ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
20 ธันวาคม 2024
Outlook
มุมมองเศรษฐกิจปี 2024 - 2025
ณ ไตรมาส 4 ปี 2024
Q4/2024
2
Executive summary
เศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวดี แต่ปีหน้าจะเจอแรงกดดันจาก Trump 2.0 โดยเฉพาะครึ่งปีหลัง SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 อาจขยายตัวได้ถึง 4% ตามแรงส่งการส่งออกและการใช้จ่าย
ภาครัฐที่โตต่อเนื่องจากไตรมาส 3 รวมถึงการท่องเที่ยวจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัวได้ 2.7% สาหรับปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะเริ่มได้รับผลกระทบมาตรการกีดกันการค้าของ Trump 2.0 ตั้งแต่ครึ่งปีหลัง
กดดันการส่งออกสินค้าและการลงทุน นอกจากนี้ ปัญหา China’s overcapacity จะกดดันความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทยทั้งตลาดในและนอกประเทศ ส่งผลให้การส่งออกไทยเริ่มชะลอตัว ซ้าเติมภาคการผลิต
อุตสาหกรรมที่ยังไม่ฟื้นตัว ท่ามกลางแรงกระตุ้นการคลังที่จะออกมาเพิ่มเติมในปีหน้า
การลงทุนภาคเอกชนจะกลับมาฟื้นตัวได้ในปีหน้า แต่ฟื้นไม่แรงมากนักจากความเปราะบางของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดและอุปสงค์ในประเทศซบเซา สอดคล้องกับผลสารวจ SCB EIC
Consumer survey 2024 ผู้บริโภคกว่า 60% มองเศรษฐกิจไทยปีหน้าแย่ลง โดยเฉพาะกลุ่มคนรายได้ต่า สะท้อนความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอ่อนแอ และมีแนวโน้มปรับลดการใช้จ่ายลงเพราะไม่แน่ใจในภาวะเศรษฐกิจและรายได้
ในอนาคต
SCB EIC ประเมินว่า คุณภาพสินเชื่อรายย่อยทั้งระบบมีแนวโน้มจะปรับแย่ลง ท่ามกลางมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อรายย่อยของสถาบันการเงินที่จะยังเข้มงวดต่อเนื่อง จากข้อมูล NCB สะท้อนว่าคุณภาพสินเชื่อรายย่อยทั้ง
ระบบมีแนวโน้มแย่ลงต่อเนื่อง ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงน่าจะคลี่คลายได้ช้า ส่งผลกดดันการบริโภคในระยะข้างหน้า สาหรับมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนล่าสุด เน้นช่วยลูกหนี้รายย่อยกลุ่มเปราะบางได้มากขึ้นและยังมีโอกาสคืนหนี้ได้
สาหรับผลสาเร็จของมาตรการฯ ขึ้นกับการฟื้นตัวของรายได้ลูกหนี้เป็นหลัก
SCB EIC ประเมิน กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง 0.25% ในเดือน ก.พ. 2568 ไปอยู่ที่ 2% และคงไปตลอดช่วงที่เหลือของปี แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันอาจยังไม่ได้มีปัจจัยกดดันชัดเจนที่ทาให้ กนง. ต้องเร่งปรับลด
ดอกเบี้ย แต่ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยจะเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาก ทั้งจากความเปราะบางภายในและความท้าทายภายนอก นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ และลดผลกระทบภาวะการเงินตึงตัว
ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้บ้าง
สาหรับเงินบาทจะอ่อนค่าลงอีกไม่มาก อยู่ในกรอบราว 34.00-35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่ยังต้องจับตาความผันผวนของเงินสกุลอื่นที่อาจกระทบเงินบาทได้ สาหรับปี 2568 คาดว่าเงินทุน
เคลื่อนย้ายจะยังไหลออกต่อเนื่องกดดันเงินบาทอ่อนค่าต่อในช่วงครึ่งแรกของปี แต่เงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ช่วงครึ่งปีหลัง ตามทิศทางการลดดอกเบี้ยของ Fed ราคาน้ามันโลกที่มีแนวโน้มลดลง ราคาทองคาที่อาจ
สูงขึ้น และเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับ มองกรอบปลายปีที่ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
แนวโน้มธุรกิจไทยยังมีความเสี่ยงอยู่มาก ทั้งจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก นโยบาย Trump 2.0 การแข่งขันรุนแรงจากต่างประเทศ แรงกดดันจาก Mega trends รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตของ
ไทยเอง แต่ขนาดผลกระทบจะขึ้นกับความสามารถในการปรับตัวของแต่ละธุรกิจ เช่น ธุรกิจยานยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ความเปราะบางของครัวเรือน ซ้าเติมด้วยแรงกดดันเปลี่ยนผ่านสู่รถ EV
ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีข้อจากัดในการปรับตัว
SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2568 เหลือ 2.5% (เดิม 2.8%) จากนโยบาย Trump 2.0 ซึ่งจะเร่งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันการค้าให้รุนแรงขึ้น กระทบเศรษฐกิจโลกผ่านการค้า การลงทุน และแรงงาน
เป็นหลัก หลายประเทศหลักได้เตรียมชุดมาตรการลดผลกระทบเชิงลบจาก Trump 2.0 ไว้บ้างแล้ว แต่ปัญหาการเมืองในบางประเทศอาจเป็นความเสี่ยงสาคัญที่จะทาให้แนวทางการรับมือของภาครัฐขาดประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะเยอรมนี ฝรั่งเศส และเกาหลีใต้ ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่าผลกระทบสุทธิของชุดนโยบาย Trump 2.0 ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเป็นลบแต่จะไม่แรงมาก เพราะหลายนโยบายจะช่วยเร่งการลงทุนในสหรัฐฯ เช่น
การลดภาษีเงินได้ การลดกฎเกณฑ์ภาครัฐให้เอื้อต่อการทาธุรกิจ (Deregulation)
ทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินโลกจะเริ่มแตกต่างกันและมีความไม่แน่นอนสูง โดยคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ เพื่อรองรับความเสี่ยงเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นจาก Trump 2.0 โดยเฉพาะการ
ขึ้นภาษีนาเข้าและการกระตุ้นการลงทุนในประเทศ อย่างไรก็ดี แรงกดดันเงินเฟ้อโลกอาจไม่เร่งตัวขึ้นมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะเศรษฐกิจโลกแย่ลง อีกทั้งราคาพลังงานโลกมีแนวโน้มต่าลงตามอุปสงค์โลกและการเพิ่มกาลังการ
ผลิตในสหรัฐฯ จากนโยบายสนับสนุนของ Trump ส่งผลให้ ECB และ PBOC มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยมากกว่าคาดการณ์เดิม เพื่อดูแลเศรษฐกิจที่จะชะลอลงจากปัญหาเชิงโครงสร้างและปัจจัย Trump 2.0 กดดันเพิ่มเติม
แต่สาหรับ BOJ มีแนวโน้มจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดการณ์เดิม ส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันเงินเยนอ่อนค่ามากจาก Trump 2.0
3
เศรษฐกิจโลก
เศรษฐกิจโลกปี 2025 มีแนวโน้มเติบโตต่ำลงจำกนโยบำย Trump 2.0 ซึ่งจะเร่งปัญหำภูมิรัฐศำสตร์
และกีดกันกำรค้ำให้รุนแรงขึ้น กระทบเศรษฐกิจโลกผ่ำนกำรค้ำ กำรลงทุน และแรงงำนเป็นหลัก
4
SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2025 เหลือ 2.5% (เดิม 2.8%) จากนโยบาย Trump 2.0 ซึ่งจะเร่ง
ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และกีดกันการค้าให้รุนแรงขึ้น กระทบเศรษฐกิจโลกผ่านการค้า การลงทุน และแรงงานเป็นหลัก
คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดย SCB EIC สมมติฐาน Tariff hike ของสหรัฐฯ จีน และโลกจากนโยบาย Trump 2.0
หมายเหตุ : * หากไม่มี Trump 2.0 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2025 มีแนวโน้มปรับดีขึ้นกว่าคาดการณ์เดิม (แต่ Offset กับผลลบสุทธิของนโยบาย Trump ต่อสหรัฐฯ) ขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนและอินเดียมีแนวโน้มปรับลดลงกว่าคาดการณ์เดิม (และได้ผลลบเพิ่มเติมจาก Trump 2.0)
** ASEAN-5 (Indonesia, Malaysia, Philippines, Singapore และ Vietnam)
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ IMF WEO (Oct24), Goldman Sachs, Capital Economics, Bloomberg, Reuters และ The Economist
การตอบโต้ของจีน :
• จีนขึ้นภาษีสินค้านาเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราเท่ากัน แต่จะตอบโต้ไม่ได้เต็มที่ เนื่องจากจีนนาเข้าจาก
สหรัฐฯ ไม่มากเท่าสหรัฐฯ นาเข้าจากจีน โดยอาจเน้นสินค้าเกษตรที่ขาดดุลกับสหรัฐฯ เช่น ถั่วเหลือง
• จีนอาจตอบโต้ผ่านมาตรการอื่น ๆ เพิ่ม เช่น ห้ามนาเข้าสินค้าบางชนิดจากสหรัฐฯ ห้ามส่งออกสินค้า
ยุทธศาสตร์ และนโยบายเงินหยวนอ่อนค่าช่วยลดผลกระทบ
• จีนกระจายการส่งออกไปประเทศอื่น EU จะตอบโต้โดยขึ้นภาษีนาเข้าจีน 10% จีนจะตอบโต้กลับเท่ากัน
การตอบโต้ของประเทศอื่น ๆ :
• ขึ้นภาษีสินค้านาเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราใกล้เคียงกัน แต่ไม่ขึ้นภาษีสินค้าจีน
• ประเทศทั่วโลกจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยลดผลกระทบ คาดว่าจีนจะออกมาตรการกระตุ้น
ขนาดใหญ่กว่าประเทศอื่น ๆ เพราะได้รับผลกระทบมากกว่า
(%YOY) 2023
2024F 2025F
As of
Sep 24
As of
Dec 24
As of
Sep 24
As of
Dec 24
Global 2.8% 2.7% 2.7% 2.8% 2.5%
US 2.9% 2.5% 2.7% 1.9% 1.9%*
Eurozone 0.4% 0.8% 0.8% 1.3% 0.6%*
Japan 1.7% 0.1% -0.2% 1.1% 0.9%
China 5.2% 5.0% 4.9% 4.5% 4.2%
India 7.7% 7.2% 6.6% 6.8% 6.3%*
ASEAN-5** 4.3% 4.9% 5.1% 5.0% 4.9%
สหรัฐฯ ขึ้นอัตราภาษีสินค้านาเข้า :
• Trump จะขึ้นภาษีสินค้านาเข้าจากจีนก่อน โดยเฉลี่ย 20% อัตราภาษีแตกต่างกันตาม List กลุ่มสินค้า
คล้ายกรณี Tariff hike สินค้าจีนช่วง Trump 1.0 อาศัยอานาจ Section 301 of the Trade Act of
1974 เพื่อลดเวลาขั้นตอนการสอบสวน
• สินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมและวัตถุดิบการผลิตจะถูกขึ้นภาษีนาเข้าอัตราสูงสุด สินค้ากลุ่มบริโภคจะถูกขึ้น
ภาษีอัตราต่ากว่า ความรุนแรงอัตราภาษีมากไปน้อยตามกลุ่มสินค้า List 1 – List 4 ของ Section 301
• ช่วงครึ่งหลังของปี 2025 สินค้านาเข้าจากประเทศอื่นจะถูกขึ้นภาษีในอัตราเฉลี่ย 10%
5
แรงกดดันเงินเฟ้อโลก (ยกเว้นสหรัฐฯ) คาดว่าจะไม่เร่งตัวมากนัก ส่วนหนึ่งจากเศรษฐกิจโลกที่แย่ลง อีกทั้ง ราคา
พลังงานโลกมีแนวโน้มลดลงตามอุปสงค์โลกและการเพิ่มกาลังการผลิตในสหรัฐฯ จากการสนับสนุนของ Trump
คาดการณ์ราคาน้ามันโลกในระยะกลางโดย SCB EIC
หน่วย : USD/bbl
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bloomberg และสานักข่าวต่าง ๆ
73.1
68.6
86.6
57.5
35
45
55
65
75
85
95
105
2015
2016
2017
2018
2019
2020
2021
2022
2023
2024F
2025F
2026F
กรณีไม่มีนโยบายชุด Trump 2.0 กรณีฐาน (โอกาส 80%)
กรณีภูมิรัฐศาสตร์รุนแรง (โอกาส 20%) ค่าเฉลี่ยปี 2015-2019
Scenarios ปัจจัยกระทบอุปสงค์และอุปทานน้ามัน
กรณีฐาน :
สงครามการค้า และ
เพิ่มกาลังผลิตน้ามัน
ของ U.S.
(โอกาส 80%)
Demand : ชะลอ สาเหตุหลักมาจากการ Normalizing หลังการระบาดใหญ่
และสงครามการค้าทาให้ราคาสินค้าสูงขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
Supply: เร่งผลิต แต่หาก Supply สูงกว่า Demand มากเกินไป ผู้ผลิตอาจใช้
วิธีลดปริมาณการผลิตแทน เพื่อรักษาระดับราคาและรายได้รวมไว้
กรณี No Trump 2.0 Demand : ชะลอ สาเหตุหลักมาจากการ Normalizing หลังการระบาดใหญ่
Supply : เพิ่มขึ้น ปี 2025 การผลิตน้ามันจะเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรล/วัน
(OPEC+ ผลิตเพิ่มขึ้นราว 0.7 ล้านบาร์เรล/วัน หลังยุติการลดการผลิตโดยสมัคร
ใจและประเทศนอก OPEC ผลิตเพิ่ม 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน)
กรณีภูมิรัฐศาสตร์
รุนแรง :
สงครามการค้า
เพิ่มกาลังผลิตน้ามัน
ของ U.S. แต่กดดัน
ตะวันออกกลาง
(โอกาส 20%)
Demand และ Supply : ตามกรณีฐานการกดดันตะวันออกกลาง
• การกลับไปใช้แนวทางเข้มงวดต่ออิหร่าน อาจนาไปสู่การตอบโต้จาก
อิหร่าน เช่น ขู่ว่าจะขัดขวางการขนส่งน้ามันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ
• การเจรจาลดกาลังผลิตน้ามันกับประเทศซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย
ในอดีตทรัมป์ใช้กลยุทธ์เจรจาและขู่ถอนการสนับสนุนทางทหารให้
ซาอุดีอาระเบีย หากไม่ยอมลดการผลิตน้ามัน เพื่อรักษาระดับราคาน้ามันไว้
• China overcapacity เป็นอีกปัจจัยช่วยให้แรงกดดันเงินเฟ้อโลกไม่เร่งตัวมากนัก
เนื่องจากจีนมีแนวโน้มใช้นโยบายเงินหยวนอ่อนค่า เพื่อลดผลกระทบของภาษีนาเข้า
สหรัฐฯ ซึ่งจะทาให้ราคาสินค้าส่งออกจีนในตลาดโลกมีราคาถูกลง
6
นโยบายการเงินสหรัฐฯ อาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ เพื่อรองรับความเสี่ยงเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่ยูโรโซน
และจีนมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยมากขึ้น ตามเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากผลกระทบ Trump 2.0
คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ
หน่วย : % ต่อปี
คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายยูโรโซน
หน่วย : % ต่อปี
คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายจีน (7-day reverse repo)
หน่วย : % ต่อปี
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ IMF, CEIC, Bloomberg และ Wikipedia Commons
3.13
3.38
2
3
4
5
6
23H2 24H1 24H2 25H1F 25H2F 26H1F 26H2F
คาดการณ์เดิม คาดการณ์ใหม่ ณ ธ.ค. 2024
เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี แม้เผชิญแรงกดดันจาก
นโยบาย Trump 2.0 แต่ความเสี่ยงที่จะทาให้เงินเฟ้อเร่งตัวมีสูง
(เช่น การขึ้นภาษีนาเข้า การลดภาษีในประเทศ) Fed จึงมีแนวโน้ม
ลดดอกเบี้ยช้าลงกว่าแผนเดิม โดยมีความไม่แน่นอนสูง
2
1.75
1
2
3
4
5
23H2 24H1 24H2 25H1F 25H2F 26H1F 26H2F
คาดการณ์เดิม คาดการณ์ใหม่ ณ ธ.ค. 2024
เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มชะลอลงปีหน้า
และแรงกดดันเงินเฟ้อด้านพลังงานของ
ยุโรปอาจลดลงจากนโยบาย Trump 2.0
ECB จึงมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง
เพื่อพยุงเศรษฐกิจ
1.2
0.8
0
0.2
0.4
0.6
0.8
1
1.2
1.4
1.6
1.8
2
23H2 24H1 24H2F 25H1F 25H2F 26H1F 26H2F
คาดการณ์เดิม คาดการณ์ใหม่ ณ ธ.ค. 2024
จีนส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินมาก
ขึ้นตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย. 2024 ตามเศรษฐกิจที่
เปราะบาง โดยเฉพาะอุปสงค์ในประเทศ ทั้งนี้
คาดว่าแรงกดดันเพิ่มเติมจาก Trump 2.0 จะ
ทาให้จีนมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยมากขึ้นอีก
7
Policy response ของบางประเทศหลัก ช่วยลดผลกระทบเชิงลบจากชุดนโยบาย Trump 2.0
นโยบาย Trump 2.0 ที่อาจลดทอนผลลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มาตรการรองรับ Trump และกระตุ้นเศรษฐกิจของยูโรโซน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน
• ลดภาษีเงินได้เพื่อกระตุ้นการลงทุน
โดยการต่ออายุ Tax Cuts and Jobs
Act (TCJA)
• ผลบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ (IMF) :
+0.4% ตลอดปี 2025 - 2029
• ลดกฎเกณฑ์ภาครัฐเพื่อเอื้อต่อ
การประกอบธุรกิจ (Deregulation)
• ลดขั้นตอนอนุมัติและขอใบอนุญาต
แบบ Fast track ให้ธุรกิจที่ย้ายมา
ลงทุนในสหรัฐฯ หากมูลค่าการลงทุน
สูงกว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
• Trump วางแผนตั้งกระทรวง
ประสิทธิภาพรัฐบาล นาโดย Elon
Musk และ Vivek Ramaswamy
เพื่อลดรายจ่ายไม่จาเป็น และปฏิรูป
ระบบราชการสหรัฐฯ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
SCB EIC มองว่า นโยบาย Trump 2.0 จะส่งผลกระทบด้านลบต่อ
เศรษฐกิจญี่ปุ่นจากัด เนื่องจาก :
• รัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่กว่า 39
ล้านล้านเยน เช่น ขึ้นค่าจ้าง ขยายเวลาช่วยเหลือค่าพลังงาน
แจกเงินครัวเรือนรายได้น้อย ขึ้นเกณฑ์รายได้ขั้นต่าที่ต้องเสีย
ภาษีเงินได้
นอกจากนื้ ยังมีปัจจัยช่วยสนับสนุนอุปสงค์ในประเทศ
และบรรเทาผลกระทบจากอุปสงค์โลกชะลอลงได้บ้าง
• ค่าจ้างปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ช่วยสนับสนุนการบริโภค ผลจาก
ตลาดแรงงานตึงตัว และธุรกิจสามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังราคา
ผู้บริโภคได้ดีขึ้น
• การลงทุนภาคเอกชน (CAPEX) ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อทดแทนการขาดแคลนแรงงาน
• EU จะเริ่มเปิดฉากเจรจากับ Trump ทันที อาจเสนอซื้อเชื้อเพลิง
หรืออาวุธจากสหรัฐฯ มากขึ้น ทดแทนการขึ้นภาษี
• EU จะขึ้นภาษีโต้ตอบในสัดส่วนเท่ากัน โดย EU ประกาศว่า
ได้เตรียมรายชื่อสินค้าที่จะขึ้นภาษีสหรัฐฯ ไว้แล้ว
