หน่วย : พันหน่วย หน่วย : พันหน่วย ปัจจัยหนุน : อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง และมาตรการภาครัฐ ได้แก่ • การผ่อนคลาย LTV (1 พ.ค. 2025 - 30 มิ.ย. 2026) • การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจานองที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท (22 เม.ย. 2025 - 30 มิ.ย. 2026) ปัจจัยกดดัน : • ตลาดคอนโดยังต้องรอความเชื่อมั่นของผู้ซื้อกลับมาฟื้นตัวหลังแผ่นดินไหว • กาลังซื้อในประเทศยังไม่สามารถฟื้นตัวมากนัก • กลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลาง-ล่างยังเผชิญข้อจากัดในการเข้าถึงสินเชื่อ • เศรษฐกิจโลก และจีนชะลอตัว กระทบกาลังซื้อต่างชาติ • ราคาบ้านใหม่ยังอยู่ในระดับสูง จากต้นทุนที่ดิน และค่าก่อสร้าง ที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หน่วย : พันหน่วย 33 17 2021 86 75 35 19 2022 84 44 25 2023 79 76 51 37 2024 2025F 2026F 94 67 26 38 16 2019 91 75 20 2020 85 72 219 77 212 219 233 234 235 236 226 +7% +0.4% +0.4% 0% 13% 9% 2021 50% 26% 15% 8% 2022 48% 19% 11% 2023 45% 20% 25% 14% 2024 2025F 2026F 56% 27% 9% 11% 6% 2019 35% 40% 11% 2020 39% 38% 119 21% 60 107 102 61 53 51 73 -5% -39% -13% -4% บ้านแฝด บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโด 20% 16% 8% 3% 2021 50% 21% 15% 8% 2% 2022 52% 22% 15% 8% 2% 2023 51% 26% 13% 8% 2% 2024 2025F 2026F 47% 26% 15% 7% 2% 2019 47% 15% 7% 2% 2020 51% 392 25% 344 393 367 347 318 311 374 -7% -5% -9% -2% บ้านแฝด บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโด ต่างจังหวัด บ้านแฝด บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโด ราคาโอนเฉลี่ยของที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หน่วย : ล้านบาท/หน่วย 4.2 4.7 4.8 2.2 1 2 3 4 5 3.5 2019 3.6 2.3 2020 2.5 2021 4.4 2.4 2022 2.4 2023 4.6 2.4 2024 2.4 3M25 มือหนึ่ง มือสอง มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติ หน่วย : พันล้านบาท ข้อเสนอแนะ : กระตุ้นกาลังซื้อกลุ่มที่ยังมีศักยภาพ เช่น นักลงทุน ผู้ที่ต้องการซื้อ ที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 ขึ้นไป ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น ขยายการลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจานองที่อยู่อาศัยสาหรับที่อยู่อาศัยทุกระดับราคา, ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กรุงเทพฯ และปริมณฑล สัดส่วนต่อมูลค่าโอนคอนโดทั้งประเทศ 15% 12% 16% 23% 24% 71% 29% 2022 62% 38% 2023 65% 35% 63% 37% 3M24 61% 2020 3M25 67% 33% 39% 2019 77% 23% 75% 25% 2021 50.6 37.7 39.7 2024 73.2 68.2 18.0 16.4 59.3 +23% -7% -9% กรุงเทพฯ และปริมณฑล ต่างจังหวัด 21% 29% 29% โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2025 หดตัว โดยปัจจัยกดดันมีน้าหนักมากกว่าปัจจัยหนุน ทั้งความต้องการซื้อ และการเปิด โครงการใหม่ สาหรับในปี 2026 คาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยจะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ ใช้เวลาราว 4 ปี จึงจะระบายได้หมด (กรณีที่ไม่มีการเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติม)
  • 42.
    43 แหล่งที่มาการขยายตัวของเงินเฟ้อไทย หน่วย : %YOY ดัชนีราคาผู้ผลิตและผู้บริโภค หน่วย: %YOY ไตรมาส 2 เงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มที่จะหดตัว ต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก : 1.ราคาน้ามันดิบดูไบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับ ลดลง 2.การปรับลดค่า Ft สาหรับรอบเดือน พ.ค.–ส.ค. 2025 ลง 17 สตางค์/หน่วย 3.ผลของฐานราคาผักสดที่อยู่ในระดับสูงในปีก่อน จากปัจจัยด้านสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงด้านราคาจากความ ขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสถานการณ์ ในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจกระทบราคาพลังงาน และสินค้าเกษตรในตลาดโลก หากความตึงเครียด ยืดเยื้อ อาจเป็นปัจจัยกดดันเงินเฟ้อในระยะถัดไป -2% -1% 0% 1% 2% 3% 4% Jun-23 Aug-23 Oct-23 Dec-23 Feb-24 Apr-24 Jun-24 Aug-24 Oct-24 Dec-24 Feb-25 Apr-25 Core contribution Energy contribution Raw food contribution Headline Core อัตราเงินเฟ้อทั่วไป รายหมวดสินค้า หน่วย : % กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ราคาพลังงานที่ลดลงมากเป็นปัจจัย สาคัญที่ฉุดเงินเฟ้อติดลบ -3.70% -0.57% -20% 0% 20% Jan-19 Oct-19 Jul-20 Apr-21 Jan-22 Oct-22 Jul-23 Apr-24 Jan-25 PPI CPI %YoY Share 2024 Dec-24 Jan-25 Feb-25 Mar-25 Apr-25 May-25 YTD รวมทุกรายการ 100% 0.4% 1.2% 1.3% 1.1% 0.8% -0.2% -0.6% 0.5% อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 39.5% 0.8% 1.3% 1.8% 2.0% 2.4% 1.6% 0.9% 1.7% อาหารสด 17.4% 0.1% 0.2% 1.0% 1.1% 1.9% 0.3% -1.8% 0.5% - เนื้อสัตว์ 3.0% -6.9% -0.6% -0.9% 0.5% 4.1% 8.4% 9.4% 4.3% เครื่องประกอบอาหาร 1.2% -0.6% 2.2% 3.3% 5.2% 6.8% 6.2% 6.0% 5.5% เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 3.4% 2.3% 3.3% 3.2% 3.3% 3.7% 4.2% 4.4% 3.8% อาหารสาเร็จรูป 16.7% 1.4% 2.3% 2.5% 2.7% 2.4% 2.6% 3.4% 2.7% เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า 2.1% -0.4% -0.5% -0.2% -0.3% -0.4% -0.6% -0.9% -0.5% เคหสถาน 24.6% -0.2% 0.4% 0.4% 0.5% 0.0% -0.7% -0.3% 0.0% ไฟฟ้า เชื้อเพลิง น้าประปาและแสง สว่าง 5.8% -0.8% 1.4% 1.5% 1.5% 0.1% -2.8% -1.4% -0.3% การตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล 6.4% 0.1% -0.4% -0.5% -0.5% -0.6% -0.7% -1.1% -0.7% พาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร 22.2% 0.4% 2.7% 2.1% 0.5% -0.4% -3.0% -3.4% -0.9% การบันเทิงการอ่าน การศึกษา และ การศาสนา 4.0% 0.5% 0.4% 0.4% 0.4% 0.4% 0.7% 0.4% 0.5% ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ 1.2% 1.2% 0.8% 0.8% 0.3% 0.1% 0.1% 0.1% 0.3% ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน 70.4% 0.6% 0.8% 0.8% 1.0% 0.9% 1.0% 1.1% 0.9% เงินเฟ้อปี 2026 มีแนวโน้มต่ากว่า กรอบเป้าหมาย ต่อเนื่อง จากทั้ง อุปสงค์ที่ฟื้นตัวช้า และราคาพลังงาน รวมถึงสินค้าเกษตร ขยายตัวต่า เงินเฟ้อทั่วไปยังคงติดลบ ผลจากราคาพลังงานที่ปรับลดลงต่อเนื่องและอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอลง ทั้งนี้ประเมิน เงินเฟ้อในไตรมาส 2 จะยังติดลบ และเงินเฟ้อเฉลี่ยจะอยู่ต่ากว่ากรอบเป้าหมาย 1% ในปี 2025 และ 2026 ที่ 0.5% และ 0.4% ตามลาดับ โดยความเสี่ยงจากสงครามในตะวันออกกลางเป็นปัจจัยสาคัญที่ต้องติดตาม ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์
  • 43.
    44 เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วง Deleverage ในระยะ2-3 ปีข้างหน้า โดยเพื่อลดความเสี่ยงจากภาระหนี้ต่อ GDP ที่สูงขึ้น มากจากผลกระทบ COVID-19 ทั้งนี้สินเชื่อรายย่อยที่โตต่า ความระมัดระวังในการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนจะสร้าง แรงกดดันเพิ่มเติมต่ออุปสงค์ในประเทศ สัดส่วนหนี้ และตราสารหนี้คงค้างประเภทต่าง ๆ ต่อ GDP หน่วย : %GDP การเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนหนี้ต่อ GDP หลัง COVID-19 (2021Q1 เทียบ 2024Q3) หน่วย : %GDP ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ สศช. BIS และ ธปท. สัดส่วนหนี้ภาคเอกชนต่อ GDP ไทยทยอยลดลงตามการเติบโตของหนี้ที่ต่า ขณะที่หนี้ภาครัฐต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้นจาก GDP ที่โตต่า -0.5% -0.5% -3% -2% -1% 0% 1% 2% Q1-21 Q3-21 Q1-22 Q3-22 Q1-23 Q3-23 Q1-24 Q3-24 Nominal GDP Outstanding Household Debt Household Debt to GDP 95.5% Q1/21 88.4% Q4/24 การเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP หน่วย : %QoQ สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่ลดลง มาจากการหดตัวของยอดคงค้างหนี้ครัวเรือน 207 253 243 84 94 88 70 83 76 34 54 57 18 22 22 0 50 100 150 200 250 300 2019Q4 2022Q1 2024Q4 Grand Total Households Corporate Government Corporate Bond +2.9 -5.4 -6.5 -0.7 -9.6 -20 -10 0 10 Government Households Corporate Corporate Bond Grand Total
  • 44.