• EU มีแนวโน้มขึ้นภาษีนาเข้าจีน เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าจีน
ไหลเข้า EU มากเกินไปหลัง Trump ขึ้นภาษีนาเข้าสินค้าจีน
• ECB มีแนวโน้มเร่งลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อพยุงเศรษฐกิจ
1. ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นในปี 2025 เน้นกระตุ้นการ
บริโภค ตามการสื่อสารของรัฐบาล :
• ใช้นโยบายการคลังเชิงรุก (Proactive)
• ปรับท่าทีนโยบายการเงินจาก Prudent เป็น Moderately loose
• ใช้ “Unconventional counter-cyclical policy adjustments”
ซึ่งอาจหมายถึงเน้นกระตุ้นการบริโภค (เดิมเน้นกระตุ้นการลงทุน)
• ให้ความสาคัญกับการกระตุ้นการบริโภคเป็นอันดับแรกในการ
ตั้งเป้าหมายปี 2025 (เดิมอันดับ 2 ในปี 2024)
2. กาหนดโควตาการออกพันธบัตรรัฐบาลกลางและท้องถิ่นมากขึ้น
และตั้งเป้าขาดดุลการคลังสูงขึ้น เพื่อสนับสนุนโครงการต่าง ๆ เช่น
Goods trade-in, Local government debt deleveraging, Real
estate destocking และการส่งเสริม Social safety net
3. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ Required reserve ratio
เพิ่มเติม
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ IMF, CEIC, Bloomberg และ Wikipedia Commons
8
รัฐบาลประเทศต่าง ๆ จาเป็นต้องเตรียมรับมือผลกระทบนโยบาย Trump 2.0 แต่ปัญหาการเมืองในและต่างประเทศ
เป็นความเสี่ยงที่จะทาให้แนวทางการรับมือของภาครัฐขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเยอรมนี ฝรั่งเศส และเกาหลีใต้
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Thai PBS, BBC, Reuters, The Guardian, และ Wikipedia Creative Commons License (รูปอิหร่านใช้มิสไซล์โจมตีอิสราเอลในปี 2024 และรูป ATACMS ปี 2006)
สงครามอิสราเอล-ฮามาสรุนแรงขึ้นและเสี่ยงขยายวงกว้าง สงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อเกือบ 2 ปี การเมืองภายในหลายประเทศอ่อนแอลง
• สงครามตะวันออกกลางยาวนานกว่า 1 ปี
• สถานการณ์ในไตรมาส 4 รุนแรงมากขึ้น อิสราเอลโจมตี
ปาเลสไตน์ เลบานอน และซีเรีย รวมถึงมีการยิงขีปนาวุธตอบโต้
กลับจากอิหร่าน
• การเปลี่ยนแปลงผู้นาซีเรีย สร้างความไม่แน่นอนเพิ่มเติม
• Trump มีท่าทีสนับสนุนอิสราเอลเพิ่มเติม โดยเฉพาะงบประมาณ
ผ่าน Congress สงครามตะวันออกกลางอาจยืดเยื้อ
• สงครามรัสเซีย-ยูเครนยาวนานเกือบ 2 ปี
Trump เคยประกาศจะยุติสงครามนี้อย่างรวดเร็วหลังรับ
ตาแหน่ง โดยไม่ได้ระบุวิธีชัดเจน อาจลดเงินสนับสนุนยูเครน
และเจรจาให้ยูเครนเสียดินแดน
• แต่ล่าสุด สหรัฐฯ อนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธที่ได้รับการ
สนับสนุนจากสหรัฐฯ โจมตีลึกเข้าไปในรัสเซียได้ (เดิมให้ใช้
เพื่อการป้องกันตนเองเท่านั้น) ส่งผลให้สงครามอาจยืดเยื้อต่อ
• ปัญหาการเมืองภายในประเทศ อาจทาให้หลายประเทศไม่สามารถ
รับมือนโยบาย Trump 2.0 ได้มีประสิทธิภาพมากนัก
• นายกฯ ฝรั่งเศสถูกขับออกจากตาแหน่ง หลัง ส.ส. ลงมติ
ไม่ไว้วางใจรัฐบาล สะท้อนว่าฝ่ายค้านมีอานาจการเมืองสูง
• การเมืองเยอรมนีเข้าขั้นวิกฤติ หลังเกิดการแตกหักในฝั่งรัฐบาล
• ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ลาออก หลังสภาเกาหลีใต้มีมติถอดถอน
จากเหตุประกาศกฎอัยการศึกในวันที่ 3 ธ.ค. (แต่สภาโหวตคัดค้าน)
ไม่ไว้วางใจนายกฝรั่งเศส
(ต้องการ 288)
คัดค้านกฎอัยการศึกเกาหลีใต้
(ต้องการ 150)
ถอดถอด ปธน. เกาหลีใต้
(ต้องการ 200)
เห็นชอบ ไม่เห็นชอบ/งดออกเสียง/ไม่เข้าร่วม
96
204
110
190
311 266
9
เศรษฐกิจไทย
Trump 2.0 จะเป็นแรงกดดันสำคัญของเศรษฐกิจไทยปี 2025 โดยเฉพำะช่วงครึ่งปีหลัง
10
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2025 ขยายตัวต่าลงที่ 2.4% ผลจากนโยบาย Trump 2.0 เร่งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์
และกีดกันการค้ารุนแรงขึ้น โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่แรงกระตุ้นการคลังจะทยอยออกมาเพิ่มเติมในปีหน้า
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2024 – 2025 โดย SCB EIC
ประมาณการเศรษฐกิจไทย
(กรณีฐาน)
หน่วย
2024F 2025F
ณ ก.ย. 24 ณ ธ.ค. 24 ณ ก.ย. 24 ณ ธ.ค. 24
GDP %YOY 2.5 2.7 2.6 2.4
การบริโภคภาคเอกชน %YOY 3.7 5.0 2.4 2.1
การบริโภคภาครัฐ %YOY 1.4 1.8 3.7 3.7
การลงทุนภาคเอกชน %YOY -0.4 -1.2 3.8 3.4
การลงทุนภาครัฐ %YOY -0.5 1.5 4.2 5.0
มูลค่าส่งออกสินค้า (USD BOP) %YOY 2.6 3.9 2.8 2.0
มูลค่านาเข้าสินค้า (USD BOP) %YOY 3.1 5.4 3.6 3.4
จานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ล้านคน 36.2 36.2 39.4 38.8
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป %YOY 0.6 0.4 1.0 1.0
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน %YOY 0.5 0.6 0.9 0.9
ราคาน้ามันดิบ Brent USD/Bbl. 83.1 80.6 79.2 73.4
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (สิ้นปี) % 2.25 2.25 2.0 2.0
ดุลบัญชีเดินสะพัด % of GDP 1.8 2.0 2.0 2.0
ค่าเงินบาท (เฉลี่ย) THB/USD 35.2 35.5 33.4 34.8
คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2024 – 2025 (รายครึ่งปี) โดย SCB EIC
หน่วย : %YOY
1.9
3.5
2.9
2
0
1
2
3
4
H1-24 H2-24F H1-25F H2-25F
Q4/24 : เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวดีราว 4% ตามแรงส่งการส่งออกและการใช้จ่ายภาครัฐที่จะขยายตัว
ต่อเนื่องจากไตรมาส 3 รวมถึงภาคการท่องเที่ยวช่วงท้ายปี ทาให้ช่วงครึ่งหลังเติบโตได้ดี ทั้งปีโตราว 2.7%
H1/25 : เศรษฐกิจไทยยังมีแรงส่งจากภาคการส่งออก (ขยายตัวเกือบ 3%) หลายประเทศอาจเร่งนาเข้าก่อน
มาตรการกีดกันการค้าเพิ่มเติมจะเริ่มมีผล การเบิกจ่ายงบประมาณต่อเนื่อง และการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัว
H2/25 : เศรษฐกิจไทยเริ่มถูกกดดันจากสงครามการค้ารอบใหม่ (ขยายตัวเพียง 2%) หลังมาตรการกีดกัน
การค้า Trump 2.0 เริ่มมีผล ส่งผลให้การส่งออกไทยเริ่มชะลอตัว ซ้าเติมภาคการผลิตที่ยังคงไม่ฟื้นตัว
11
นักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2025 คาดว่าจะอยู่ที่ 38.8 ล้านคนเข้าใกล้ระดับปกติ โดยเป้าหมายหลักยังเป็นนักท่องเที่ยว
กลุ่มเดิมอย่างนักท่องเที่ยวจีนแต่พบว่าพฤติกรรมเปลี่ยนไป และนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพที่เข้ามาไทยมากขึ้น
หมายเหตุ : *สัดส่วนกรุ๊ปทัวร์จีนตามข้อมูลการรับกรุ๊ปทัวร์ของสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (ATTA)
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, Dragon Trail Research, Goldman Sachs และสานักข่าวต่าง ๆ
ประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2025 โดย SCB EIC
หน่วย : ล้านคน, % เทียบกับปี 2019
กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย ปี 2025
หน่วย : ล้านคน
11.0
28.8
2019
5.4
2020 2021
10.9
2022
3.5
24.6
2023
6.9
29.1
2024E
8.7
30.1
2025F
39.8
6.7
0.4
11.2
28.2
36.0 38.8
นักท่องเที่ยวจีน นักท่องเที่ยวชาติอื่น
90%
71%
97%
28%
SCB EIC ปรับประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2025 ลงเล็กน้อยอยู่ที่ 38.8
ล้านคน จากข้อมูลเศรษฐกิจโลกช่วงปลายปีนี้ส่งสัญญาณชะลอตัวกว่าที่คาด
• เศรษฐกิจจีน คาดว่าจะขยายตัวต่าลงใน 1-2 ปีข้างหน้า
• เศรษฐกิจยุโรป มีแนมโน้มซบเซาต่อเนื่อง
กลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายเดิม
แต่พฤติกรรมเปลี่ยน
กลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายใหม่
ศักยภาพการเติบโตสูง
นักท่องเที่ยวจีน : กลุ่ม FIT และกรุ๊ปทัวร์ขนาดเล็ก
ผลสารวจบริษัททัวร์ในจีนของ Dragon Trail พบพฤติกรรมการท่องเที่ยว
ต่างประเทศของชาวจีนที่เปลี่ยนไป ดังนี้
• เลือกกรุ๊ปทัวร์ขนาดต่ากว่า 20 คน
• มองหาโปรแกรมทัวร์แบบ Trailor-made
• เดินทางท่องเที่ยวพร้อมครอบครัว
• เน้นใกล้ชิดธรรมชาติ ชายหาด และเกาะ
• ยังมีความอ่อนไหวทางด้านราคาสูง
28%
72%
2019
16%
84%
2023
23%
77%
2024E
25%
75%
2025F
11.1
3.5
6.9
8.7
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม (หน่วย : ล้านคน)
กลุ่มตะวันออกกลาง (หน่วย : แสนคน)
Kuwait UAE Saudi Arabia
0.7 0.7 0.8 1.1 1.2
1.5
0.3
1.4
1.9
+19%
+33%
+615%
10M2019
10M2023
10M2024
Israel Myanmar Russia
0.17 0.20 0.22 0.31 0.31 0.44
1.08 1.10 1.29
+35%
+43%
+20%
10M2019
10M2023
10M2024
Group tour* Others
12
ไทยเสี่ยงสูงที่จะถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนาเข้าจาก Trump 2.0 ส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง
รวมถึง ปัญหา China overcapacity ที่กดดันความสามารถการแข่งขันทั้งภายในและนอกประเทศ
มูลค่าเพิ่มของการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ระหว่าง Q4/23-Q3/24
หน่วย : % of GDP (Domestic Value Added* of Economy to GDP)
Trump risk index ของประเทศที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ
หน่วย : ดัชนี (โดย ITIF, Dec 2024)
0
5
10
15
DVA of gross exports to US DVA in US final demand
สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย
และมีสัดส่วนมากถึง 17% ของมูลค่า
การส่งออกไทยทั้งหมดในปี 2023
หมายเหตุ : *DVA = gross output at basic prices minus intermediate consumption at purchasers' prices
มูลค่าการนาเข้าจากจีนต่อมูลค่านาเข้าทั้งหมด รายประเทศ
หน่วย : ดัชนี (2018=100)
Economies 2019 2020 2021 2022 2023
Cambodia 105.9 104.2 95.6 98.8 125.2
Vietnam 107.8 116.5 120.1 118.6 122.9
Thailand 106.0 120.1 123.7 116.4 121.6
Philippines 116.3 117.7 115.6 104.1 117.9
Indonesia 108.7 116.0 119.0 118.2 117.5
Lao PDR 132.1 117.7 117.0 117.0 117.0
Malaysia 103.8 107.9 116.4 107.0 107.1
Myanmar 107.7 113.0 91.3 99.8 96.3 -6 -4 -2 0 2 4 6
Lithuania
Australia
Netherlands
Taiwan
Greece
Japan
France
South Korea
UK
Philippines
Germany
Italy
Portugal
Spain
Turkey
Hungary
New Zealand
Canada
Austria
Slovenia
Thailand
Mexico
Military Spending/GDP
Trade Balance/GDP
Toughness on China
Anti-U.S. Policies
Total Score
More Risk Less Risk
ประเทศเข้าข่าย Unfair trade กับสหรัฐฯ : ไทยอาจติด
3 ใน 5 เกณฑ์
โดย Global Trade Alert (Nov 2024)
5 เกณฑ์ตรวจสอบการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ
ภายใต้การบริหารของทรัมป์ 1.0
Bilateral Trade Surplus : เกินดุลสหรัฐฯ > 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
Significant Gain in Competitiveness from Exchange Rate :
ได้เปรียบต้นทุนอัตราแลกเปลี่ยนเทียบ USD ตั้งแต่ปี 2019 มากกว่า 5%
Threat to US Bilateral Exports in Home Market : มีนโยบายช่วย
บริษัทในประเทศให้แข่งขันกับสินค้านาเข้า และกระทบมูลค่าส่งออก
สหรัฐฯ > 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
Subject to Significant Scrutiny During First Trump
Administration : รายงานการประเมินอุปสรรคทางการค้าระหว่าง
ประเทศ ระบุว่า เป็นประเทศที่มีอุปสรรคทางการค้า > 6 pages
Import Tariff Far in Excess of Comparable US Level : MFN
เฉลี่ยที่ใช้กับสินค้าทุกประเภทสูงกว่าอัตราที่สหรัฐฯ ใช้ปัจจุบันเกิน 5%
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Trademaps, Haver Analytics, Goldman Sachs, Global Trade Alert (Nov24) “Attracting the Ire of the Next US Administration: A Red Flag Analysis based on recent policy & market outcomes”
และ Information Technology and Innovation Foundation (Dec 2024) “Which US Allies Are Most Likely to Face Trump Tariffs—and How Can They Avoid the Wrath of an “America First” Doctrine?”
13
สินค้าส่งออกสาคัญของไทยที่มีความเสี่ยงถูกตั้งกาแพงภาษีจาก Trump 2.0 เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์
และชิ้นส่วน เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์
ประเมินระดับความเสี่ยงจากนโยบายการค้า Trump 2.0 ต่อสินค้าส่งออกสาคัญของไทยโดย SCB EIC
Top Thai export products to US
% TH export
to US
in 2023
Risk assessment
"Losing competitiveness" "US internalization" "US global tariffs"
%∆ in TH market share
(2023 vs 2018)
% diff of US import vs
domestic production growth*
(Avg 2018 - 23)
Rank of US trade deficit
to global in 2023**
Total 79% 0.5 5.8
EE
Electronic equipment 17% 2.3 2.8 1
Communication equipment 10% 2.3 -8.0 1
Semiconductor 7% 12.5 21.0 1
Machinery
Machinery & Computer 18% 0.8 4.6 3
HH appliance 1% 4.1 24.1 3
Air condition 2% 7.2 56.5 3
Tires 7% 2.7 10.0 13***
Auto
Car 3% 0.2 5.0 2
Auto parts 2% 0.6 5.0 2
Iron & Steel 3% 0.8 5.3 10
Food
Preparations of meat 2% -2.2 2.6 36
Veg & Fruit 1% -0.7 8.9 29
Furniture 2% 1.1 3.2 5
Clothing 1% -0.3 2.0 7
ความเสี่ยงจากนโยบาย Trump 2.0 ต่อธุรกิจส่งออกที่ต้องจับตามอง
ไทยเผชิญความเสี่ยงสูงจากการตั้งกาแพงภาษี
ไทยอยู่อันดับที่ 12 จาก 99 ประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า
มากที่สุดในปี 2023
70%
1)
ความเสี่ยงจากนโยบายพึ่งพาตนเองของสหรัฐฯ จะกระทบต่อความต้องการ
สินค้าจากไทยในวงจากัด เนื่องจากอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ เติบโตไม่ทันอุปสงค์
จึงจาเป็นต้องพึ่งการนาเข้า
2)
3)
กรณีจีนย้ายฐานการผลิตมาไทยเพื่อเลี่ยงกาแพงภาษี สหรัฐฯ อาจดาเนิน
มาตรการกีดกันการค้าต่าง ๆ เช่น ตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้า เพิ่มสัดส่วน
การใช้ชิ้นส่วน/วัตถุดิบจากผู้ผลิตในประเทศ พิจารณาถึงสัญชาติของบริษัท
เช่น การเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด จากการนาเข้าแผงโซลาร์จาก 4 ประเทศ
ใน ASEAN ซึ่งผลิตโดยบริษัทจีน
กว่า 70% ของสินค้าส่งออกหลักของไทยเป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ มีแนวโน้ม
ตั้งเป้าลดการขาดดุลการค้า และส่งเสริมให้เกิด Local supply chain อาทิ
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์
4)
Demand สินค้าขั้นกลางที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อผลิตเป็นสินค้าขั้นปลายอาจ
ชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าขั้นปลายที่จีนส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ อาทิ กลุ่ม
คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน IC PCB และไม้ยางพารา
Direct impacts from US
Indirect impacts from China
หมายเหต ุ: (*) หากความต่างเป็นบวก หมายถึง การนาเข้าขยายตัวได้สูงกว่าอัตราการเติบโตของการผลิตในประเทศหรือหดตัวน้อยกว่าการหดตัวของการผลิตในประเทศ ขณะที่ความต่างที่ติดลบ หมายถึง การนาเข้าขยายตัวต่ากว่าอัตราการเติบโตของการผลิตในประเทศหรือหดตัว
ต่ากว่าการลดลงของปริมาณการผลิตในประเทศ (**) ระดับความเสี่ยงประเมินจากลาดับมูลค่าการขาดดุลของ US จากสินค้าทั้งหมด 97 ประเภท โดย US ขาดดุลมากถึง 75 ประเภทสินค้า และมูลค่าสินค้าที่ขาดดุลมากที่สุดอันดับ 1 คือ หมวดอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้สินค้าที่เสี่ยงสูง
(สีแดงหรือส้มเข้ม) คือ สินค้า 8 อันดับแรกที่ US มีการขาดดุลการค้ามากที่สุด ณ ปี 2023 (Percentile ที่ 10) (***) สินค้าต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะเมื่อปี 2023 ได้ถูกสหรัฐฯ กล่าวหาว่ามีพฤติกรรมทุ่มตลาด โดยแฉพาะยางรถบรรทุกและรถบัส
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Trade Map และ CEIC
14
การลงทุนภาคเอกชนจะกลับมาฟื้นตัวได้บ้างในปี 2025 ตามมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนของ Board of
Investment (BOI) ที่เพิ่มขึ้นมาก แต่แนวโน้มการฟื้นตัวยังถูกจากัดจากความเปราะบางในการผลิตภาคอุตสาหกรรม
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย, สานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนและองค์ประกอบโดย ธปท.