    45 60 80 100 120 140 01/1994 12/1997 11/2001 10/2005 09/2009 08/2013 07/2017 06/2021 -2 0 2 4 6 8 2004 2007 2010 2013 2016 2019 2022 2025F -10 -5 0 5 10 2004 2007 2010 2013 2016 2019 2022 2025F คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย โดย SCBEIC หน่วย : %, GDP Growth (%YOY) Headline Inflation (%) Target range 1-3% GDP โตต่ากว่าศักยภาพ อัตราเงินเฟ้อต่า NPL และ SM เพิ่มขึ้น โดยยอดหนี้เสียเพิ่มขึ้น แต่ยอด สินเชื่อลดลง • หนี้เสียเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นสาคัญ สัดส่วนคุณภาพหนี้ด้อยคุณภาพ (SM + NPL) ของสินเชื่อธุรกิจและรายย่อย หน่วย : %ยอดคงค้างสินเชื่อ Q4/24 Q1/25 สินเชื่อรวม 9.76 9.87 สินเชื่อธุรกิจ 9.09 9.15 วงเงิน > 500 ลบ 5.14 5.05 วงเงิน <= 500 ลบ 19.69 20.62 สินเชื่ออุปโภคบริโภค 11.21 11.41 คุณภาพสินเชื่อทยอยปรับด้อยลง Nominal Effective Exchange Rate Index 2012 = 100 Appreciation 1.4 0.4 แนวโน้มดอกเบี้ยของไทยจะยังปรับลดลง จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่เปราะบาง เงินเฟ้อต่า และความเปราะบางทางการเงิน จากคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง -4 -2 0 2 4 6 01/2009 11/2009 09/2010 07/2011 05/2012 03/2013 01/2014 11/2014 09/2015 07/2016 05/2017 03/2018 01/2019 11/2019 09/2020 07/2021 05/2022 03/2023 01/2024 11/2024 Policy Interest Rate Inflation Expectation (1-Year ahead) Real Rate Policy rate Current End-25F End-26F Nominal 1.75 1.25 1.0 Real 1.0 0.75 0.6 ดอกเบี้ยนโยบายไทยยังลดลงต่อเนื่อง • ดอกเบี้ยนโยบายไทยจะยังเป็นขาลงในระยะ ข้างหน้า เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ และ เอื้อต่อกระบวนการ Deleveraging หนี้ครัวเรือน ขณะที่ดอกเบี้ยต่าอาจไม่กระตุ้นการก่อหนี้ ครัวเรือนในอดีต • สงครามอิสราเอล-อิหร่าน อาจสร้างความไม่ แน่นอนให้กับแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยใน ระยะสั้นได้ หากสถานการณ์รุนแรงจนทาให้ราคา โภคภัณฑ์เริ่มสร้างแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อ หมายเหตุ : Inflation expectation จาก Bloomberg Median (ปี 2016-ปัจจุบัน) สาหรับก่อนปี 2016 ใช้ข้อมูลจริงอัตราเงินเฟ้อทั่วไป 1 ปีข้างหน้า ที่มา : สศช. BIS ธปท. และกระทรวงพาณิชย์ 10-year avg. = -0.1 20-year avg. = -0.1
  • 45.
    46 Aggregate USD position, หน่วย: Billion USD (Non-commercial traders) • ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง จาก 1) ทรัมป์กลับมาขู่ขึ้นภาษีนาเข้าเป็นบางช่วง 2) ความกังวลเรื่องดุลการคลังสหรัฐฯ 3) เลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ บางตัวปรับแย่ลง • ค่าเงินภูมิภาคแข็งค่าขึ้น จากเงินทุนไหลเข้า และข้อตกลงการค้า • ราคาทองกลับมาสูงขึ้นบางช่วง จากความเสี่ยงสงครามใน Middle East • เงินทุนไหลเข้าตลาดบอนด์ไทย บางส่วนมาเก็งกาไรค่าเงิน ทั้งนี้เงินบาทอ่อนค่าบางช่วงจากความไม่แน่นอนเรื่อง Tariffs หลังศาลการค้าสหรัฐฯ พิพากษาให้มาตรการภาษีนาเข้าของทรัมป์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เงินบาทแข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่นในภูมิภาค จากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก 75 46 20 14 14 9 6 0 20 40 60 80 THB CNY KRW MYR IDR INR PHP 1 year 5 year Correlation ราคาทองกับเงินภูมิภาค หน่วย : % เงินบาทแข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่น จากเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค และการอ่อนค่าของดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะตลาด ปรับมุมมองต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ แย่ลง ตามความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีมากขึ้น ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB FM จากข้อมูลของ Bloomberg และ ธปท.