หน่วย : %YOY
-40
-30
-20
-10
0
10
20
30
40
ยอดจดทะเบียนยานยนต์ใหม่
พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง
การจาหน่ายเครื่องจักรและ
อุปกรณ์ในประเทศ
การนาเข้าสินค้าทุน
ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน
การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวแตกต่างกันในแต่ละองค์ประกอบอย่างชัดเจน
• การลงทุนและนาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ (ยกเว้นยานพาหนะ) ขยายตัว
ดีขึ้น ส่วนหนึ่งตามการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI
• การลงทุนก่อสร้างและยานพาหนะหดตัวลงมาก ส่วนหนึ่งจากอุปสงค์
ในประเทศที่ชะลอลงต่อเนื่อง
มูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนโดย BOI
หน่วย : พันล้านบาท
0
100
200
300
400
500
600
700
ม.ค.-ก.ย. ม.ค.-ก.ย. ม.ค.-ก.ย.
2022 2023 2024
บริการที่มีมูลค่าสูง
อุตสาหกรรมสร้างสรรค์
ดิจิทัล
สาธารณูปโภค
เคมีและปิโตรเคมี
โลหะและวัสดุ
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
เครื่องจักรและยานยนต์
การแพทย์
เกษตร อาหาร และ
เทคโนโลยีชีวภาพ
+100%YOY
มูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนของ BOI เพิ่มขึ้น 2 เท่า
ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า
และอิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นแรงส่งสาคัญของการลงทุนในระยะข้างหน้า
คาดการณ์การขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนโดย SCB EIC
หน่วย : %YOY
2.9
4.7
3.2
-1.2
3.4
-0.4
3.8
-2
0
2
4
2021 2022 2023 2024F 2025F
Nov-24
Aug-24
ปี 2024 การลงทุนเอกชนจะหดตัว จากการลงทุนด้านก่อสร้าง
และยานพาหนะเชิงพาณิชย์ที่ซบเซา
ปี 2025 การลงทุนเอกชนจะกลับมาขยายตัวได้ ตามทิศทางมูลค่า
การออกบัตรส่งเสริมการลงทุนของ BOI ที่ดีขึ้นมากเป็นหลัก
แต่การลงทุนก่อสร้างและยานพาหนะคาดว่าจะฟื้นตัวจากัด รวมถึง
แรงกดดันเพิ่มเติมจากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าสหรัฐฯ
และการทุ่มตลาดของสินค้าจีน ทาให้การส่งออกไทยขยายตัวจากัด
ขณะที่การใช้กาลังการผลิตยังอยู่ในระดับต่า
15
การผลิตอุตสาหกรรมในภาพรวมยังไม่ฟื้นตัว จากแรงกดดันอุปสงค์ในประเทศซบเซา และการเข้ามาตีตลาด
ของสินค้าจีน โดยการฟื้นตัวกระจุกตัวในหมวดสินค้าที่ได้รับอานิสงส์จากการส่งออก
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงพาณิชย์ และ CEIC
ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมไทย และดัชนีมูลค่าสินค้านาเข้าจากจีน
หน่วย : Index, sa, 2021 = 100
80
100
120
140 MPI
Imports from China
(Of which) Consumer Goods
(Of which) Raw Materials & Intermediate Products
(Of which) Capital Goods
• แม้ภาคส่งออกไทยจะฟื้นตัวแล้ว แต่ภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมยังไม่ฟื้นตัว ส่วนหนึ่งจากการผลิตเพื่อ
จาหน่ายในประเทศที่ได้รับแรงกดดันจากอุปสงค์ทยอยชะลอลง และการแข่งขันจากสินค้าจีน
• การนาเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนเริ่มเร่งตัวในช่วงหลังสอดคล้องกับหมวดสินค้าทุนและวัตถุดิบจากจีน
สะท้อนการแข่งขันของสินค้าจีนในตลาดผู้บริโภคไทยที่เข้มข้นขึ้น ต่างจากอดีตที่การนาเข้าสินค้าจีนขยายตัวสูง
ในหมวดสินค้าทุนเพื่อปรับปรุง/ขยายโรงงาน หรือหมวดวัตถุดิบ/สินค้าขั้นกลางเพื่อผลิตสินค้าขั้นสุดท้ายต่อไป
%YoY
2021
Weight
Q1-24 Q2-24 Q3-24 Oct-24 YTD
MPI 100 -3.6 -0.2 -1.1 -0.9 -1.6
Machinery & Equipment 2.9 0.6 9.8 16.5 30.7 9.6
Beverages 3.8 6.8 7.6 -0.4 8.4 5.1
Paper & Paper Products 2.1 6.5 7.9 0.0 -2.9 4.0
Food Products 16.8 -0.1 7.4 4.6 2.6 3.6
Chemicals & Chemical Products 8.9 3.5 4.8 1.9 3.9 3.5
Electrical Equipment 3.5 -0.8 9.3 1.1 -3.6 2.4
Coke & Refined Petroleum 10.8 2.1 1.9 2.9 -1.3 1.9
Rubber & Plastic 8.9 -0.5 -0.2 3.1 5.3 1.3
Fabricated Metal 2.3 -0.4 -4.2 5.0 6.7 0.7
Basic Metal 3.5 -5.4 4.1 -3.9 2.2 -1.6
Pharmaceutical Products 1.2 -13.0 -4.0 -4.0 0.8 -6.6
Cement, Glass, & Ceramic 5.4 -7.0 -7.9 -8.8 -3.4 -7.5
Computer & Electronic 8.9 -17.1 -13.4 -3.2 -0.9 -10.6
Motor Vehicles 11.3 -16.3 -13.4 -17.7 -21.6 -16.5
• การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมไทยแต่ละหมวดยังแตกต่างกันมาก โดยหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์
เติบโตได้ดีขึ้นต่อเนื่องตามภาคการส่งออก ขณะที่หมวดยานยนต์หดตัวแรงต่อเนื่องตลอดปี
• การหดตัวรุนแรงของการผลิตยานยนต์ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมหดตัว (มีสัดส่วนมากถึง
11.3% ในโครงสร้างการผลิตของไทย)
16
รัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนใน Q3/2024 และคาดว่าจะมีการเบิกจ่ายต่อเนื่องในงบประมาณปี 2025 ส่งผลให้มูลค่า
การก่อสร้างภาครัฐในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น
มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐ
หน่วย : พันล้านบาท
อัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของหน่วยงานกลางโดยรวม
หน่วย : %
งบประมาณของ 4 หน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้าง
หน่วย : พันล้านบาท
มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัว +3%YOY
• การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2025 ดาเนินการได้ปกติ
• มูลค่าการก่อสร้างโครงการ Mega project
- ส่วนใหญ่มาจากโครงการต่อเนื่องจากในอดีตที่คืบหน้า
- ความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการ Mega project ใหม่
เช่น รถไฟทางคู่ เฟส 2 ช่วงขอนแก่น-หนองคาย,
รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ
(ตะวันตก)
2021 2022 2023 2024E 2025F
802 802 784 794 820
+3%
0%
20
40
60
80
Oct
Nov
Dec
Jan
Feb
Mar
Apr
May
Jun
Jul
Aug
73%
75%
77%
66%
Sep
FY2021
FY2022
FY2023
FY2024
FY2025
หน่วยงาน
ที่ใช้งบลงทุนในระดับสูง
สิ้น ก.ย. สิ้น พ.ย.
2021 2022 2023 2024 2023 2024
กรมทางหลวง 86% 90% 96% 80% 6.3% 3.5%
กรมทางหลวงชนบท 89% 91% 90% 67% 1.3% 3.3%
กรมชลประทาน 82% 83% 89% 74% 2.6% 7.0%
กรมโยธาธิการและผังเมือง 62% 47% 42% 44% 6.4% 4.7%
กรมทางหลวง
126
113 119 122 128
+5%
กรมชลประทาน
74 77 77 81 83
+2%
กรมทางหลวงชนบท
49 46 47 48 51
+6%
กรมโยธาธิการและผังเมือง
29 31 35 38 42
+10%
FY2021 FY2022 FY2023
FY2024 FY2025
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, กรมบัญชีกลาง และสานักงบประมาณ
17
มาตรการเงินโอนช่วยให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดีขึ้นบ้าง แต่มีผลกระตุ้นการบริโภคได้จากัด
เพราะเน้นประคับประคองการบริโภคของกลุ่มครัวเรือนเปราะบางเป็นหลัก
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย และผลสารวจ SCB EIC Consumer survey เดือน พ.ย. – ธ.ค. 2023 จากกลุ่มตัวอย่างที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ จานวน 205 ตัวอย่าง
ดัชนีการบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption Index) ของ ธปท.
หน่วย : ดัชนี (2019Q4 = 100), ปรับฤดูกาล
• การบริโภคภาคเอกชนเดือน ต.ค. ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการเงินโอน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเปราะบางและผู้พิการช่วงปลายเดือน ก.ย. สะท้อนจากการบริโภคสินค้าไม่คงทนและคงทนบางกลุ่ม
ที่ปรับดีขึ้น ขณะที่การบริโภคหมวดบริการปรับดีขึ้นสอดคล้องกับการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขยายตัวต่อเนื่อง
• การบริโภคสินค้าคงทนยังหดตัวสูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานะการเงินของครัวเรือนที่ยังเปราะบาง ความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อของสถาบันการเงิน และผู้บริโภคชะลอซื้อรอดูสถานการณ์ราคา
ในตลาดรถยนต์
60
70
80
90
100
110
120
01/2021
04/2021
07/2021
10/2021
01/2022
04/2022
07/2022
10/2022
01/2023
04/2023
07/2023
10/2023
01/2024
04/2024
07/2024
10/2024
PCI Non-Durables Semi-Durables Durables Services
มาตรการเงินโอนรอบนี้จะช่วยกระตุ้นการบริโภคได้ไม่มากนัก
เนื่องจากผู้รับสิทธิส่วนใหญ่จะนาเงินนี้ไปเก็บออม คืนหนี้ หรือลดรายจ่ายส่วนตัว
86%* ของครัวเรือนที่มีสิทธิได้รับเงินเฟสแรก
จะนาเงินโอนนี้ไปทดแทนรายจ่ายที่ต้องใช้อยู่แล้ว บางส่วนหรือทั้งหมด
ครัวเรือนกลุ่มนี้
40%
นาเงินส่วนเกินไปเก็บออม/ลงทุน
30%
นาเงินส่วนเกินไปใช้คืนหนี้
*สารวจจากกลุ่มครัวเรือนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ จานวน 205 ตัวอย่าง
18
ผู้บริโภคมองเศรษฐกิจไทยปี 2025 แย่ลง ขณะที่กลุ่มรายได้ต่ามองว่า ตนเองจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่
แย่ลงมากกว่ากลุ่มอื่น สะท้อนภาพความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอ่อนแอ
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูล SCB EIC Consumer survey 2024 สารวจ ณ 14 - 22 ต.ค. 2024 (จานวนตัวอย่าง 1,869 คน)
ท่านมองเศรษฐกิจปีหน้าเป็นอย่างไร
12% 46% 30% 11%
แย่ลงมาก แย่ลง เหมือนเดิม ดีขึ้น ดีขึ้นมาก
ปัจจัยบวกในปีหน้า
นักท่องเที่ยวต่างชาติ
49%
29%
ไม่มีปัจจัยบวก
นโยบายของรัฐบาล
26%
ปัจจัยลบในปีหน้า
ภาวะหนี้ครัวเรือน
69%
69%
การเมืองในประเทศ
กาลังซื้อของประชาชน
54%
• ผู้บริโภคเกินครึ่งหนึ่งมองว่าเศรษฐกิจในปี 2025 จะแย่กว่าปีนี้ ส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ประเมินว่า
เศรษฐกิจไทยซบเซาแล้วในปัจจุบัน สะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย
• ผู้บริโภคมองนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นปัจจัยบวกของเศรษฐกิจในปีหน้า ขณะที่เกือบ 3 ใน 10
มองว่าไม่มีปัจจัยบวกเลย
• ผู้บริโภคมองความเปราะบางของครัวเรือน และสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง
ภายในประเทศ เป็นปัจจัยลบสาหรับเศรษฐกิจไทยในปีหน้า
ค่าครองชีพ
สัดส่วนผู้ตอบว่าได้รับผลกระทบ
95%
92%
93%
89%
84%
น้อยกว่า 15,000 บาท
15,001-30,000 บาท
30,001-50,000 บาท
50,001-100,000 บาท
มากกว่า 100,000 บาท
กลุ่มรายได้
รายได้
83%
80%
68%
63%
53%
น้อยกว่า 15,000 บาท
15,001-30,000 บาท
30,001-50,000 บาท
50,001-100,000 บาท
มากกว่า 100,000 บาท
ภาวะเศรษฐกิจส่งผลต่อท่านในด้านใดบ้าง
สัดส่วนผู้ตอบว่าได้รับผลกระทบ
กลุ่มรายได้
• ผลสารวจพบว่า เศรษฐกิจในภาพรวมจะส่งผลต่อกลุ่มรายได้ต่ามากกว่ากลุ่มรายได้สูงชัดเจน โดยกว่า 4 ใน 5
ของกลุ่มรายได้ต่ากว่า 30,000 บาทต่อเดือน มองว่ารายได้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ (ขณะที่ราว
ครึ่งหนึ่งของกลุ่มรายได้สูงกว่า 100,000 บาทต่อเดือน มองว่ารายได้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ)
• ผู้บริโภคทุกกลุ่มมองว่า สถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมจะกระทบตนผ่านค่าครองชีพเป็นหลัก แม้กระทั่งกลุ่มที่มี
รายได้สูงกว่า 100,000 บาทต่อเดือน ยังมีสัดส่วนมากถึง 4 ใน 5 ที่มองว่าตนเองจะได้รับผลกระทบ
1%
19
0%
10%
20%
30%
40%
NPL ที่กลับมาชาระหนี้ได้แต่ไม่สม่าเสมอ
Age <=25 Age 26-35 Age 36-45 Age 46-55 Age 56-65 Age 66+
ในระยะข้างหน้า ข้อมูลเครดิตบูโรชี้ว่า คุณภาพสินเชื่อรายย่อยทั้งระบบมีแนวโน้มแย่ลงต่อเนื่อง สะท้อนว่าปัญหาหนี้
ครัวเรือนจะคลี่คลายได้ช้าเนื่องจาก ลูกหนี้บุคคล NPL มากกว่า 70% ยังไม่สามารถกลับมาชาระหนี้ได้สม่าเสมอ
8.8%
4.9%
0%
3%
6%
9%
12%
Q1-19
Q2-19
Q3-19
Q4-19
Q1-20
Q2-20
Q3-20
Q4-20
Q1-21
Q2-21
Q3-21
Q4-21
Q1-22
Q2-22
Q3-22
Q4-22
Q1-23
Q2-23
Q3-23
Q4-23
Q1-24
Q2-24
Q3-24
Oct-24
ทิศทาง NPL และ SM สูงขึ้นต่อเนื่องจากช่วง COVID-19
หมายเหตุ : 1) ข้อมูลของลูกหนี้ NPL บุคคล ตลอดช่วง 16 ไตรมาส ตั้งแต่ ไตรมาส 1/2020 – ไตรมาส 4/2023
2) ประเภทลูกหนี้ NPL บุคคลแบ่งตามสถานะบัญชีและ DPD (Days passed due) เป็น 4 ประเภท
ได้แก่ (1) ลูกหนี้ที่สามารถกลับมาชาระหนี้และปิดบัญชีได้ (2) ลูกหนี้ที่กลับมาชาระหนี้ได้สม่าเสมอ คือ
บัญชีลูกหนี้ NPL ที่กลับมามีสถานะปกติ และ DPD<30 วัน ตลอดทั้งปี 2024 (3) ลูกหนี้ที่ไม่สามารถกลับมาชาระ
หนี้ได้สม่าเสมอ และ (4) ลูกหนี้ที่ไม่สามารถกลับมาชาระหนี้ได้และถูกดาเนินคดี
NPL
SM
บัญชีที่สามารถ
ปิดบัญชีได้แล้ว,
0.9%
บัญชีที่สามารถ
กลับมาชาระหนี้
สม่าเสมอได้,
0.8%
บัญชีที่สามารถ
กลับมาชาระหนี้
ได้แต่ไม่
สม่าเสมอ, 71.6%
บัญชีที่ไม่สามารถ
กลับมาชาระหนี้ได้
และอยู่ระหว่าง
ดาเนินคดี, 26.8%
Non-Bank
บัญชีที่สามารถปิดบัญชีได้แล้ว, 4.7%
บัญชีที่สามารถ
กลับมาชาระหนี้
สม่าเสมอได้,
5.5%
บัญชีที่สามารถกลับมาชาระหนี้ได้
แต่ไม่สม่าเสมอ, 73.9%
บัญชีที่ไม่สามารถกลับมาชาระหนี้ได้
และอยู่ระหว่างดาเนินคดี, 16.0%
Bank (include SFIs)
ลูกหนี้ NPL
ที่จ่ายหนี้ไม่สม่าเสมอ
ส่วนใหญ่อายุ 26-35 ปี
0%
10%
20%
30%
40%
NPL ที่กลับมาชาระหนี้ได้แต่ไม่สม่าเสมอ
ลูกหนี้ NPL
ที่จ่ายหนี้ไม่สม่าเสมอ
ส่วนใหญ่อายุ 36-45 ปี
สัดส่วนสินเชื่อรายย่อยด้อยคุณภาพ (NPL) และสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM)
หน่วย : % ของการผิดนัดชาระหนี้ต่อลูกหนี้รายย่อยทั้งหมด
สถานะบัญชีของลูกหนี้รายย่อยที่ยังเป็น NPL ตั้งแต่เกิด COVID-19 – ไตรมาส 4/2023 แบ่งตามประเภทเจ้าหนี้
หน่วย : % จานวนบัญชีลูกหนี้ NPL
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลเครดิตบูโร
20
ลูกหนี้บุคคล SM ราว 70-80% มีโอกาสจะกลายเป็น NPL โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการเกษตร สินเชื่อส่วนบุคคล
หนี้บัตรเครดิต และสินเชื่ออื่น
สถานะบัญชีของลูกหนี้รายย่อยที่ยังเป็น SM ตั้งแต่เกิด COVID-19 – ไตรมาส 4/2023 แบ่งตามประเภทเจ้าหนี้
หน่วย : % จานวนบัญชีลูกหนี้ SM ทั้งหมด
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลเครดิตบูโร
ระยะเวลาที่บัญชีของลูกหนี้จะเปลี่ยนสถานะจาก SM กลายไปเป็น NPL โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.6 ไตรมาส หรือโดยประมาณ 5-6 เดือน
สัดส่วนบัญชีลูกหนี้สถานะ SM ที่กลายไปเป็น NPL
สัดส่วนบัญชีลูกหนี้ SM ที่กลายไปเป็น NPL แบ่งตามประเภทสินเชื่อและเจ้าหนี้
หน่วย : % , นับตั้งแต่เกิด COVID-19 – ไตรมาส 4/2023 แบ่งตามประเภทเจ้าหนี้
82.3%
81.8%
80.4%
48.1%
0%
20%
40%
60%
80%
100%
Personal
Loan
Credit
Card
Other
loans
Auto
Loan
Non-Bank
97.7%
81.1%
68.0%
62.6%
48.0%
45.9%
0%
20%
40%
60%
80%
100%
Loan
for
agriculture
Personal
Loan
Credit
Card
Commercial
Loan
Housing
/
Mortgage
Auto
Loan
Bank (include SFIs)
ปิดได้แล้ว,
1.8%
กลับมาจ่าย
สม่าเสมอ, 16.9%
กลับมาจ่ายไม่
สม่าเสมอ, 81.3%
Non-Bank
ปิดได้แล้ว, 1.4%
กลับมาจ่าย
สม่าเสมอ, 25.4%
กลับมาจ่ายไม่
สม่าเสมอ, 73.2%
Bank (include SFIs)
74%
79%
21
มาตรการแก้หนี้ครัวเรือน “คุณสู้ เราช่วย” เน้นช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเปราะบางน้อยลงมา แต่มีโอกาสคืนหนี้ได้
ผลสาเร็จของมาตรการขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของรายได้ลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือเป็นหลัก
บัตรกดเงินสด
สินเชื่อส่วนบุคคลหมุนเวียน
สินเชื่อส่วนบุคคล
ผ่อนชาระเป็นงวด บัตรเครดิต สินเชื่อรถ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพ
การปรับโครงสร้างหนี้ก่อนและหลังเป็นหนี้เสีย
คลินิกแก้หนี้
ปิดจบหนี้เรื้อรัง
*เข้าร่วมมาตรการ จ่ายตรง คงทรัพย์ ได้ผ่านมาตรการรวมหนี้* มาตรการ "จ่ายตรง คงทรัพย์”
มาตรการ “จ่าย ปิด จบ”
งดเก็บ ค่าธรรมเนียมปรับโครงสร้างหนี้ / ค่าปรับชาระหนี้ก่อนกาหนด / ดอกเบี้ยบนดอกเบี้ย
ประเภทหนี้หลักของกลุ่มครัวเรือนเปราะบางมาก ประเภทหนี้หลักของครัวเรือนเปราะบางน้อยลงมา
มาตรการหลักในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในปัจจุบัน
มาตรการภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” (11 ธ.ค. 2024)
มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์”
• สาหรับหนี้บ้าน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ สินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพ และสินเชื่อ SMEs ที่มีสถานะ (1) ค้างชาระเกิน
30 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน หรือ (2) เคยปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2023 และในปัจจุบันค้างชาระไม่เกิน 30 วัน
• ลดภาระชาระหนี้ต่องวด 3 ปี ค่างวดทั้งหมดจะนาไปตัดเงินต้น และพักดอกเบี้ย 3 ปี
• หากชาระได้ตามเงื่อนไขตลอด 3 ปี ลูกหนี้จะได้รับการยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมดที่พักไว้ในช่วง 3 ปี
• ระหว่างเข้าโครงการจะไม่สามารถกู้เพิ่มได้ใน 12 เดือนแรก
มาตรการ “จ่าย ปิด จบ”
• สาหรับลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้เสียทุกประเภท ยอดคงค้างไม่เกิน 5,000 บาท
• สถาบันการเงินช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน โดยลูกหนี้ชาระหนี้บางส่วน
เพื่อให้สามารถจ่ายและปิดจบหนี้เร็วขึ้น เพื่อล้างประวัติหนี้เสีย
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย
22
SCB EIC ประเมินเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับสู่กรอบเป้าหมายในเดือน ธ.ค. และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเข้าใกล้ขอบล่าง
ของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อในปี 2025 ที่ 1%
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป รายหมวดสินค้า
หน่วย : %YOY
อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อผู้ผลิตอยู่ในระดับต่า
หน่วย : %YOY
%YOY Jul-24 Aug-24 Sep-24 Oct-24 Nov-24 YTD
ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป 0.8% 0.4% 0.6% 0.8% 0.9% 0.3%
อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1.3% 1.8% 2.3% 1.9% 1.3% 0.7%
อาหารสด 1.1% 1.9% 2.3% 1.6% 0.2% 0.1%
เนื้อสัตว์ -5.2% -2.9% -2.1% 0.1% 0.3% -7.5%
อาหารบริโภค-ในบ้าน 1.5% 1.9% 2.1% 1.8% 1.8% 1.3%
อาหารบริโภค-นอกบ้าน 1.6% 1.7% 2.8% 3.0% 2.8% 1.4%
เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า -0.5% -0.6% -0.7% -0.5% -0.5% -0.4%
เคหสถาน -0.8% -0.9% 0.4% 0.4% 0.4% -0.2%
ไฟฟ้า เชื้อเพลิง น้าประปาและแสงสว่าง -3.3% -3.3% 1.4% 1.5% 1.5% -1.1%
การตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล -0.4% 0.0% -0.1% -0.6% -0.3% 0.2%
พาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร 2.0% -1.0% -1.8% -0.3% 1.4% 0.2%
การบันเทิงการอ่าน การศึกษา 0.6% 0.6% 0.6% 0.6% 0.5% 0.6%
ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ 1.5% 1.6% 1.3% 0.9% 0.8% 1.3%
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน 0.5% 0.6% 0.8% 0.8% 0.8% 0.5%
-10
-5
0
5
10
15
01/2022
03/2022
05/2022
07/2022
09/2022
11/2022
01/2023
03/2023
05/2023
07/2023
09/2023
11/2023
01/2024
03/2024
05/2024
07/2024
09/2024
11/2024
PPI CPI
เงินเฟ้อไทยต่า
ส่วนหนึ่งสะท้อนกาลังซื้อฟื้นช้า
ประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไป รายไตรมาส โดย SCB EIC
หน่วย : %YOY
0%
1%
2%
Q3-24
Q4-24F
Q1-25F
Q2-25F
Q3-25F
Q4-25F
ราคาพลังงาน เช่น น้ามันและไฟฟ้า
มีแนวโน้มสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน
ราคาเนื้อสัตว์ และอาหารสด
เช่น ผัก ผลไม้ มีแนวโน้มเร่งตัว
ผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้า
โลกส่งผ่านมาที่เงินเฟ้อมากขึ้น
23
ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยเริ่มเชื่อมโยงไปยังภาคการเงิน ฐานะการเงินครัวเรือนอ่อนแอลงกระทบ
คุณภาพสินเชื่อ ทาให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยกู้
เศรษฐกิจไทยเติบโตช้า เปราะบาง และไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้ฐานะการเงินของครัวเรือนอ่อนแอลงและความสามารถในการชาระหนี้ด้อยลง ธนาคารจึงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ครัวเรือน
เข้าถึงสินเชื่อยากขึ้นนาไปสู่ปัญหาสภาพคล่องรุนแรงขึ้น ภาวะการเงินที่ตึงตัวเช่นนี้ยิ่งซ้าเติมฐานะการเงินครัวเรือน และส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอลงในเชิงวัฏจักรตามมา
สัดส่วน NPL ของสินเชื่อภาคครัวเรือนของธนาคารพาณิชย์
หน่วย : % ยอดคงค้างสินเชื่อ
มาตรฐานการให้สินเชื่อครัวเรือนของสถาบันการเงิน
หน่วย : Z-score, 4QMA ถัวเฉลี่ยตามยอดคงค้างแต่ละประเภทสินเชื่อ,
Senior Loan Officer Survey
การขยายตัวของหนี้ครัวเรือน และ Trend**
หน่วย : %YOY, **HP-filter
3.3
3.8
2.3
4.6
2.7
0
1
2
3
4
5
2022Q1
2022Q2
2022Q3
2022Q4
2023Q1
2023Q2
2023Q3
2023Q4
2024Q1
2024Q2
2024Q3
Overall Consumer Loans Housing
Automobile Credit Card
Other Personal Loan
-1
-0.8
-0.6
-0.4
-0.2
0
0.2
0.4
0.6
เข้มงวด
ผ่อนคลาย
Median
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย และ Bank of International Settlements (BIS)
-4
0
4
8
12
16
2013Q1
2014Q1
2015Q1
2016Q1
2017Q1
2018Q1
2019Q1
2020Q1
2021Q1
2022Q1
2023Q1
2024Q1
Trend
Consumer credit growth
24
SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงอีก 1 ครั้งในเดือน ก.พ. 2025 เหลือ 2% และคงไว้ระดับนี้
ในระยะปานกลาง
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากขอมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย
• ส่วนหนึ่งเพราะ กนง. ให้ความสาคัญกับการ Deleverage ในระบบเศรษฐกิจ จึงไม่ควรให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ใน
ระดับต่ามากเกินไป
• นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศเศรษฐกิจหลักมีแนวโน้มสูงกว่าค่าเฉลี่ยอดีต ตามอัตราเงินเฟ้อ
ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะต่อไป
• ความจาเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากภาวะการเงินตึงตัวกระทบต่อกิจกรรม
ทางเศรษฐกิจ ขณะที่ความเสี่ยงเศรษฐกิจด้านต่าสูงขึ้นจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์
• ทิศทางนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักที่จะปรับลดลง เอื้อต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นโยบายของไทยมากขึ้น
SCB EIC ประเมิน กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 2% ใน Q1/25 และคงตลอดปี อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะไม่กลับไปต่าเช่นในอดีต
คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยและสหรัฐฯ (โดย SCB EIC)
หน่วย : %
0
1
2
3
4
5
6
Mar-20
Jun-20
Sep-20
Dec-20
Mar-21
Jun-21
Sep-21
Dec-21
Mar-22
Jun-22
Sep-22
Dec-22
Mar-23
Jun-23
Sep-23
Dec-23
Apr-24
Jul-24
Oct-24
Jan-25
Apr-25
Jul-25
Oct-25
1H26
2H26
1H27
2H27
1H28
2H28
1H29
2H29
Fed Funds Rate
TH Policy Rate
ค่าเฉลี่ยไทย 2015-2019 = 1.5%
ค่าเฉลี่ย US 2015-2019 = 1.1%
2.25
3.13 from 1H26
4.88
3.38 end of 25
2.0 from 1Q25
4.38 end of 24
Forecast >>
25
เงินบาทอาจยังอ่อนค่าต่อในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 แต่กลับมาแข็งค่าในช่วงครึ่งปีหลังจากหลายปัจจัย เช่น
การลดดอกเบี้ยของ Fed เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับ ราคาน้ามันโลกมีแนวโน้มลดลง และราคาทองคาอาจสูงขึ้น
GS FX Positioning Scores
หน่วย : ดัชนี (std dev)
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB FM จากข้อมูลของ Bloomberg และ Goldman Sachs
US Dollar Sensitivity
5-year weighted dollar beta of individual markets in MSCI EFM index 25
➢ การลดดอกเบี้ยของ Fed ทาให้ Treasury yields และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐปรับลดลงได้
➢ รัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มขาดดุลมากขึ้น จากการลดภาษี และการใช้จ่ายที่มากขึ้น
ซึ่งจะทาให้เงินดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนค่าได้
➢ การไหลกลับของเงินทุนเคลื่อนย้ายสู่ EM รวมถึงตลาดเอเชียและไทย
➢ ราคาน้ามันโลกมีแนวโน้มลดลงในปี 2025 ทาให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยอาจสูงขึ้น
➢ ราคาทองคาอาจปรับสูงขึ้นจาก Global yields ที่อาจลดลง สนับสนุนเงินบาทแข็ง
➢ US Exceptionalism: เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ
โดยเฉพาะยุโรป ทาให้เงินดอลลาร์จะยังแข็งค่า และเงินยูโรอาจยังอ่อนค่าต่อได้
➢ Trade protectionism: การขึ้นภาษีนาเข้าของสหรัฐฯ จะกดดันเงินภูมิภาคต่อเนื่อง
โดยเฉพาะเงินหยวน ที่ Trump อาจใช้ Executive orders เพื่อขึ้น Tariffs ได้เร็ว
➢ Economic fundamental: เศรษฐกิจไทยและคู่ค้าสาคัญ เช่น จีน ยังอาจอ่อนแอ
เงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าใน 2025-H2 มองกรอบปลายปี 33.50-34.50
SCB FM มองเงินบาทอาจยังอ่อนค่าต่อใน 2025-H1 โดยอาจแตะ 35.50
26
การกลับมาของ Trump คาดว่าจะส่งผลลบต่อภาคธุรกิจไทย จากการค้าโลกชะลอตัว สินค้าจีนทะลักเข้ามามากขึ้น
และผลกระทบนโยบายพลังงานสหรัฐฯ ที่ไม่ต้องการสนับสนุน Energy transition อย่างไรก็ดี ต้องจับตา
ผลบวกจากการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย
หมายเหตุ : บางอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบในหลายด้าน ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ส่งผลให้ผลกระทบเชิงบวกที่ได้รับลดทอนลงไป และส่งผลให้ภาพรวมผลกระทบอาจเป็นในลักษณะ Neutral impacts
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC
• Logistics
• Power Conventional
• Home appliances
• Food & beverages
• Hotel & tourism
• Logistics
• E&E
• Auto parts
• Warehouse
Overall impacts from Trump's win
Negative
Positive
Low
High
Negative
China
supply chain
China’s
economic
slowdown/
Chinese product
influx
Relocation of
investment
• Steel producer
• Petrochemical
& plastic products
• Automotive
Energy policy
& collapse of
commodity
prices
• IC
• Semiconductor
• Rubber wood
• PCB
• Computer parts
• HDD
• Oil and gas/ Refining
• Petrochemical
• Power RE
• Rubber
US demand/
investment
slowdown
• Industrial estate
• Real estate (Residential & Office)
• Construction
Moderate
• Auto parts
• Solar PV
• Seafood
Positive
Impacts
by channel
➢ Demand ในสินค้าขั้นกลางที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อผลิตเป็นสินค้าขั้นปลายอาจชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่ม
สินค้าขั้นปลายที่มีการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ
• E&E
• Rubber glove
• Animal feed
➢ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลต่อความต้องการนาเข้าสินค้าจากไทย รวมถึง
ภาคบริการอื่น ๆ
➢ ปัญหา Over capacity จะรุนแรงขึ้น ส่งผลให้จีนระบายสินค้ามาไทยมากขึ้น
✓ บางอุตสาหกรรมจะได้ประโยชน์จากวัตถุดิบราคาถูกที่นาเข้ามาจากจีน ส่งผลดีต่อต้นทุน
➢ นโยบาย American first มีแนวโน้มทาให้ US พึ่งพาการนาเข้าจากต่างประเทศน้อยลง โดยเฉพาะจาก
มาตรการ Universal tariff
➢ การปรับขึ้นภาษีนาเข้าของสหรัฐฯ กับประเทศอื่น ๆ ส่งผลต่อ Demand ในสินค้าไทย
✓ การปรับขึ้นภาษีนาเข้าของสหรัฐฯ กับจีนในอัตราสูงกว่าประเทศอื่น ๆ อาจส่งผลให้สหรัฐฯ
หันมานาเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้น
Impacted industries
➢ ความเสี่ยงในตะวันออกกลางอาจเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ามันผันผวนมากขึ้น
❑ Oil supply เพิ่มขึ้นจากการให้ใบอนุญาตขุดเจาะน้ามันเพิ่มขึ้น เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน
❑ Energy transition มีโอกาสเกิดช้าลง เนื่องจากอาจเกิดการ Rollback นโยบายสนับสนุนพลังงานสะอาด
รวมถึงโอกาสในการถอนตัวออกจาก Paris agreement
➢ นโยบาย America first จะส่งผลให้มีการดึงฐานการผลิตในอุตสาหกรรมสาคัญกลับไปในสหรัฐฯ ซึ่งจะ
ส่งผลต่อการเข้ามาลงทุนในไทย
✓ ไทยอาจได้ประโยชน์จากการกระจายฐานการผลิตออกจากจีนเพิ่มขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกาแพงภาษี
• Wholesale &
retail trade
• Residential RE
& Construction
27
• การบริโภคในประเทศเปราะบาง
• Demand โลกผันผวน
• ปัญหา Geopolitics
• การกลับมาของทรัมป์ที่ส่งผล
กระทบหลายด้าน ทั้งการค้าการ
ลงทุน และด้านพลังงาน
• โครงสร้างการผลิตปรับตัวช้า
• การแข่งขันรุนแรง ทั้งภายใน
และภายนอกประเทศ
• แรงกดดันจาก Mega trend
อาทิ Digital disruption, Climate
change & transition risk
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC
แนวโน้มธุรกิจไทยยังมีความเสี่ยงอยู่มาก ทั้งความผันผวนของเศรษฐกิจโลก นโยบาย Trump 2.0 ปัญหาเชิงโครงสร้าง
ของไทย การแข่งขันรุนแรง และแรงกดดันจาก Mega trends แต่ขนาดของผลกระทบขึ้นอยู่กับความสามารถในการ
ปรับตัวของแต่ละธุรกิจ
ความเสี่ยงที่ต้องติดตาม
Low
Moderate
High
Negative Positive
Average 2019-2024 Average 2025-2028F
Risk level/Level of impacts
มีความสามารถในการปรับตัวได้ดีมาก
ยังมีอุปสรรค/ความท้าทายในการปรับตัวอีกมาก
Adaptability
Industry growth 2025 & medium term Risk level Trump 2.0 impacts* Adaptability
ธุรกิจที่มีแนวโน้มฟื้นช้า/ชะลอตัว
แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในปี 2025 และ Medium-term
0 50 100 150
Auto OEM
Car dealer
Steel producer
Commercial RE
Construction
Residential RE
Petrochemical
Computer &
parts
Trucking &
Logistics
ธุรกิจที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง
Industry growth 2025 & medium term Risk level Trump 2.0 impacts* Adaptability
Index 2019=100 0 50 100 150 200
Fruits
Warehouses
Hospital
Packaged foods
Power
Industrial estate
Beverages
Agri products
Seafood
W&R
Hotel
Electronic
Components
Power
Electronics
Index 2019=100
*ผลกระทบโดยรวมจากนโยบายของ Trump 2 ประเมินภาพรวมทั้งผลกระทบเชิงลบและเชิงบวก
28
ก้าวต่อไปของเศรษฐกิจไทยบน ‘โลกสองใบ’
เศรษฐกิจไทยโตช้ำ เปรำะบำง และไม่แน่นอนมำกขึ้น จำกทั้งควำมท้ำทำยภำยนอกและควำมอ่อนแอภำยใน ผลกระทบที่ส่งต่อกัน
ระหว่ำงกำรชะลอตัวระยะสั้นและปัญหำเชิงโครงสร้ำงระยะยำว นำไปสู่กิจกรรมทำงเศรษฐกิจไทย ‘สองใบ’ ที่แตกต่ำงกัน
29
ก้าวต่อไปของเศรษฐกิจไทยบน ‘โลกสองใบ’
ความท้าทายภายนอกและความอ่อนแอภายในของประเทศไทยที่เห็นนี้ กาลังสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตต่าลงในระยะสั้นและมีปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว ขณะที่แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในช่วงที่
ผ่านมาไม่ค่อยเปิดโอกาสให้คนสามารถเคลื่อนตัวขึ้นลงในโครงสร้างทางสังคมได้อย่างเสรี ข้อจากัดเหล่านี้นาพาให้เศรษฐกิจไทยอยู่บนโลก ‘สองใบ’ ที่แตกต่างกันใน 3 มิติ คือ
1. มิติ: อ่อน-แข็ง โลกสองใบของครัวเรือนฐานะการเงินอ่อนแอกับครัวเรือนฐานะการเงินเข้มแข็ง สะท้อนครัวเรือนไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้าเชิงความมั่งคั่งรุนแรงมาก โดยครัวเรือนที่มีฐานะการเงินอ่อนแอมี
รายได้ไม่พอรายจ่าย และมีรายได้เข้ามาไม่สม่าเสมอ เมื่อครัวเรือนที่มีฐานะการเงินอ่อนแอเผชิญสถานการณ์ที่ทาให้ขาดรายได้ โลกของครัวเรือนกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบมากกว่าและฟื้นตัวช้ากว่าครัวเรือนที่มีฐานะ
การเงินเข้มแข็ง
2. มิติ: เก่า-ใหม่ โลกสองใบของภาคการผลิตโลกเก่ากับโลกใหม่ ภาคการผลิตโลกเก่าไม่ได้เติบโตไปกับกระแสการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี หรือจะเผชิญความเสี่ยงในรูปแบบ
ต่างๆ ขณะที่ภาคการผลิตโลกใหม่มีโอกาสเติบโตตามการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์และได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงน้อยกว่า
3. มิติ: ใหญ่-เล็ก โลกสองใบของธุรกิจใหญ่กับธุรกิจเล็ก กาไรของธุรกิจขนาดเล็กมีความผันผวนมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ผ่านมารายได้ธุรกิจขนาดใหญ่ในช่วงโควิด-19 ไม่ได้ลดลงเลย และสามารถเติบโตได้
เกือบ 10% หลังจากวิกฤตสิ้นสุดลง ในทางตรงข้ามรายได้ของธุรกิจขนาดเล็กหดตัวราว 2-3% ในช่วงโควิด-19 และยังไม่ฟื้นตัว
แนวทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าจึงควรมุ่งลดระยะห่างระหว่างโลกสองใบ ผ่านเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ 3 ประการ ดังต่อไปนี้
1. คนไทยควรมีภูมิคุ้มกันต่อสถานการณ์เลวร้าย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่มั่นคงให้คนในโลกที่รายได้น้อยกว่าออกไปคว้าโอกาสในการเติบโต ผ่านการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนรายได้น้อย โดยผู้ดาเนินนโยบายมีบทบาท
เป็นกลไกเสริมผ่านการช่วยเหลือทางสังคมและประกันทางสังคม ควบคู่ไปกับการออกแบบกติกาในภาคการเงินเพื่อเอื้อให้เกิดการพัฒนาตลาดประกันภัยสาหรับผู้มีรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็ก
2. คนไทยควรเติบโตจากการพัฒนาและปรับตัวทันกับภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยีที่กาลังเปลี่ยนไป โดยในการสนับสนุนให้เกิดการปรับตัวและพัฒนาให้ทันภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ ผู้ดาเนินนโยบาย
จะเป็นกลไกเสริมผ่านการหาโอกาสทางธุรกิจผ่านการเจรจาทางการค้าและการลงทุนกลับมาให้ธุรกิจภายในประเทศ
3. คนไทยควรมีโอกาสสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และเติบโตไปพร้อมกัน ผู้ดาเนินนโยบายจะมีบทบาทในฐานะผู้ออกแบบกติกาของการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจ และการแข่งขัน เพื่อสร้างโอกาสให้คนจาก
โลกที่รายได้ต่ากว่าเข้าถึงทรัพยากร สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างทั่วถึง
30
(1) ‘อ่อน-แข็ง’ ครัวเรือนไทยยังมีความไม่พร้อมในหลายมิติโดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย ทั้งรายได้ฟื้นตัวไม่ทัน
รายจ่าย กันชนทางการเงินต่า รวมถึงขาดการป้องกันความเสี่ยงด้านรายจ่ายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด
หมายเหตุ : นับเฉพาะผู้บริโภคที่มีหนี้สิน
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลสานักงานสถิติ, SCB EIC Consumer survey 2023 สารวจ ณ 20 ต.ค.-3 พ.ย 2023 (จานวนตัวอย่าง 2,090 คน) และจากข้อมูล SCB EIC Consumer survey 2024 สารวจ ณ 14 - 22 ต.ค. 2024 (จานวนตัวอย่าง 1,869 คน)
กลุ่มผู้บริโภครายได้น้อยส่วนมากมีปัญหารายได้
ไม่พอรายจ่าย โดยเฉพาะผู้มีรายได้ต่อเดือนไม่
เกิน 15,000 บาท สัดส่วนมากกว่า 80% ที่มี
ปัญหารายได้ไม่พอจ่าย
ส่วนมากมีปัญหา
ส่วนน้อยมีปัญหา
80% น้อยกว่า
30,000 บาท
30,000 –
50,000 บาท
65%
มากกว่า
50,000 บาท
37%
รายได้ต่อเดือน
83%
40%
23%
รายได้ไม่พอ เงินออมไม่พอ ป้องกันความเสี่ยงไม่พอ
1 ใน 3
1 ใน 5
< 1 ใน 10
ทาให้ครัวเรือนกลุ่มนี้เกือบทั้งหมดไม่มีเงิน
สารองใช้ยามฉุกเฉินหากขาดรายได้ ส่วนใหญ่
เป็นวัยทางาน อายุ 31-40 ปี เป็นลูกจ้าง
บริษัทเอกชน/ประกอบอาชีพอิสระ
นอกจากนั้นกลุ่มนี้มากกว่า 1 ใน 3 ไม่มีประกัน
ชนิดใดเลย จึงเป็นความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายที่
อาจเกิดขึ้น หากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิด สะท้อน
ความเปราะบางสูงของผู้บริโภคกลุ่มนี้
68.4%
19.0%
สัดส่วน
จานวนครัวเรือน
12.6%
31
ทาให้ 1 ใน 3 ของครัวเรือนที่มีหนี้จะยังไม่หลุดพ้นจากปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย ขณะที่ยังมีลูกหนี้กลุ่ม Potential
ราว 20% ที่ประสบปัญหาการชาระหนี้ชั่วคราวจะกลับมาได้หากเข้าถึงสภาพคล่อง
หมายเหตุ : (1) ระยะเวลาฟื้นตัว ประเมินจากระยะเวลาที่ประมาณรายได้ครัวเรือนจะเริ่มสูงกว่ารายจ่าย (รวมรายจ่ายชาระหนี้) (2) กลุ่มที่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ หรือสถาบันการเงิน ส่วนใหญ่จะได้รับความช่วยเหลือผ่านมาตรการพักชาระหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้
และสินเชื่อดอกเบี้ยต่าพิเศษ
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสถิติแห่งชาติ และจากข้อมูล SCB EIC Consumer survey 2024 สารวจ ณ 14 - 22 ต.ค. 2024 (จานวนตัวอย่าง 1,869 คน)
ประเมินระยะเวลาฟื้นตัวของครัวเรือนไทยที่มีหนี้ภายใน 5 ปี โดย SCB EIC
Economic activity Working status
HH income per month (Baht)
< 10K 10 – 20K 20 – 30K 30 – 40K 40 – 50K 50 – 60K 60 – 100K > 100K
Agriculture
Employers
Self-employed
Employees N/A
Service
Employers
Self-employed
Employees
Industrial
Employers
Self-employed
Employees
32.46
16.77
26.59
19.56
13.62
ไม่ฟื้นใน 5 ปี ฟื้นใน 3-5 ปี ฟื้นใน 1-3 ปี
ฟื้นใน 1 ปี ฟื้นแล้ว
ประสบปัญหาในการชาระหนี้
มีความสามารถในการชาระหนี้ (35.7%)
ไม่ได้รับความช่วยเหลือ (37.2% ของผู้บริโภคในกลุ่มมีหนี้) ได้รับความช่วยเหลือแต่ไม่ฟื้นตัว (6.8%) ได้รับความช่วยเหลือและมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ (20.3%)
Persona ตามรายได้ต่อเดือน ⚫ 15,000-30,000 ⚫ <30,000 ⚫ 30,000-50,000 ⚫ >50,000
ประเภทสินเชื่อ สินเชื่อบัตรเครดิต ที่อยู่อาศัย และบัตรกดเงินสด สินเชื่อบัตรเครดิต ที่อยู่อาศัย และบัตรกดเงินสด สินเชื่อบัตรเครดิต ที่อยู่อาศัย และบัตรกดเงินสด สินเชื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต และรถยนต์
พฤติกรรมการชาระหนี้ ⚫ 53% ชาระหนี้ขั้นต่า / ผิดนัดชาระหนี้บางครั้ง ⚫ 39% ชาระหนี้ขั้นต่า / ผิดนัดชาระหนี้บางครั้ง ⚫ 84% ชาระหนี้สม่าเสมอ ⚫ 97% ชาระหนี้สม่าเสมอ
ความต้องการแก้หนี้ สินเชื่อดอกเบี้ยต่า การปรับโครงสร้าง และรวมหนี้ การปรับโครงสร้าง สินเชื่อดอกเบี้ยต่า การปรับโครงสร้าง และรวมหนี้ -
ธนาคารจะเสี่ยงมากถ้าช่วยแก้หนี้ ธนาคารจะเสี่ยงถ้าช่วยแก้หนี้ แก้หนี้ได้ N.A.
ลักษณะลูกหนี้และรูปแบบความช่วยเหลือที่ต้องการ แบ่งตามความสามารถกลับมาจ่ายหนี้หลังได้รับความช่วยเหลือ
32
(2) ‘เก่า-ใหม่’ แม้ธุรกิจดั้งเดิมหลายกลุ่มยังมีความเสี่ยงอยู่มาก แต่บางส่วนยังไปต่อได้ จากความสามารถในการปรับตัว
เพิ่มประสิทธิภาพและนาเทคโนโลยีมาใช้ ขณะเดียวกัน ยังมีธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีแนวโน้มเติบโตตอบโจทย์เทรนด์โลกได้
เสี่ยงสูง-อยู่ยาก ปรับตัว-ไปต่อ เกาะเทรนด์-เติบโต
• ธุรกิจที่ยังดาเนินธุรกิจในลักษณะเดิม สินค้า/
บริการไม่ตอบโจทย์ความต้องการตลาด
• ธุรกิจไม่มีการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต
• ธุรกิจที่ขาดการพัฒนาเทคโนโลยี
• ธุรกิจที่ขาดการพัฒนา Brand โดยเฉพาะ SME
• ธุรกิจที่ยังพึ่งพาตลาดเดิม ๆ
• ธุรกิจที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG)
ได้ยาก
• ธุรกิจที่มีการพัฒนารูปแบบสินค้า/บริการ
ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
และสอดรับกับเทรนด์โลก
• ธุรกิจที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง
• ธุรกิจที่มีการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพ
• ธุรกิจที่มีการกระจายตลาดหลากหลาย
และหาตลาดใหม่
• ธุรกิจที่ดาเนินธุรกิจแบบครบวงจร
• ธุรกิจที่มีการลด GHG ในกระบวนการดาเนินธุรกิจ
• ออกจากธุรกิจ หรือ Segment ที่ไม่มีศักยภาพ
• เน้นปรับปรุงโครงสร้างการผลิต
ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต
• มองหาตลาดใหม่ ๆ กระจายความเสี่ยง
• มองหา Partnership เสริมความแข็งแกร่ง
• เพิ่มการลงทุนวิจัยและพัฒนา
• เน้นการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้มีความยืดหยุ่น
รับมือความเสี่ยงได้ดีขึ้น
• พัฒนาต่อยอดสินค้าและบริการให้เท่าทันกระแสการ
เปลี่ยนแปลงของโลกอย่างสม่าเสมอ
• ธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีการพัฒนาสินค้า/บริการ สอดรับ
กระแส Mega trends ของโลก โดยเฉพาะ
ความยั่งยืน
• ธุรกิจที่มีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ
• ธุรกิจที่มีการพัฒนา Business model ใหม่ ๆ
ที่แตกต่างและตอบโจทย์โลกยุคใหม่
• ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ตอบโจทย์เทรนด์โลก
• ใช้ Digital transformation สร้างการเปลี่ยนแปลง
และขยายโอกาสทางธุรกิจ
• สร้างองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
• เน้นพัฒนาสินค้า/บริการเจาะ Niche market
กลยุทธ์
การรับมือ
ธุรกิจดั้งเดิม ธุรกิจใหม่
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC
33
88
56 62
(3) ‘ใหญ่-เล็ก’ ธุรกิจขนาดเล็กฟื้นตัวช้า และปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่
มีศักยภาพการปรับตัวมากกว่า
MICRO SMALL MEDIUM
สัดส่วนที่เผชิญ
ปัญหากู้ยาก/กู้ไม่ได้
% ผู้ตอบแบบสอบถาม ในแต่ละขนาดวิสาหกิจ
ธุรกิจขนาดเล็กมีปัญหาสภาพคล่องและการเข้าถึงสินเชื่อ เป็นข้อจากัดการลงทุนเพิ่มความสามารถการแข่งขัน
3.5%
1.6%
0.8%
1.0%
1.2%
1.4%
1.6%
1.8%
3.0%
3.5%
4.0%
4.5%
5.0%
2013 2014 2015 2016 2017 2018 2019 2020 2021 2022
อัตราการเลื่อนชั้นขึ้นเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในปีถัดไป อัตราการเลิกกิจการในปีถัดไป (RHS)
อัตราการเลื่อนชั้นขึ้นเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ และอัตราการเลิกกิจการของธุรกิจขนาดเล็ก
หน่วย : % ต่อธุรกิจขนาดเล็ก
รายได้ของธุรกิจขนาดเล็กยังฟื้นตัวจาก COVID-19 ได้ช้า
การฟื้นตัวของดัชนีรายได้ภาคธุรกิจ แยกตามขนาด*
หน่วย : ดัชนี
90
95
100
105
110
115
Pre-COVID COVID Post-COVID Pre-COVID COVID Post-COVID Pre-COVID COVID Post-COVID
Small Business Medium Business Large Business
Avg 2017-2019 = 100
ธุรกิจขนาดเล็กในปี t ที่เลื่อนชั้นขึ้นเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในปี t+1 หมายถึง ธุรกิจขนาดเล็กที่ปี t มีรายได้และอัตราการเติบโตของรายได้สูง
กว่า P75 ในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ต่อมาในปี t+1 ธุรกิจมีรายได้มากกว่า 500 ล้านบาท และมี ROA สูงกว่า P25 ของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่
ธุรกิจขนาดเล็กมีอุปสรรคในการขยายกิจการ และมีโอกาสเลิกกิจการสูง
หมายเหตุ : *ธุรกิจขนาดใหญ่ กลางและขนาดย่อมและขนาดย่อย คือ ธุรกิจที่มีรายได้มากกว่า 500 ไม่เกิน 300 และไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อปีสาหรับภาคการผลิต ตามลาดับ และมากกว่า 300 ไม่เกิน 300 และไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปีสาหรับภาคการค้าและบริการ ตามลาดับ
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และการสารวจความคิดเห็นผู้ประกอบการ SME จานวน 102 ราย ระหว่างเดือน มี.ค. – พ.ค. 2024
Outlook ไตรมาส 4/2024 2025 กับสภาพเศรษฐกิจที่ข้างนอกท้าทาย ข้างในที่ยากขึ้น
Outlook ไตรมาส 4/2024 2025 กับสภาพเศรษฐกิจที่ข้างนอกท้าทาย ข้างในที่ยากขึ้น

Outlook ไตรมาส 4/2024 2025 กับสภาพเศรษฐกิจที่ข้างนอกท้าทาย ข้างในที่ยากขึ้น

  • 1.
    ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) 20ธันวาคม 2024 Outlook มุมมองเศรษฐกิจปี 2024 - 2025 ณ ไตรมาส 4 ปี 2024 Q4/2024
  • 2.
    2 Executive summary เศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวดี แต่ปีหน้าจะเจอแรงกดดันจากTrump 2.0 โดยเฉพาะครึ่งปีหลัง SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 อาจขยายตัวได้ถึง 4% ตามแรงส่งการส่งออกและการใช้จ่าย ภาครัฐที่โตต่อเนื่องจากไตรมาส 3 รวมถึงการท่องเที่ยวจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัวได้ 2.7% สาหรับปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะเริ่มได้รับผลกระทบมาตรการกีดกันการค้าของ Trump 2.0 ตั้งแต่ครึ่งปีหลัง กดดันการส่งออกสินค้าและการลงทุน นอกจากนี้ ปัญหา China’s overcapacity จะกดดันความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทยทั้งตลาดในและนอกประเทศ ส่งผลให้การส่งออกไทยเริ่มชะลอตัว ซ้าเติมภาคการผลิต อุตสาหกรรมที่ยังไม่ฟื้นตัว ท่ามกลางแรงกระตุ้นการคลังที่จะออกมาเพิ่มเติมในปีหน้า การลงทุนภาคเอกชนจะกลับมาฟื้นตัวได้ในปีหน้า แต่ฟื้นไม่แรงมากนักจากความเปราะบางของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดและอุปสงค์ในประเทศซบเซา สอดคล้องกับผลสารวจ SCB EIC Consumer survey 2024 ผู้บริโภคกว่า 60% มองเศรษฐกิจไทยปีหน้าแย่ลง โดยเฉพาะกลุ่มคนรายได้ต่า สะท้อนความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอ่อนแอ และมีแนวโน้มปรับลดการใช้จ่ายลงเพราะไม่แน่ใจในภาวะเศรษฐกิจและรายได้ ในอนาคต SCB EIC ประเมินว่า คุณภาพสินเชื่อรายย่อยทั้งระบบมีแนวโน้มจะปรับแย่ลง ท่ามกลางมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อรายย่อยของสถาบันการเงินที่จะยังเข้มงวดต่อเนื่อง จากข้อมูล NCB สะท้อนว่าคุณภาพสินเชื่อรายย่อยทั้ง ระบบมีแนวโน้มแย่ลงต่อเนื่อง ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงน่าจะคลี่คลายได้ช้า ส่งผลกดดันการบริโภคในระยะข้างหน้า สาหรับมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนล่าสุด เน้นช่วยลูกหนี้รายย่อยกลุ่มเปราะบางได้มากขึ้นและยังมีโอกาสคืนหนี้ได้ สาหรับผลสาเร็จของมาตรการฯ ขึ้นกับการฟื้นตัวของรายได้ลูกหนี้เป็นหลัก SCB EIC ประเมิน กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง 0.25% ในเดือน ก.พ. 2568 ไปอยู่ที่ 2% และคงไปตลอดช่วงที่เหลือของปี แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันอาจยังไม่ได้มีปัจจัยกดดันชัดเจนที่ทาให้ กนง. ต้องเร่งปรับลด ดอกเบี้ย แต่ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยจะเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาก ทั้งจากความเปราะบางภายในและความท้าทายภายนอก นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ และลดผลกระทบภาวะการเงินตึงตัว ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้บ้าง สาหรับเงินบาทจะอ่อนค่าลงอีกไม่มาก อยู่ในกรอบราว 34.00-35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่ยังต้องจับตาความผันผวนของเงินสกุลอื่นที่อาจกระทบเงินบาทได้ สาหรับปี 2568 คาดว่าเงินทุน เคลื่อนย้ายจะยังไหลออกต่อเนื่องกดดันเงินบาทอ่อนค่าต่อในช่วงครึ่งแรกของปี แต่เงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ช่วงครึ่งปีหลัง ตามทิศทางการลดดอกเบี้ยของ Fed ราคาน้ามันโลกที่มีแนวโน้มลดลง ราคาทองคาที่อาจ สูงขึ้น และเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับ มองกรอบปลายปีที่ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แนวโน้มธุรกิจไทยยังมีความเสี่ยงอยู่มาก ทั้งจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก นโยบาย Trump 2.0 การแข่งขันรุนแรงจากต่างประเทศ แรงกดดันจาก Mega trends รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตของ ไทยเอง แต่ขนาดผลกระทบจะขึ้นกับความสามารถในการปรับตัวของแต่ละธุรกิจ เช่น ธุรกิจยานยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ความเปราะบางของครัวเรือน ซ้าเติมด้วยแรงกดดันเปลี่ยนผ่านสู่รถ EV ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีข้อจากัดในการปรับตัว SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2568 เหลือ 2.5% (เดิม 2.8%) จากนโยบาย Trump 2.0 ซึ่งจะเร่งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันการค้าให้รุนแรงขึ้น กระทบเศรษฐกิจโลกผ่านการค้า การลงทุน และแรงงาน เป็นหลัก หลายประเทศหลักได้เตรียมชุดมาตรการลดผลกระทบเชิงลบจาก Trump 2.0 ไว้บ้างแล้ว แต่ปัญหาการเมืองในบางประเทศอาจเป็นความเสี่ยงสาคัญที่จะทาให้แนวทางการรับมือของภาครัฐขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเยอรมนี ฝรั่งเศส และเกาหลีใต้ ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่าผลกระทบสุทธิของชุดนโยบาย Trump 2.0 ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเป็นลบแต่จะไม่แรงมาก เพราะหลายนโยบายจะช่วยเร่งการลงทุนในสหรัฐฯ เช่น การลดภาษีเงินได้ การลดกฎเกณฑ์ภาครัฐให้เอื้อต่อการทาธุรกิจ (Deregulation) ทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินโลกจะเริ่มแตกต่างกันและมีความไม่แน่นอนสูง โดยคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ เพื่อรองรับความเสี่ยงเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นจาก Trump 2.0 โดยเฉพาะการ ขึ้นภาษีนาเข้าและการกระตุ้นการลงทุนในประเทศ อย่างไรก็ดี แรงกดดันเงินเฟ้อโลกอาจไม่เร่งตัวขึ้นมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะเศรษฐกิจโลกแย่ลง อีกทั้งราคาพลังงานโลกมีแนวโน้มต่าลงตามอุปสงค์โลกและการเพิ่มกาลังการ ผลิตในสหรัฐฯ จากนโยบายสนับสนุนของ Trump ส่งผลให้ ECB และ PBOC มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยมากกว่าคาดการณ์เดิม เพื่อดูแลเศรษฐกิจที่จะชะลอลงจากปัญหาเชิงโครงสร้างและปัจจัย Trump 2.0 กดดันเพิ่มเติม แต่สาหรับ BOJ มีแนวโน้มจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดการณ์เดิม ส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันเงินเยนอ่อนค่ามากจาก Trump 2.0
  • 3.
    3 เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจโลกปี 2025 มีแนวโน้มเติบโตต่ำลงจำกนโยบำยTrump 2.0 ซึ่งจะเร่งปัญหำภูมิรัฐศำสตร์ และกีดกันกำรค้ำให้รุนแรงขึ้น กระทบเศรษฐกิจโลกผ่ำนกำรค้ำ กำรลงทุน และแรงงำนเป็นหลัก
  • 4.
    4 SCB EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปี2025 เหลือ 2.5% (เดิม 2.8%) จากนโยบาย Trump 2.0 ซึ่งจะเร่ง ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และกีดกันการค้าให้รุนแรงขึ้น กระทบเศรษฐกิจโลกผ่านการค้า การลงทุน และแรงงานเป็นหลัก คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดย SCB EIC สมมติฐาน Tariff hike ของสหรัฐฯ จีน และโลกจากนโยบาย Trump 2.0 หมายเหตุ : * หากไม่มี Trump 2.0 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2025 มีแนวโน้มปรับดีขึ้นกว่าคาดการณ์เดิม (แต่ Offset กับผลลบสุทธิของนโยบาย Trump ต่อสหรัฐฯ) ขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนและอินเดียมีแนวโน้มปรับลดลงกว่าคาดการณ์เดิม (และได้ผลลบเพิ่มเติมจาก Trump 2.0) ** ASEAN-5 (Indonesia, Malaysia, Philippines, Singapore และ Vietnam) ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ IMF WEO (Oct24), Goldman Sachs, Capital Economics, Bloomberg, Reuters และ The Economist การตอบโต้ของจีน : • จีนขึ้นภาษีสินค้านาเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราเท่ากัน แต่จะตอบโต้ไม่ได้เต็มที่ เนื่องจากจีนนาเข้าจาก สหรัฐฯ ไม่มากเท่าสหรัฐฯ นาเข้าจากจีน โดยอาจเน้นสินค้าเกษตรที่ขาดดุลกับสหรัฐฯ เช่น ถั่วเหลือง • จีนอาจตอบโต้ผ่านมาตรการอื่น ๆ เพิ่ม เช่น ห้ามนาเข้าสินค้าบางชนิดจากสหรัฐฯ ห้ามส่งออกสินค้า ยุทธศาสตร์ และนโยบายเงินหยวนอ่อนค่าช่วยลดผลกระทบ • จีนกระจายการส่งออกไปประเทศอื่น EU จะตอบโต้โดยขึ้นภาษีนาเข้าจีน 10% จีนจะตอบโต้กลับเท่ากัน การตอบโต้ของประเทศอื่น ๆ : • ขึ้นภาษีสินค้านาเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราใกล้เคียงกัน แต่ไม่ขึ้นภาษีสินค้าจีน • ประเทศทั่วโลกจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยลดผลกระทบ คาดว่าจีนจะออกมาตรการกระตุ้น ขนาดใหญ่กว่าประเทศอื่น ๆ เพราะได้รับผลกระทบมากกว่า (%YOY) 2023 2024F 2025F As of Sep 24 As of Dec 24 As of Sep 24 As of Dec 24 Global 2.8% 2.7% 2.7% 2.8% 2.5% US 2.9% 2.5% 2.7% 1.9% 1.9%* Eurozone 0.4% 0.8% 0.8% 1.3% 0.6%* Japan 1.7% 0.1% -0.2% 1.1% 0.9% China 5.2% 5.0% 4.9% 4.5% 4.2% India 7.7% 7.2% 6.6% 6.8% 6.3%* ASEAN-5** 4.3% 4.9% 5.1% 5.0% 4.9% สหรัฐฯ ขึ้นอัตราภาษีสินค้านาเข้า : • Trump จะขึ้นภาษีสินค้านาเข้าจากจีนก่อน โดยเฉลี่ย 20% อัตราภาษีแตกต่างกันตาม List กลุ่มสินค้า คล้ายกรณี Tariff hike สินค้าจีนช่วง Trump 1.0 อาศัยอานาจ Section 301 of the Trade Act of 1974 เพื่อลดเวลาขั้นตอนการสอบสวน • สินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมและวัตถุดิบการผลิตจะถูกขึ้นภาษีนาเข้าอัตราสูงสุด สินค้ากลุ่มบริโภคจะถูกขึ้น ภาษีอัตราต่ากว่า ความรุนแรงอัตราภาษีมากไปน้อยตามกลุ่มสินค้า List 1 – List 4 ของ Section 301 • ช่วงครึ่งหลังของปี 2025 สินค้านาเข้าจากประเทศอื่นจะถูกขึ้นภาษีในอัตราเฉลี่ย 10%
  • 5.
    5 แรงกดดันเงินเฟ้อโลก (ยกเว้นสหรัฐฯ) คาดว่าจะไม่เร่งตัวมากนักส่วนหนึ่งจากเศรษฐกิจโลกที่แย่ลง อีกทั้ง ราคา พลังงานโลกมีแนวโน้มลดลงตามอุปสงค์โลกและการเพิ่มกาลังการผลิตในสหรัฐฯ จากการสนับสนุนของ Trump คาดการณ์ราคาน้ามันโลกในระยะกลางโดย SCB EIC หน่วย : USD/bbl ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bloomberg และสานักข่าวต่าง ๆ 73.1 68.6 86.6 57.5 35 45 55 65 75 85 95 105 2015 2016 2017 2018 2019 2020 2021 2022 2023 2024F 2025F 2026F กรณีไม่มีนโยบายชุด Trump 2.0 กรณีฐาน (โอกาส 80%) กรณีภูมิรัฐศาสตร์รุนแรง (โอกาส 20%) ค่าเฉลี่ยปี 2015-2019 Scenarios ปัจจัยกระทบอุปสงค์และอุปทานน้ามัน กรณีฐาน : สงครามการค้า และ เพิ่มกาลังผลิตน้ามัน ของ U.S. (โอกาส 80%) Demand : ชะลอ สาเหตุหลักมาจากการ Normalizing หลังการระบาดใหญ่ และสงครามการค้าทาให้ราคาสินค้าสูงขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว Supply: เร่งผลิต แต่หาก Supply สูงกว่า Demand มากเกินไป ผู้ผลิตอาจใช้ วิธีลดปริมาณการผลิตแทน เพื่อรักษาระดับราคาและรายได้รวมไว้ กรณี No Trump 2.0 Demand : ชะลอ สาเหตุหลักมาจากการ Normalizing หลังการระบาดใหญ่ Supply : เพิ่มขึ้น ปี 2025 การผลิตน้ามันจะเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรล/วัน (OPEC+ ผลิตเพิ่มขึ้นราว 0.7 ล้านบาร์เรล/วัน หลังยุติการลดการผลิตโดยสมัคร ใจและประเทศนอก OPEC ผลิตเพิ่ม 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน) กรณีภูมิรัฐศาสตร์ รุนแรง : สงครามการค้า เพิ่มกาลังผลิตน้ามัน ของ U.S. แต่กดดัน ตะวันออกกลาง (โอกาส 20%) Demand และ Supply : ตามกรณีฐานการกดดันตะวันออกกลาง • การกลับไปใช้แนวทางเข้มงวดต่ออิหร่าน อาจนาไปสู่การตอบโต้จาก อิหร่าน เช่น ขู่ว่าจะขัดขวางการขนส่งน้ามันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ • การเจรจาลดกาลังผลิตน้ามันกับประเทศซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย ในอดีตทรัมป์ใช้กลยุทธ์เจรจาและขู่ถอนการสนับสนุนทางทหารให้ ซาอุดีอาระเบีย หากไม่ยอมลดการผลิตน้ามัน เพื่อรักษาระดับราคาน้ามันไว้ • China overcapacity เป็นอีกปัจจัยช่วยให้แรงกดดันเงินเฟ้อโลกไม่เร่งตัวมากนัก เนื่องจากจีนมีแนวโน้มใช้นโยบายเงินหยวนอ่อนค่า เพื่อลดผลกระทบของภาษีนาเข้า สหรัฐฯ ซึ่งจะทาให้ราคาสินค้าส่งออกจีนในตลาดโลกมีราคาถูกลง
  • 6.
    6 นโยบายการเงินสหรัฐฯ อาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ เพื่อรองรับความเสี่ยงเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแต่ยูโรโซน และจีนมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยมากขึ้น ตามเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากผลกระทบ Trump 2.0 คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ หน่วย : % ต่อปี คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายยูโรโซน หน่วย : % ต่อปี คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายจีน (7-day reverse repo) หน่วย : % ต่อปี ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ IMF, CEIC, Bloomberg และ Wikipedia Commons 3.13 3.38 2 3 4 5 6 23H2 24H1 24H2 25H1F 25H2F 26H1F 26H2F คาดการณ์เดิม คาดการณ์ใหม่ ณ ธ.ค. 2024 เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี แม้เผชิญแรงกดดันจาก นโยบาย Trump 2.0 แต่ความเสี่ยงที่จะทาให้เงินเฟ้อเร่งตัวมีสูง (เช่น การขึ้นภาษีนาเข้า การลดภาษีในประเทศ) Fed จึงมีแนวโน้ม ลดดอกเบี้ยช้าลงกว่าแผนเดิม โดยมีความไม่แน่นอนสูง 2 1.75 1 2 3 4 5 23H2 24H1 24H2 25H1F 25H2F 26H1F 26H2F คาดการณ์เดิม คาดการณ์ใหม่ ณ ธ.ค. 2024 เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มชะลอลงปีหน้า และแรงกดดันเงินเฟ้อด้านพลังงานของ ยุโรปอาจลดลงจากนโยบาย Trump 2.0 ECB จึงมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อพยุงเศรษฐกิจ 1.2 0.8 0 0.2 0.4 0.6 0.8 1 1.2 1.4 1.6 1.8 2 23H2 24H1 24H2F 25H1F 25H2F 26H1F 26H2F คาดการณ์เดิม คาดการณ์ใหม่ ณ ธ.ค. 2024 จีนส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินมาก ขึ้นตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย. 2024 ตามเศรษฐกิจที่ เปราะบาง โดยเฉพาะอุปสงค์ในประเทศ ทั้งนี้ คาดว่าแรงกดดันเพิ่มเติมจาก Trump 2.0 จะ ทาให้จีนมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยมากขึ้นอีก
  • 7.