  • 46.
    47 Foreign Holdings inLCY Govt Bonds หน่วย : % มองเงินบาท 31.50-32.50 ปลายปี แต่อาจอ่อนค่าจากข่าว Tariffs บางช่วง % of foreign assets held by each country หน่วย : % •วัฏจักรเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงจะเป็นปัจจัยหลักที่ทาให้บาทแข็งค่าในปีนี้ สะท้อนจากการเทขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ของนักลงทุนต่างชาติ •เงินทุนที่มีแนวโน้มไหลเข้ายุโรปและเอเชีย เพราะนักลงทุนมองว่าธนาคารกลาง เอเชียมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อ และเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า •แต่แนวโน้ม Repatriation flows ของไทยจะยังน้อยกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค โดยพบว่ามูลค่าการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ (หุ้นและพันธบัตร) ของไทยยังต่า มูลค่าการถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศ หน่วย : Trillion USD นักลงทุนไทยยังลงทุนในสินทรัพย์ ต่างประเทศในสัดส่วนต่า 9.8 11.9 14.5 19.8 22.2 0 5 10 15 20 25 Thailand Japan Indonesia Korea Malaysia เงินทุนเคลื่อนย้ายสู่ตลาดการเงินไทย หน่วย : พันล้านบาท -110 -60 -10 40 90 Apr-23 Jun-23 Aug-23 Oct-23 Dec-23 Feb-24 Apr-24 Jun-24 Aug-24 Oct-24 Dec-24 Feb-25 Apr-25 Jun-25 Equity market Bond market Bn THB YTD 2024 2023 2022 Equity -54.6 -148 -193 +196.9 Bond +58.3 -70 -144 +46.8 เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อได้ ตามวัฏจักรเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าและการไหลออกของเงินทุนจากสหรัฐฯ ทั้งนี้บาทอาจ ไม่แข็งค่าเร็ว เพราะที่ผ่านมาสัดส่วนลงทุนต่างประเทศของไทยยังต่า ทาให้ Repatriation flows กลับไทยน่าจะมีน้อย ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB FM จากข้อมูลของ Bloomberg ThaiBMA และ SETSMART
  • 47.
    48 ภาคการผลิตไทยฟื้นตัวช้า จากปัญหา Chinaflooding ที่รุนแรงขึ้น รวมถึงยังต้องจับตาผลการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งอาจมีบางอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหรือได้อานิสงส์
  • 48.
    49 ดัชนีมูลค่าการส่งออกสินค้า จาแนกตามประเทศและภูมิภาค 149.8 184.5 221.7 60 120 180 Jan 19Jul 19 Jan 20 Jul 20 Jan 21 Jul 21 Jan 22 Jul 22 Jan 23 Jul 23 Jan 24 Jul 24 Jan 25 World ASEAN Africa Latin America Thailand China export growth %CAGR 2019 – 24 Q1/25 Apr 25 %YOY World 7% 6% 8% ASEAN 10% 8% 21% Thailand 14% 18% 28% Malaysia 14% 3% 15% Vietnam 11% 16% 23% Indonesia 11% 12% 37% หน่วย : Index sa 3mm_ Average 2019 = 100 ดุลการค้าไทย รายประเทศ หน่วย : ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2019 2020 2021 2022 2023 2024 Jan - Apr 25 %YTD World 10,016 25,483 5,131 -13,605 - 3,435 - 6,356 - 2,251 -61% % Nominal GDP 1.8% 5.1% 1.0% -2.7% -0.7% -1.2% Major trade deficit CHINA -21,101 -19,988 -29,288 -36,337 -36,653 -45,365 - 19,233 40% SOUTH AFRICA - 5,449 - 6,116 - 7,498 - 9,003 -13,074 -17,595 - 5,713 -25% SWITZERLAND - 2,070 2,263 - 7,767 -13,672 -11,771 -13,140 - 3,945 -8% JAPAN - 8,673 - 4,878 -10,659 - 9,821 - 6,601 - 5,449 - 1,868 -6% Major trade surplus USA 14,066 19,574 27,571 29,791 29,046 35,428 13,995 32% INDIA 3,659 2,796 5,897 7,023 5,973 7,700 4,242 99% CLMV 12,055 14,007 15,238 11,371 13,405 4,134 3% EU28 2,770 3,543 5,040 6,571 3,755 6,711 3,217 81% HONG KONG 8,737 9,287 8,733 7,350 8,485 4,664 1,783 -41% SINGAPORE 1,290 2,028 1,719 2,082 2,112 2,969 899 24% 7.0 1.8 1.8 1.7 -0.2 -0.6 -1.3 -0.6 9.6 CHINA MIDDLE EAST ASEAN5 SWAZILAND TAIWAN EU28 SOUTH AFRICA ROW TOTAL IMPORT Contribution to TH import growth 4 เดือนแรกของปี 2025 หน่วย : Percentage point ไทยกลายเป็นจุดหมายสาคัญในการระบายสินค้าออกจากประเทศจีน โดยมูลค่าส่งออกมายังไทยเติบโตสูงสุดในอาเซียน และสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ไทยนาเข้าจากจีนเร่งตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ CEIC และกระทรวงพาณิชย์
  • 49.
    50 ความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องชี้ข้อมูลด้านการค้า การบริโภค และการผลิตของไทย หน่วย: Index_ Average 2015 - 2019 = 100 Correlation Export ดัชนีการบริโภค ภาคเอกชน (PCI) MPI ปี 2015 - 2020 0.91 0.81 ปี 2021 – 2024 -0.51 -0.60 Import from China ปี 2015 – 2020 0.85 0.87 ปี 2021 – 2024 0.98 0.77 122 129 90 227 135 50 100 150 200 250 2016 2017 2018 2019 2020 2021 2022 2023 2024 Q1/25 Apr-25 PCI Export MPI Import_China Import_Non-China %YOY 2015 - 19 2021 - 24 Jan – Apr 25 Total Import 4% 5% 10% Import_China 5% 7% 29% Import_non-China 4% 4% 3% การทะลักเข้ามาของสินค้านาเข้าจากจีน กดดันการฟื้นตัวของภาคการผลิตของไทย 0 80 100 120 140 260 2018 2021 2024 Jan- Apr25 มูลค่าการนาเข้าจากจีน MPI 0 80 100 120 140 160 180 2018 2021 2024 Jan- Apr25 0 80 100 120 140 2018 2021 2024 Jan- Apr25 0 70 80 90 100 110 140 2018 2021 2024 Jan- Apr25 0 80 100 120 140 2018 2021 2024 Jan- Apr25 0 100 150 200 2018 2021 2024 Jan- Apr25 เหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก (3.5%) ผลิตภัณฑ์จากอะลูมิเนียม (2.3%) ชิ้นส่วนยานยนต์ (2.0%) แผงวงจรรวม (IC) (2.8%) สายไฟ / สายเคเบิล (1.1%) เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก (1.0%) หน่วย : Index 2021 = 100 และ (%) สัดส่วนมูลค่าเพิ่มจากการผลิตในประเทศ การทะลักเข้ามาของสินค้าจีนกดดันการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม การบริโภคและการผลิตเพื่อส่งออกเริ่มถูกแทนที่ด้วย สินค้านาเข้า สะท้อนจากความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมการผลิตในประเทศกับอุปสงค์ในและต่างประเทศที่น้อยลง ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ CEIC, กรมศุลกากร และสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)
  • 50.
    51 ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการทะลักเข้ามาของสินค้านาเข้าจากจีน เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ส่งผลให้เกิดปัญหา สินค้าคงคลังล้นตลาด : ธุรกิจจีนเร่งระบายสินค้าส่วนเกินออกสู่ต่างประเทศ :ความตกลงการค้าเสรี (FTA) เอื้อการนาเข้าสินค้า เข้ามาในไทยสะดวกและเสียภาษีน้อยลง การเติบโตของธุรกิจและแพลตฟอร์ม E-commerce ข้ามชาติ : 30% ของสินค้าที่ซื้อขายผ่านช่องทาง E-Commerce ในไทยเป็นสินค้านาเข้า : การเติบโตของ Platform ต่างชาติ เช่น SHEIN และ TEMU สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทยในวงจากัด เพราะยังไม่ได้เข้ามาลงทุนหรือจัดตั้งฐานการดาเนินงาน ภายในประเทศ ความเสี่ยงจากกิจกรรมสวมสิทธิ์และธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนาเข้าเป็นหลัก (High import content) ธุรกิจสวมสิทธิ์ ธุรกิจที่พึ่งพา วัตถุดิบนาเข้าเป็นหลัก ลักษณะธุรกิจ ธุรกิจที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่ 3 เพื่ออ้างอิงแหล่งกาเนิด และไม่ได้มีการผลิตจริงในประเทศ ไทย • การเติบโตของภาคส่งออกและกิจกรรมการผลิต ในประเทศเพื่อการส่งออก ไม่สอดคล้องกันอย่างชัดเจน มากขึ้น นับตั้งแต่ปี 2023 ซึ่งอาจเกิดจากบทบาทของธุรกิจ สวมสิทธิ์ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น ธุรกิจที่ดาเนินการผลิตจริงในไทย แต่พึ่งพาการนาเข้า วัตถุดิบ/ชิ้นส่วนจากต่างประเทศในสัดส่วนสูง การเติบโตของมูลค่าการนาเข้าสินค้าจากประเทศจีน • การนาเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบขั้นกลางจากจีนที่ขยายตัว ต่อเนื่อง อาจส่งผลให้การสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศจาก ห่วงโซ่การผลิตลดลง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และภาคธุรกิจไทย • สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจไทยในระดับต่า • ก่อให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการในประเทศ จากข้อได้เปรียบด้านต้นทุนและสิทธิพิเศษทางภาษี • ผู้ประกอบการไทยอาจเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff Measures) ที่เข้มงวดขึ้น อาทิ การตรวจสอบแหล่งกาเนิดสินค้าอย่างละเอียด การสุ่มตรวจและกักกันสินค้าที่ท่าเรือปลายทาง ซึ่งส่งผลให้กระบวนการ ส่งออกมีความซับซ้อนมากขึ้น และทาให้ต้นทุนแฝงเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 3% 1% 4% 16% 15% 18% 23% 40% 19% Total import from China Capital goods Intermediate goods 2016 - 19 2020 - 24 Jan - Apr 25 %YOY มูลค่าการผลิตเพื่อส่งออก จากโรงงานในประเทศ มูลค่าการส่งออกสินค้า (ไม่รวมทอง) 2019 - 22 +11.3% +5.3% 2023 -2.0% -0.8% Jan 24 – Apr 25 -0.5% +7.5% 1 2 3 หมายเหตุ : กระบวนการแปรรูปเบื้องต้นหรือเปลี่ยนแปลงสินค้าเพียงเล็กน้อย เพื่อให้สินค้านั้นเสมือนผลิตในประเทศใหม่ แม้ที่จริงแล้ววัตถุดิบหลักหรือสินค้าเกือบทั้งหมดมาจากการนาเข้า ที่มา : SCB EIC analysis based on data from Priceza Insights กระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) การทะลักเข้ามาของสินค้านาเข้าและความเสี่ยงจากการประกอบธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจไทยในระดับต่า มีส่วนทาให้ภาคการผลิตไทยฟื้นตัวช้าและผู้ประกอบการบางส่วนก็อาจเผชิญมาตรการกีดกันการค้าที่เข้มงวดขึ้น
  • 51.
    52 กุ้งแช่แข็ง, 1.0% เม็ดพลาสติก, 1.0% เส้นใยประดิษฐ์,0.3% ยางล้อ, 1.0% ยางแท่ง ยางแผ่น, 0.4% น้ายางข้น, 0.9% ถุงมือยาง, 0.1% ชิ้นส่วนยานยนต์, 3.0% ผลิตภัณฑ์พลาสติก, 2.0% เหล็ก ผลิตภัณฑ์เหล็ก, 2.0% ผลิตภัณฑ์ อะลูมิเนียม, 2.0% วงจรพิมพ์ PCB PWB, 0.1% แผงวงจรไฟฟ้า / แผงโซลาร์เซลล์ /ชิ้นส่วน EE อื่น ๆ, 12.0% แบตเตอรี่, 0.1% สายไฟฟ้า สายเคเบิล, 1.4% เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก, 2.0% เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่, 2.0% เครื่องปรับอากาศ, 0.1% ยานยนต์ จักรยานยนต์, 0.1% เฟอร์นิเจอร์, 1.3% เภสัชภัณฑ์, 0.4% -30% -10% 10% 30% 50% -25% 0% 25% มู ล ค่ า การผลิ ต เพื ่ อ ส่ ง ออกจากโรงงานในไทย (%YTD_Jan – Apr 2025) มูลค่าการส่งออก (%YTD_Jan – Apr 2025) กิจกรรมสวมสิทธิ์ และธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนาเข้าในสัดส่วนสูง มีการกระจุกตัวในหลายอุตสาหกรรมสาคัญของไทย โดยเฉพาะกลุ่มแผงวงจรไฟฟ้าและแผงโซลาร์เซลล์ ผลิตภัณฑ์จากอะลูมิเนียมและพลาสติก รวมถึงชิ้นส่วนยานยนต์ The mismatch between Thailand’s export growth and domestic production for export shipments Bubble size : สัดส่วนมูลค่าธุรกิจที่ ‘ต้องสงสัย/เข้าข่าย’ กิจกรรมสวมสิทธิ์หรือธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนาเข้าเป็นหลัก (High import content) SCB EIC Investigation 5% ของธุรกิจภาคการผลิต ‘ต้องสงสัย/เข้าข่าย’ กิจกรรมสวมสิทธิ์หรือธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบ นาเข้าเป็นหลัก : คิดเป็นสถานประกอบการ 3,000 แห่งทั่วประเทศจากข้อมูลปี 2023 : สูงขึ้นจากค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2014–2019 ซึ่งอยู่ที่ 1% Investigation methodology* • ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนกว่า 7.5 หมื่นแห่งในภาคอุตสาหกรรมระหว่างปี 2015 - 2024 • ประเมินความเสี่ยงของกิจกรรมสวมสิทธิ์และธุรกิจที่พึ่งพาการนาเข้าวัตถุดิบเป็นหลัก โดยพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงิน 3 ประเภท ได้แก่ 1) Cost ratio 2) Inventory turnover ratio และ 3) Revenue-to-fixed asset ratio Policy implications: • ปรับแผนดึงดูดการลงทุน (BOI อยู่ระหว่างดาเนินการ) : สัดส่วนการใช้ Local content มีที่การบังคับใช้และตรวจสอบอย่างจริงจัง : กาหมดเงื่อนไขการแปรสภาพวัตถุดิบหลักเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างเพียงพอ • พัฒนาระบบตรวจสอบโรงงานเชิงลึก (Factory vetting) เพื่อประเมินศักยภาพการผลิตจริง เทียบกับมูลค่าการส่งออก • มาตรการคุ้มครองและเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน แก่ผู้ประกอบการในท้องถิ่น อาทิ ให้ความรู้และบังคับใช้มาตรการ Anti-Dumping อย่างจริงจัง ที่มา : SCB EIC analysis based on data from DBD กรมศุลกากร และสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)
  • 52.