    7 Policy response ของบางประเทศหลักช่วยลดผลกระทบเชิงลบจากชุดนโยบาย Trump 2.0 นโยบาย Trump 2.0 ที่อาจลดทอนผลลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มาตรการรองรับ Trump และกระตุ้นเศรษฐกิจของยูโรโซน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน • ลดภาษีเงินได้เพื่อกระตุ้นการลงทุน โดยการต่ออายุ Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) • ผลบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ (IMF) : +0.4% ตลอดปี 2025 - 2029 • ลดกฎเกณฑ์ภาครัฐเพื่อเอื้อต่อ การประกอบธุรกิจ (Deregulation) • ลดขั้นตอนอนุมัติและขอใบอนุญาต แบบ Fast track ให้ธุรกิจที่ย้ายมา ลงทุนในสหรัฐฯ หากมูลค่าการลงทุน สูงกว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐ • Trump วางแผนตั้งกระทรวง ประสิทธิภาพรัฐบาล นาโดย Elon Musk และ Vivek Ramaswamy เพื่อลดรายจ่ายไม่จาเป็น และปฏิรูป ระบบราชการสหรัฐฯ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่น SCB EIC มองว่า นโยบาย Trump 2.0 จะส่งผลกระทบด้านลบต่อ เศรษฐกิจญี่ปุ่นจากัด เนื่องจาก : • รัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่กว่า 39 ล้านล้านเยน เช่น ขึ้นค่าจ้าง ขยายเวลาช่วยเหลือค่าพลังงาน แจกเงินครัวเรือนรายได้น้อย ขึ้นเกณฑ์รายได้ขั้นต่าที่ต้องเสีย ภาษีเงินได้ นอกจากนื้ ยังมีปัจจัยช่วยสนับสนุนอุปสงค์ในประเทศ และบรรเทาผลกระทบจากอุปสงค์โลกชะลอลงได้บ้าง • ค่าจ้างปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ช่วยสนับสนุนการบริโภค ผลจาก ตลาดแรงงานตึงตัว และธุรกิจสามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังราคา ผู้บริโภคได้ดีขึ้น • การลงทุนภาคเอกชน (CAPEX) ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อทดแทนการขาดแคลนแรงงาน • EU จะเริ่มเปิดฉากเจรจากับ Trump ทันที อาจเสนอซื้อเชื้อเพลิง หรืออาวุธจากสหรัฐฯ มากขึ้น ทดแทนการขึ้นภาษี • EU จะขึ้นภาษีโต้ตอบในสัดส่วนเท่ากัน โดย EU ประกาศว่า ได้เตรียมรายชื่อสินค้าที่จะขึ้นภาษีสหรัฐฯ ไว้แล้ว • EU มีแนวโน้มขึ้นภาษีนาเข้าจีน เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าจีน ไหลเข้า EU มากเกินไปหลัง Trump ขึ้นภาษีนาเข้าสินค้าจีน • ECB มีแนวโน้มเร่งลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อพยุงเศรษฐกิจ 1. ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นในปี 2025 เน้นกระตุ้นการ บริโภค ตามการสื่อสารของรัฐบาล : • ใช้นโยบายการคลังเชิงรุก (Proactive) • ปรับท่าทีนโยบายการเงินจาก Prudent เป็น Moderately loose • ใช้ “Unconventional counter-cyclical policy adjustments” ซึ่งอาจหมายถึงเน้นกระตุ้นการบริโภค (เดิมเน้นกระตุ้นการลงทุน) • ให้ความสาคัญกับการกระตุ้นการบริโภคเป็นอันดับแรกในการ ตั้งเป้าหมายปี 2025 (เดิมอันดับ 2 ในปี 2024) 2. กาหนดโควตาการออกพันธบัตรรัฐบาลกลางและท้องถิ่นมากขึ้น และตั้งเป้าขาดดุลการคลังสูงขึ้น เพื่อสนับสนุนโครงการต่าง ๆ เช่น Goods trade-in, Local government debt deleveraging, Real estate destocking และการส่งเสริม Social safety net 3. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ Required reserve ratio เพิ่มเติม ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ IMF, CEIC, Bloomberg และ Wikipedia Commons
  • 8.
    8 รัฐบาลประเทศต่าง ๆ จาเป็นต้องเตรียมรับมือผลกระทบนโยบายTrump 2.0 แต่ปัญหาการเมืองในและต่างประเทศ เป็นความเสี่ยงที่จะทาให้แนวทางการรับมือของภาครัฐขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเยอรมนี ฝรั่งเศส และเกาหลีใต้ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Thai PBS, BBC, Reuters, The Guardian, และ Wikipedia Creative Commons License (รูปอิหร่านใช้มิสไซล์โจมตีอิสราเอลในปี 2024 และรูป ATACMS ปี 2006) สงครามอิสราเอล-ฮามาสรุนแรงขึ้นและเสี่ยงขยายวงกว้าง สงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อเกือบ 2 ปี การเมืองภายในหลายประเทศอ่อนแอลง • สงครามตะวันออกกลางยาวนานกว่า 1 ปี • สถานการณ์ในไตรมาส 4 รุนแรงมากขึ้น อิสราเอลโจมตี ปาเลสไตน์ เลบานอน และซีเรีย รวมถึงมีการยิงขีปนาวุธตอบโต้ กลับจากอิหร่าน • การเปลี่ยนแปลงผู้นาซีเรีย สร้างความไม่แน่นอนเพิ่มเติม • Trump มีท่าทีสนับสนุนอิสราเอลเพิ่มเติม โดยเฉพาะงบประมาณ ผ่าน Congress สงครามตะวันออกกลางอาจยืดเยื้อ • สงครามรัสเซีย-ยูเครนยาวนานเกือบ 2 ปี Trump เคยประกาศจะยุติสงครามนี้อย่างรวดเร็วหลังรับ ตาแหน่ง โดยไม่ได้ระบุวิธีชัดเจน อาจลดเงินสนับสนุนยูเครน และเจรจาให้ยูเครนเสียดินแดน • แต่ล่าสุด สหรัฐฯ อนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธที่ได้รับการ สนับสนุนจากสหรัฐฯ โจมตีลึกเข้าไปในรัสเซียได้ (เดิมให้ใช้ เพื่อการป้องกันตนเองเท่านั้น) ส่งผลให้สงครามอาจยืดเยื้อต่อ • ปัญหาการเมืองภายในประเทศ อาจทาให้หลายประเทศไม่สามารถ รับมือนโยบาย Trump 2.0 ได้มีประสิทธิภาพมากนัก • นายกฯ ฝรั่งเศสถูกขับออกจากตาแหน่ง หลัง ส.ส. ลงมติ ไม่ไว้วางใจรัฐบาล สะท้อนว่าฝ่ายค้านมีอานาจการเมืองสูง • การเมืองเยอรมนีเข้าขั้นวิกฤติ หลังเกิดการแตกหักในฝั่งรัฐบาล • ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ลาออก หลังสภาเกาหลีใต้มีมติถอดถอน จากเหตุประกาศกฎอัยการศึกในวันที่ 3 ธ.ค. (แต่สภาโหวตคัดค้าน) ไม่ไว้วางใจนายกฝรั่งเศส (ต้องการ 288) คัดค้านกฎอัยการศึกเกาหลีใต้ (ต้องการ 150) ถอดถอด ปธน. เกาหลีใต้ (ต้องการ 200) เห็นชอบ ไม่เห็นชอบ/งดออกเสียง/ไม่เข้าร่วม 96 204 110 190 311 266
  • 9.
  • 10.
    10 SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยปี2025 ขยายตัวต่าลงที่ 2.4% ผลจากนโยบาย Trump 2.0 เร่งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และกีดกันการค้ารุนแรงขึ้น โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่แรงกระตุ้นการคลังจะทยอยออกมาเพิ่มเติมในปีหน้า ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2024 – 2025 โดย SCB EIC ประมาณการเศรษฐกิจไทย (กรณีฐาน) หน่วย 2024F 2025F ณ ก.ย. 24 ณ ธ.ค. 24 ณ ก.ย. 24 ณ ธ.ค. 24 GDP %YOY 2.5 2.7 2.6 2.4 การบริโภคภาคเอกชน %YOY 3.7 5.0 2.4 2.1 การบริโภคภาครัฐ %YOY 1.4 1.8 3.7 3.7 การลงทุนภาคเอกชน %YOY -0.4 -1.2 3.8 3.4 การลงทุนภาครัฐ %YOY -0.5 1.5 4.2 5.0 มูลค่าส่งออกสินค้า (USD BOP) %YOY 2.6 3.9 2.8 2.0 มูลค่านาเข้าสินค้า (USD BOP) %YOY 3.1 5.4 3.6 3.4 จานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ล้านคน 36.2 36.2 39.4 38.8 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป %YOY 0.6 0.4 1.0 1.0 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน %YOY 0.5 0.6 0.9 0.9 ราคาน้ามันดิบ Brent USD/Bbl. 83.1 80.6 79.2 73.4 อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (สิ้นปี) % 2.25 2.25 2.0 2.0 ดุลบัญชีเดินสะพัด % of GDP 1.8 2.0 2.0 2.0 ค่าเงินบาท (เฉลี่ย) THB/USD 35.2 35.5 33.4 34.8 คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2024 – 2025 (รายครึ่งปี) โดย SCB EIC หน่วย : %YOY 1.9 3.5 2.9 2 0 1 2 3 4 H1-24 H2-24F H1-25F H2-25F Q4/24 : เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวดีราว 4% ตามแรงส่งการส่งออกและการใช้จ่ายภาครัฐที่จะขยายตัว ต่อเนื่องจากไตรมาส 3 รวมถึงภาคการท่องเที่ยวช่วงท้ายปี ทาให้ช่วงครึ่งหลังเติบโตได้ดี ทั้งปีโตราว 2.7% H1/25 : เศรษฐกิจไทยยังมีแรงส่งจากภาคการส่งออก (ขยายตัวเกือบ 3%) หลายประเทศอาจเร่งนาเข้าก่อน มาตรการกีดกันการค้าเพิ่มเติมจะเริ่มมีผล การเบิกจ่ายงบประมาณต่อเนื่อง และการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัว H2/25 : เศรษฐกิจไทยเริ่มถูกกดดันจากสงครามการค้ารอบใหม่ (ขยายตัวเพียง 2%) หลังมาตรการกีดกัน การค้า Trump 2.0 เริ่มมีผล ส่งผลให้การส่งออกไทยเริ่มชะลอตัว ซ้าเติมภาคการผลิตที่ยังคงไม่ฟื้นตัว
  • 11.
    11 นักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2025 คาดว่าจะอยู่ที่38.8 ล้านคนเข้าใกล้ระดับปกติ โดยเป้าหมายหลักยังเป็นนักท่องเที่ยว กลุ่มเดิมอย่างนักท่องเที่ยวจีนแต่พบว่าพฤติกรรมเปลี่ยนไป และนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพที่เข้ามาไทยมากขึ้น หมายเหตุ : *สัดส่วนกรุ๊ปทัวร์จีนตามข้อมูลการรับกรุ๊ปทัวร์ของสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (ATTA) ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, Dragon Trail Research, Goldman Sachs และสานักข่าวต่าง ๆ ประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2025 โดย SCB EIC หน่วย : ล้านคน, % เทียบกับปี 2019 กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย ปี 2025 หน่วย : ล้านคน 11.0 28.8 2019 5.4 2020 2021 10.9 2022 3.5 24.6 2023 6.9 29.1 2024E 8.7 30.1 2025F 39.8 6.7 0.4 11.2 28.2 36.0 38.8 นักท่องเที่ยวจีน นักท่องเที่ยวชาติอื่น 90% 71% 97% 28% SCB EIC ปรับประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2025 ลงเล็กน้อยอยู่ที่ 38.8 ล้านคน จากข้อมูลเศรษฐกิจโลกช่วงปลายปีนี้ส่งสัญญาณชะลอตัวกว่าที่คาด • เศรษฐกิจจีน คาดว่าจะขยายตัวต่าลงใน 1-2 ปีข้างหน้า • เศรษฐกิจยุโรป มีแนมโน้มซบเซาต่อเนื่อง กลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายเดิม แต่พฤติกรรมเปลี่ยน กลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายใหม่ ศักยภาพการเติบโตสูง นักท่องเที่ยวจีน : กลุ่ม FIT และกรุ๊ปทัวร์ขนาดเล็ก ผลสารวจบริษัททัวร์ในจีนของ Dragon Trail พบพฤติกรรมการท่องเที่ยว ต่างประเทศของชาวจีนที่เปลี่ยนไป ดังนี้ • เลือกกรุ๊ปทัวร์ขนาดต่ากว่า 20 คน • มองหาโปรแกรมทัวร์แบบ Trailor-made • เดินทางท่องเที่ยวพร้อมครอบครัว • เน้นใกล้ชิดธรรมชาติ ชายหาด และเกาะ • ยังมีความอ่อนไหวทางด้านราคาสูง 28% 72% 2019 16% 84% 2023 23% 77% 2024E 25% 75% 2025F 11.1 3.5 6.9 8.7 กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม (หน่วย : ล้านคน) กลุ่มตะวันออกกลาง (หน่วย : แสนคน) Kuwait UAE Saudi Arabia 0.7 0.7 0.8 1.1 1.2 1.5 0.3 1.4 1.9 +19% +33% +615% 10M2019 10M2023 10M2024 Israel Myanmar Russia 0.17 0.20 0.22 0.31 0.31 0.44 1.08 1.10 1.29 +35% +43% +20% 10M2019 10M2023 10M2024 Group tour* Others
  • 12.
    12 ไทยเสี่ยงสูงที่จะถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนาเข้าจาก Trump2.0 ส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง รวมถึง ปัญหา China overcapacity ที่กดดันความสามารถการแข่งขันทั้งภายในและนอกประเทศ มูลค่าเพิ่มของการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ระหว่าง Q4/23-Q3/24 หน่วย : % of GDP (Domestic Value Added* of Economy to GDP) Trump risk index ของประเทศที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ หน่วย : ดัชนี (โดย ITIF, Dec 2024) 0 5 10 15 DVA of gross exports to US DVA in US final demand สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย และมีสัดส่วนมากถึง 17% ของมูลค่า การส่งออกไทยทั้งหมดในปี 2023 หมายเหตุ : *DVA = gross output at basic prices minus intermediate consumption at purchasers' prices มูลค่าการนาเข้าจากจีนต่อมูลค่านาเข้าทั้งหมด รายประเทศ หน่วย : ดัชนี (2018=100) Economies 2019 2020 2021 2022 2023 Cambodia 105.9 104.2 95.6 98.8 125.2 Vietnam 107.8 116.5 120.1 118.6 122.9 Thailand 106.0 120.1 123.7 116.4 121.6 Philippines 116.3 117.7 115.6 104.1 117.9 Indonesia 108.7 116.0 119.0 118.2 117.5 Lao PDR 132.1 117.7 117.0 117.0 117.0 Malaysia 103.8 107.9 116.4 107.0 107.1 Myanmar 107.7 113.0 91.3 99.8 96.3 -6 -4 -2 0 2 4 6 Lithuania Australia Netherlands Taiwan Greece Japan France South Korea UK Philippines Germany Italy Portugal Spain Turkey Hungary New Zealand Canada Austria Slovenia Thailand Mexico Military Spending/GDP Trade Balance/GDP Toughness on China Anti-U.S. Policies Total Score More Risk Less Risk ประเทศเข้าข่าย Unfair trade กับสหรัฐฯ : ไทยอาจติด 3 ใน 5 เกณฑ์ โดย Global Trade Alert (Nov 2024) 5 เกณฑ์ตรวจสอบการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ 1.0 Bilateral Trade Surplus : เกินดุลสหรัฐฯ > 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ Significant Gain in Competitiveness from Exchange Rate : ได้เปรียบต้นทุนอัตราแลกเปลี่ยนเทียบ USD ตั้งแต่ปี 2019 มากกว่า 5% Threat to US Bilateral Exports in Home Market : มีนโยบายช่วย บริษัทในประเทศให้แข่งขันกับสินค้านาเข้า และกระทบมูลค่าส่งออก สหรัฐฯ > 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ Subject to Significant Scrutiny During First Trump Administration : รายงานการประเมินอุปสรรคทางการค้าระหว่าง ประเทศ ระบุว่า เป็นประเทศที่มีอุปสรรคทางการค้า > 6 pages Import Tariff Far in Excess of Comparable US Level : MFN เฉลี่ยที่ใช้กับสินค้าทุกประเภทสูงกว่าอัตราที่สหรัฐฯ ใช้ปัจจุบันเกิน 5% ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Trademaps, Haver Analytics, Goldman Sachs, Global Trade Alert (Nov24) “Attracting the Ire of the Next US Administration: A Red Flag Analysis based on recent policy & market outcomes” และ Information Technology and Innovation Foundation (Dec 2024) “Which US Allies Are Most Likely to Face Trump Tariffs—and How Can They Avoid the Wrath of an “America First” Doctrine?”
  • 13.
    13 สินค้าส่งออกสาคัญของไทยที่มีความเสี่ยงถูกตั้งกาแพงภาษีจาก Trump 2.0เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และชิ้นส่วน เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์ ประเมินระดับความเสี่ยงจากนโยบายการค้า Trump 2.0 ต่อสินค้าส่งออกสาคัญของไทยโดย SCB EIC Top Thai export products to US % TH export to US in 2023 Risk assessment "Losing competitiveness" "US internalization" "US global tariffs" %∆ in TH market share (2023 vs 2018) % diff of US import vs domestic production growth* (Avg 2018 - 23) Rank of US trade deficit to global in 2023** Total 79% 0.5 5.8 EE Electronic equipment 17% 2.3 2.8 1 Communication equipment 10% 2.3 -8.0 1 Semiconductor 7% 12.5 21.0 1 Machinery Machinery & Computer 18% 0.8 4.6 3 HH appliance 1% 4.1 24.1 3 Air condition 2% 7.2 56.5 3 Tires 7% 2.7 10.0 13*** Auto Car 3% 0.2 5.0 2 Auto parts 2% 0.6 5.0 2 Iron & Steel 3% 0.8 5.3 10 Food Preparations of meat 2% -2.2 2.6 36 Veg & Fruit 1% -0.7 8.9 29 Furniture 2% 1.1 3.2 5 Clothing 1% -0.3 2.0 7 ความเสี่ยงจากนโยบาย Trump 2.0 ต่อธุรกิจส่งออกที่ต้องจับตามอง ไทยเผชิญความเสี่ยงสูงจากการตั้งกาแพงภาษี ไทยอยู่อันดับที่ 12 จาก 99 ประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า มากที่สุดในปี 2023 70% 1) ความเสี่ยงจากนโยบายพึ่งพาตนเองของสหรัฐฯ จะกระทบต่อความต้องการ สินค้าจากไทยในวงจากัด เนื่องจากอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ เติบโตไม่ทันอุปสงค์ จึงจาเป็นต้องพึ่งการนาเข้า 2) 3) กรณีจีนย้ายฐานการผลิตมาไทยเพื่อเลี่ยงกาแพงภาษี สหรัฐฯ อาจดาเนิน มาตรการกีดกันการค้าต่าง ๆ เช่น ตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้า เพิ่มสัดส่วน การใช้ชิ้นส่วน/วัตถุดิบจากผู้ผลิตในประเทศ พิจารณาถึงสัญชาติของบริษัท เช่น การเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด จากการนาเข้าแผงโซลาร์จาก 4 ประเทศ ใน ASEAN ซึ่งผลิตโดยบริษัทจีน กว่า 70% ของสินค้าส่งออกหลักของไทยเป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ มีแนวโน้ม ตั้งเป้าลดการขาดดุลการค้า และส่งเสริมให้เกิด Local supply chain อาทิ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์ 4) Demand สินค้าขั้นกลางที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อผลิตเป็นสินค้าขั้นปลายอาจ ชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าขั้นปลายที่จีนส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ อาทิ กลุ่ม คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน IC PCB และไม้ยางพารา Direct impacts from US Indirect impacts from China หมายเหต ุ: (*) หากความต่างเป็นบวก หมายถึง การนาเข้าขยายตัวได้สูงกว่าอัตราการเติบโตของการผลิตในประเทศหรือหดตัวน้อยกว่าการหดตัวของการผลิตในประเทศ ขณะที่ความต่างที่ติดลบ หมายถึง การนาเข้าขยายตัวต่ากว่าอัตราการเติบโตของการผลิตในประเทศหรือหดตัว ต่ากว่าการลดลงของปริมาณการผลิตในประเทศ (**) ระดับความเสี่ยงประเมินจากลาดับมูลค่าการขาดดุลของ US จากสินค้าทั้งหมด 97 ประเภท โดย US ขาดดุลมากถึง 75 ประเภทสินค้า และมูลค่าสินค้าที่ขาดดุลมากที่สุดอันดับ 1 คือ หมวดอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้สินค้าที่เสี่ยงสูง (สีแดงหรือส้มเข้ม) คือ สินค้า 8 อันดับแรกที่ US มีการขาดดุลการค้ามากที่สุด ณ ปี 2023 (Percentile ที่ 10) (***) สินค้าต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะเมื่อปี 2023 ได้ถูกสหรัฐฯ กล่าวหาว่ามีพฤติกรรมทุ่มตลาด โดยแฉพาะยางรถบรรทุกและรถบัส ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Trade Map และ CEIC
  • 14.
    14 การลงทุนภาคเอกชนจะกลับมาฟื้นตัวได้บ้างในปี 2025 ตามมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนของBoard of Investment (BOI) ที่เพิ่มขึ้นมาก แต่แนวโน้มการฟื้นตัวยังถูกจากัดจากความเปราะบางในการผลิตภาคอุตสาหกรรม ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย, สานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนและองค์ประกอบโดย ธปท. หน่วย : %YOY -40 -30 -20 -10 0 10 20 30 40 ยอดจดทะเบียนยานยนต์ใหม่ พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง การจาหน่ายเครื่องจักรและ อุปกรณ์ในประเทศ การนาเข้าสินค้าทุน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวแตกต่างกันในแต่ละองค์ประกอบอย่างชัดเจน • การลงทุนและนาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ (ยกเว้นยานพาหนะ) ขยายตัว ดีขึ้น ส่วนหนึ่งตามการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI • การลงทุนก่อสร้างและยานพาหนะหดตัวลงมาก ส่วนหนึ่งจากอุปสงค์ ในประเทศที่ชะลอลงต่อเนื่อง มูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนโดย BOI หน่วย : พันล้านบาท 0 100 200 300 400 500 600 700 ม.ค.-ก.ย. ม.ค.-ก.ย. ม.ค.-ก.ย. 2022 2023 2024 บริการที่มีมูลค่าสูง อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ดิจิทัล สาธารณูปโภค เคมีและปิโตรเคมี โลหะและวัสดุ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรและยานยนต์ การแพทย์ เกษตร อาหาร และ เทคโนโลยีชีวภาพ +100%YOY มูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนของ BOI เพิ่มขึ้น 2 เท่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นแรงส่งสาคัญของการลงทุนในระยะข้างหน้า คาดการณ์การขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนโดย SCB EIC หน่วย : %YOY 2.9 4.7 3.2 -1.2 3.4 -0.4 3.8 -2 0 2 4 2021 2022 2023 2024F 2025F Nov-24 Aug-24 ปี 2024 การลงทุนเอกชนจะหดตัว จากการลงทุนด้านก่อสร้าง และยานพาหนะเชิงพาณิชย์ที่ซบเซา ปี 2025 การลงทุนเอกชนจะกลับมาขยายตัวได้ ตามทิศทางมูลค่า การออกบัตรส่งเสริมการลงทุนของ BOI ที่ดีขึ้นมากเป็นหลัก แต่การลงทุนก่อสร้างและยานพาหนะคาดว่าจะฟื้นตัวจากัด รวมถึง แรงกดดันเพิ่มเติมจากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าสหรัฐฯ และการทุ่มตลาดของสินค้าจีน ทาให้การส่งออกไทยขยายตัวจากัด ขณะที่การใช้กาลังการผลิตยังอยู่ในระดับต่า
  • 15.
    15 การผลิตอุตสาหกรรมในภาพรวมยังไม่ฟื้นตัว จากแรงกดดันอุปสงค์ในประเทศซบเซา และการเข้ามาตีตลาด ของสินค้าจีนโดยการฟื้นตัวกระจุกตัวในหมวดสินค้าที่ได้รับอานิสงส์จากการส่งออก ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงพาณิชย์ และ CEIC ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมไทย และดัชนีมูลค่าสินค้านาเข้าจากจีน หน่วย : Index, sa, 2021 = 100 80 100 120 140 MPI Imports from China (Of which) Consumer Goods (Of which) Raw Materials & Intermediate Products (Of which) Capital Goods • แม้ภาคส่งออกไทยจะฟื้นตัวแล้ว แต่ภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมยังไม่ฟื้นตัว ส่วนหนึ่งจากการผลิตเพื่อ จาหน่ายในประเทศที่ได้รับแรงกดดันจากอุปสงค์ทยอยชะลอลง และการแข่งขันจากสินค้าจีน • การนาเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนเริ่มเร่งตัวในช่วงหลังสอดคล้องกับหมวดสินค้าทุนและวัตถุดิบจากจีน สะท้อนการแข่งขันของสินค้าจีนในตลาดผู้บริโภคไทยที่เข้มข้นขึ้น ต่างจากอดีตที่การนาเข้าสินค้าจีนขยายตัวสูง ในหมวดสินค้าทุนเพื่อปรับปรุง/ขยายโรงงาน หรือหมวดวัตถุดิบ/สินค้าขั้นกลางเพื่อผลิตสินค้าขั้นสุดท้ายต่อไป %YoY 2021 Weight Q1-24 Q2-24 Q3-24 Oct-24 YTD MPI 100 -3.6 -0.2 -1.1 -0.9 -1.6 Machinery & Equipment 2.9 0.6 9.8 16.5 30.7 9.6 Beverages 3.8 6.8 7.6 -0.4 8.4 5.1 Paper & Paper Products 2.1 6.5 7.9 0.0 -2.9 4.0 Food Products 16.8 -0.1 7.4 4.6 2.6 3.6 Chemicals & Chemical Products 8.9 3.5 4.8 1.9 3.9 3.5 Electrical Equipment 3.5 -0.8 9.3 1.1 -3.6 2.4 Coke & Refined Petroleum 10.8 2.1 1.9 2.9 -1.3 1.9 Rubber & Plastic 8.9 -0.5 -0.2 3.1 5.3 1.3 Fabricated Metal 2.3 -0.4 -4.2 5.0 6.7 0.7 Basic Metal 3.5 -5.4 4.1 -3.9 2.2 -1.6 Pharmaceutical Products 1.2 -13.0 -4.0 -4.0 0.8 -6.6 Cement, Glass, & Ceramic 5.4 -7.0 -7.9 -8.8 -3.4 -7.5 Computer & Electronic 8.9 -17.1 -13.4 -3.2 -0.9 -10.6 Motor Vehicles 11.3 -16.3 -13.4 -17.7 -21.6 -16.5 • การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมไทยแต่ละหมวดยังแตกต่างกันมาก โดยหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ เติบโตได้ดีขึ้นต่อเนื่องตามภาคการส่งออก ขณะที่หมวดยานยนต์หดตัวแรงต่อเนื่องตลอดปี • การหดตัวรุนแรงของการผลิตยานยนต์ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมหดตัว (มีสัดส่วนมากถึง 11.3% ในโครงสร้างการผลิตของไทย)
  • 16.
    16 รัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนใน Q3/2024 และคาดว่าจะมีการเบิกจ่ายต่อเนื่องในงบประมาณปี2025 ส่งผลให้มูลค่า การก่อสร้างภาครัฐในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐ หน่วย : พันล้านบาท อัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของหน่วยงานกลางโดยรวม หน่วย : % งบประมาณของ 4 หน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้าง หน่วย : พันล้านบาท มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัว +3%YOY • การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2025 ดาเนินการได้ปกติ • มูลค่าการก่อสร้างโครงการ Mega project - ส่วนใหญ่มาจากโครงการต่อเนื่องจากในอดีตที่คืบหน้า - ความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการ Mega project ใหม่ เช่น รถไฟทางคู่ เฟส 2 ช่วงขอนแก่น-หนองคาย, รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ (ตะวันตก) 2021 2022 2023 2024E 2025F 802 802 784 794 820 +3% 0% 20 40 60 80 Oct Nov Dec Jan Feb Mar Apr May Jun Jul Aug 73% 75% 77% 66% Sep FY2021 FY2022 FY2023 FY2024 FY2025 หน่วยงาน ที่ใช้งบลงทุนในระดับสูง สิ้น ก.ย. สิ้น พ.ย. 2021 2022 2023 2024 2023 2024 กรมทางหลวง 86% 90% 96% 80% 6.3% 3.5% กรมทางหลวงชนบท 89% 91% 90% 67% 1.3% 3.3% กรมชลประทาน 82% 83% 89% 74% 2.6% 7.0% กรมโยธาธิการและผังเมือง 62% 47% 42% 44% 6.4% 4.7% กรมทางหลวง 126 113 119 122 128 +5% กรมชลประทาน 74 77 77 81 83 +2% กรมทางหลวงชนบท 49 46 47 48 51 +6% กรมโยธาธิการและผังเมือง 29 31 35 38 42 +10% FY2021 FY2022 FY2023 FY2024 FY2025 ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, กรมบัญชีกลาง และสานักงบประมาณ
  • 17.
    17 มาตรการเงินโอนช่วยให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดีขึ้นบ้าง แต่มีผลกระตุ้นการบริโภคได้จากัด เพราะเน้นประคับประคองการบริโภคของกลุ่มครัวเรือนเปราะบางเป็นหลัก ที่มา :การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย และผลสารวจ SCB EIC Consumer survey เดือน พ.ย. – ธ.ค. 2023 จากกลุ่มตัวอย่างที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ จานวน 205 ตัวอย่าง ดัชนีการบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption Index) ของ ธปท. หน่วย : ดัชนี (2019Q4 = 100), ปรับฤดูกาล • การบริโภคภาคเอกชนเดือน ต.ค. ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการเงินโอน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเปราะบางและผู้พิการช่วงปลายเดือน ก.ย. สะท้อนจากการบริโภคสินค้าไม่คงทนและคงทนบางกลุ่ม ที่ปรับดีขึ้น ขณะที่การบริโภคหมวดบริการปรับดีขึ้นสอดคล้องกับการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขยายตัวต่อเนื่อง • การบริโภคสินค้าคงทนยังหดตัวสูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานะการเงินของครัวเรือนที่ยังเปราะบาง ความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อของสถาบันการเงิน และผู้บริโภคชะลอซื้อรอดูสถานการณ์ราคา ในตลาดรถยนต์ 60 70 80 90 100 110 120 01/2021 04/2021 07/2021 10/2021 01/2022 04/2022 07/2022 10/2022 01/2023 04/2023 07/2023 10/2023 01/2024 04/2024 07/2024 10/2024 PCI Non-Durables Semi-Durables Durables Services มาตรการเงินโอนรอบนี้จะช่วยกระตุ้นการบริโภคได้ไม่มากนัก เนื่องจากผู้รับสิทธิส่วนใหญ่จะนาเงินนี้ไปเก็บออม คืนหนี้ หรือลดรายจ่ายส่วนตัว 86%* ของครัวเรือนที่มีสิทธิได้รับเงินเฟสแรก จะนาเงินโอนนี้ไปทดแทนรายจ่ายที่ต้องใช้อยู่แล้ว บางส่วนหรือทั้งหมด ครัวเรือนกลุ่มนี้ 40% นาเงินส่วนเกินไปเก็บออม/ลงทุน 30% นาเงินส่วนเกินไปใช้คืนหนี้ *สารวจจากกลุ่มครัวเรือนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐฯ จานวน 205 ตัวอย่าง
  • 18.
    18 ผู้บริโภคมองเศรษฐกิจไทยปี 2025 แย่ลงขณะที่กลุ่มรายได้ต่ามองว่า ตนเองจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ แย่ลงมากกว่ากลุ่มอื่น สะท้อนภาพความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอ่อนแอ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูล SCB EIC Consumer survey 2024 สารวจ ณ 14 - 22 ต.ค. 2024 (จานวนตัวอย่าง 1,869 คน) ท่านมองเศรษฐกิจปีหน้าเป็นอย่างไร 12% 46% 30% 11% แย่ลงมาก แย่ลง เหมือนเดิม ดีขึ้น ดีขึ้นมาก ปัจจัยบวกในปีหน้า นักท่องเที่ยวต่างชาติ 49% 29% ไม่มีปัจจัยบวก นโยบายของรัฐบาล 26% ปัจจัยลบในปีหน้า ภาวะหนี้ครัวเรือน 69% 69% การเมืองในประเทศ กาลังซื้อของประชาชน 54% • ผู้บริโภคเกินครึ่งหนึ่งมองว่าเศรษฐกิจในปี 2025 จะแย่กว่าปีนี้ ส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยซบเซาแล้วในปัจจุบัน สะท้อนความไม่เชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย • ผู้บริโภคมองนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นปัจจัยบวกของเศรษฐกิจในปีหน้า ขณะที่เกือบ 3 ใน 10 มองว่าไม่มีปัจจัยบวกเลย • ผู้บริโภคมองความเปราะบางของครัวเรือน และสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง ภายในประเทศ เป็นปัจจัยลบสาหรับเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ค่าครองชีพ สัดส่วนผู้ตอบว่าได้รับผลกระทบ 95% 92% 93% 89% 84% น้อยกว่า 15,000 บาท 15,001-30,000 บาท 30,001-50,000 บาท 50,001-100,000 บาท มากกว่า 100,000 บาท กลุ่มรายได้ รายได้ 83% 80% 68% 63% 53% น้อยกว่า 15,000 บาท 15,001-30,000 บาท 30,001-50,000 บาท 50,001-100,000 บาท มากกว่า 100,000 บาท ภาวะเศรษฐกิจส่งผลต่อท่านในด้านใดบ้าง สัดส่วนผู้ตอบว่าได้รับผลกระทบ กลุ่มรายได้ • ผลสารวจพบว่า เศรษฐกิจในภาพรวมจะส่งผลต่อกลุ่มรายได้ต่ามากกว่ากลุ่มรายได้สูงชัดเจน โดยกว่า 4 ใน 5 ของกลุ่มรายได้ต่ากว่า 30,000 บาทต่อเดือน มองว่ารายได้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ (ขณะที่ราว ครึ่งหนึ่งของกลุ่มรายได้สูงกว่า 100,000 บาทต่อเดือน มองว่ารายได้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ) • ผู้บริโภคทุกกลุ่มมองว่า สถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมจะกระทบตนผ่านค่าครองชีพเป็นหลัก แม้กระทั่งกลุ่มที่มี รายได้สูงกว่า 100,000 บาทต่อเดือน ยังมีสัดส่วนมากถึง 4 ใน 5 ที่มองว่าตนเองจะได้รับผลกระทบ 1%
  • 19.
    19 0% 10% 20% 30% 40% NPL ที่กลับมาชาระหนี้ได้แต่ไม่สม่าเสมอ Age <=25Age 26-35 Age 36-45 Age 46-55 Age 56-65 Age 66+ ในระยะข้างหน้า ข้อมูลเครดิตบูโรชี้ว่า คุณภาพสินเชื่อรายย่อยทั้งระบบมีแนวโน้มแย่ลงต่อเนื่อง สะท้อนว่าปัญหาหนี้ ครัวเรือนจะคลี่คลายได้ช้าเนื่องจาก ลูกหนี้บุคคล NPL มากกว่า 70% ยังไม่สามารถกลับมาชาระหนี้ได้สม่าเสมอ 8.8% 4.9% 0% 3% 6% 9% 12% Q1-19 Q2-19 Q3-19 Q4-19 Q1-20 Q2-20 Q3-20 Q4-20 Q1-21 Q2-21 Q3-21 Q4-21 Q1-22 Q2-22 Q3-22 Q4-22 Q1-23 Q2-23 Q3-23 Q4-23 Q1-24 Q2-24 Q3-24 Oct-24 ทิศทาง NPL และ SM สูงขึ้นต่อเนื่องจากช่วง COVID-19 หมายเหตุ : 1) ข้อมูลของลูกหนี้ NPL บุคคล ตลอดช่วง 16 ไตรมาส ตั้งแต่ ไตรมาส 1/2020 – ไตรมาส 4/2023 2) ประเภทลูกหนี้ NPL บุคคลแบ่งตามสถานะบัญชีและ DPD (Days passed due) เป็น 4 ประเภท ได้แก่ (1) ลูกหนี้ที่สามารถกลับมาชาระหนี้และปิดบัญชีได้ (2) ลูกหนี้ที่กลับมาชาระหนี้ได้สม่าเสมอ คือ บัญชีลูกหนี้ NPL ที่กลับมามีสถานะปกติ และ DPD<30 วัน ตลอดทั้งปี 2024 (3) ลูกหนี้ที่ไม่สามารถกลับมาชาระ หนี้ได้สม่าเสมอ และ (4) ลูกหนี้ที่ไม่สามารถกลับมาชาระหนี้ได้และถูกดาเนินคดี NPL SM บัญชีที่สามารถ ปิดบัญชีได้แล้ว, 0.9% บัญชีที่สามารถ กลับมาชาระหนี้ สม่าเสมอได้, 0.8% บัญชีที่สามารถ กลับมาชาระหนี้ ได้แต่ไม่ สม่าเสมอ, 71.6% บัญชีที่ไม่สามารถ กลับมาชาระหนี้ได้ และอยู่ระหว่าง ดาเนินคดี, 26.8% Non-Bank บัญชีที่สามารถปิดบัญชีได้แล้ว, 4.7% บัญชีที่สามารถ กลับมาชาระหนี้ สม่าเสมอได้, 5.5% บัญชีที่สามารถกลับมาชาระหนี้ได้ แต่ไม่สม่าเสมอ, 73.9% บัญชีที่ไม่สามารถกลับมาชาระหนี้ได้ และอยู่ระหว่างดาเนินคดี, 16.0% Bank (include SFIs) ลูกหนี้ NPL ที่จ่ายหนี้ไม่สม่าเสมอ ส่วนใหญ่อายุ 26-35 ปี 0% 10% 20% 30% 40% NPL ที่กลับมาชาระหนี้ได้แต่ไม่สม่าเสมอ ลูกหนี้ NPL ที่จ่ายหนี้ไม่สม่าเสมอ ส่วนใหญ่อายุ 36-45 ปี สัดส่วนสินเชื่อรายย่อยด้อยคุณภาพ (NPL) และสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) หน่วย : % ของการผิดนัดชาระหนี้ต่อลูกหนี้รายย่อยทั้งหมด สถานะบัญชีของลูกหนี้รายย่อยที่ยังเป็น NPL ตั้งแต่เกิด COVID-19 – ไตรมาส 4/2023 แบ่งตามประเภทเจ้าหนี้ หน่วย : % จานวนบัญชีลูกหนี้ NPL ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลเครดิตบูโร
  • 20.
    20 ลูกหนี้บุคคล SM ราว70-80% มีโอกาสจะกลายเป็น NPL โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการเกษตร สินเชื่อส่วนบุคคล หนี้บัตรเครดิต และสินเชื่ออื่น สถานะบัญชีของลูกหนี้รายย่อยที่ยังเป็น SM ตั้งแต่เกิด COVID-19 – ไตรมาส 4/2023 แบ่