    53 การเจรจากับสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อบางอุตสาหกรรมของไทย หากต้องเปิดตลาดเสรีให้สหรัฐฯโดยไม่มีเงื่อนไข สินค้าที่คาดว่าจะกระทบ ได้แก่ ข้าวโพด, เนื้อสุกร และไก่ ที่มีความอ่อนไหวสูง เนื่องจากไทยมีต้นทุนการผลิตสูงกว่า ประกอบกับผลผลิตมีเพียงพอความต้องการบริโภคอยู่แล้ว ตัวชี้วัดระดับความอ่อนไหวของอุตสาหกรรมต่อการเปิดตลาดเสรี -20 0 20 40 60 80 100 120 0.0 0.2 0.4 0.6 0.8 1.0 1.2 1.4 1.6 1.8 2.0 2.2 2.4 ข้าวโพด เกษตรกร 4.2 แสนครัวเรือน ถั่วเหลือง สุกรขุน เกษตรกร 1.5 แสนราย โคเนื้อ ไก่เนื้อ** เกษตรกร 0.26 แสนราย น้านมดิบ ก๊าซธรรมชาติ* สัดส่วนการนาเข้าต่อปริมาณการบริโภค/ใช้ทั้งหมดในประเทศ (%) 2024 Bubble size = จานวนเกษตรกร/ผู้ผลิตในประเทศ (ครัวเรือน/ราย) สินค้า มาตรการกีดกันสินค้า จากสหรัฐฯ ระดับความ อ่อนไหว*** คาอธิบาย ข้าวโพด ภาษีนาเข้า 73% สูง ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ ไทยนาเข้าไม่มาก การเปิดตลาดโดยไม่มีเงื่อนไข นาเข้าจะส่งผลลบต่อเกษตรกร 4.2 แสนครัวเรือน แต่จะส่งผลดีผู้ผลิตอาหารสัตว์ เนื้อสุกรและ เครื่องใน ภาษี 40%, Import ban: สารเร่งเนื้อแดง สูง ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ มาก ไทยพึ่งพาผลผลิตในประเทศทั้งหมด การเปิด ตลาดเสรีจะส่งผลลบต่อเกษตรกร 1.5 แสนครัวเรือนและผู้ผลิตอาหารสุกร เนื้อไก่และ เครื่องใน ภาษี 30%-40%, Ban: โรคไข้หวัดนก (HPAI) สูง ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ มาก ไทยพึ่งพาผลผลิตในประเทศทั้งหมด การเปิด ตลาดเสรีแบบไม่มีเงื่อนไขจะส่งผลลบต่อผู้ผลิตในประเทศ เนื้อวัวและ เครื่องใน ภาษี 30%-50%, Ban: สารเร่งเนื้อแดง ปานกลาง แม้ต้นทุนการผลิตในไทยจะสูงกว่าสหรัฐฯ มาก แต่ไทยมีการนาเข้าเนื้อวัวอยู่แล้ว ซึ่งการ เปิดตลาดเสรีจะทาให้กลุ่มผู้ผู้ผลิตเนื้อวัวเกรดพรีเมียม เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ก๊าซธรรมชาติ ควบคุมปริมาณการ นาเข้า ต่า แม้ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ แต่ไทยพึ่งพาการนาเข้าราว 53% และภาครัฐให้ ความสาคัญกับการใช้ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศเป็นหลัก ทาให้ไม่กระทบผู้ผลิต ถั่วเหลือง ไม่กีดกัน ต่า แม้ต้นทุนการผลิตในไทยจะสูงกว่าสหรัฐฯ มาก แต่ไทยพึ่งพาการนาเข้าเกือบ 99% โดย ส่วนใหญ่นาเข้าจากบราซิลซึ่งถั่วเหลืองราคาถูกและมีโปรตีนดีกว่าสหรัฐฯ ผลิตภัณฑ์นม ภาษี 5% - 30% ต่า ต้นทุนการผลิตในไทยต่ากว่าสหรัฐฯ ซึ่งไทยนาเข้าผลิตภัณฑ์นมมากราว 30% โดยเฉพาะ นมผงขาดมันเนยจาก AUS, NZ เพื่อผลิตแล้วส่งออกไปตลาด ASEAN ผลไม้และพืชเมืองหนาว เช่น แอปเปิล เชอรี่ ข้าวสาลี มีผลกระทบค่อนข้างน้อย เนื่องจากผู้ผลิตในไทยมีไม่มาก จากสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสมสาหรับการ เพาะปลูก สัดส่วนต้นทุนการผลิตในไทยเทียบกับต้นทุนการผลิตในสหรัฐฯ รวมค่าขนส่งมาไทย ปี 2024 ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ แม้จะรวมค่าขนส่งมาไทยแล้ว ระดับความอ่อนไหวของอุตสาหกรรมในประเทศต่อการเปิดตลาดเสรีให้สหรัฐฯ หากไม่มีการกาหนดเงื่อนไขการนาเข้า (กรณีแย่ที่สุด) หมายเหตุ : *สัดส่วนต้นทุนการผลิตของก๊าซธรรมชาติ เปรียบเทียบจากราคาก๊าซฯ ที่ประกาศโดย กกพ. ต่อราคาส่งออกก๊าซของสหรัฐฯ รวมกับค่าขนส่งปี 2024, ** คานวณต้นทุนของสหรัฐฯ โดยใช้สัดส่วนต้นทุนการเลี้ยงไก่ต่อต้นทุนในการเลี้ยงสุกรในไทยคูณกับต้นทุนการ ผลิตสุกรในสหรัฐฯ เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่เปิดเผยข้อมูลต้นทุนการเลี้ยงไก่, ***ระดับความอ่อนไหว พิจารณาจาก 1) สัดส่วนต้นทุนการผลิตในไทยเทียบกับต้นทุนการผลิตในสหรัฐฯ รวมค่าขนส่งมาไทย 2) สัดส่วนการนาเข้าต่อปริมาณการบริโภคในประเทศ 3) จานวนผู้ผลิตใน ประเทศ และ 4) ปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ USDA, Trade Map, OAE และ CEIC
  • 53.
  • 54.
    55 Electronic components Consumer electronics Home appliances Solar PV Plastic products Steel producer Hard Disk Drive(HDD) Auto parts Motorbike Auto makers Industrial estate Petrochemical Rubber gloves Transport Logistics Real estate Hotel Agriculture product Seafood Fresh and Processed Fruits Negative outlook Export to China / China Economic slowdown Export to US / US Economic slowdown China influx Domestic market slowdown Global economic slowdown (excl. US and China) Packaged foods Hospital Wholesale & retail Rubber wood Private construction แนวโน้มภาวะธุรกิจปี 2025 และความเสี่ยงในระยะข้างหน้า ประเด็นความเสี่ยงต่อ ภาคธุรกิจที่ต้องจับตามอง ความไม่แน่นอนของ Trump policy และ ผลการเจรจาการค้ากับ US ปัญหาสินค้าจีนทะลักและ ความสามารถในการแข่งขัน ความเปราะบางของ กาลังซื้อในประเทศ Power Plant ปัญหา Geopolitics ของประเทศต่าง ๆ และการชะลอตัวของ เศรษฐกิจโลก Restaurant Beverages แนวโน้มภาวะธุรกิจยังเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ และจีน กลุ่มที่พึ่งพากาลังซื้อในประเทศฟื้นตัวได้ช้า โดยเฉพาะ ตลาดบ้านและรถยนต์ กลุ่มที่เผชิญปัญหาสินค้าจีนทะลักรุนแรงขึ้น ขณะที่กลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยวมีปัจจัยลบมากขึ้นส่งผลต่อแนวโน้มการฟื้นตัว ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC Positive outlook
  • 55.
    56 แม้ภาคธุรกิจจะเผชิญความท้าทายอยู่มากทั้งความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและผลกระทบจาก Mega trendของโลกที่เข้ามา Disrupt ธุรกิจ แต่ยังมีบาง Subsegment ของธุรกิจแต่ละประเภทที่ยังมีโอกาสเติบโต ขณะเดียวกัน ยังมีบาง Subsegment ที่ต้องระมัดระวังอย่างใกล้ชิด ปัจจัยชี้วัด 1) ความอ่อนไหวต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ความผันผวนของกาลังซื้อในประเทศ อุปสงค์จากต่างประเทศ ผลกระทบจาก Geopolitics และสงครามการค้า 2) ศักยภาพการแข่งขัน เทียบกับคู่แข่ง 3) ความท้าทายและโอกาสจาก Key mega trend ต่าง ๆ ได้แก่ ประเด็นความยั่งยืน, Health & wellness. New technology และ Demographic changes ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC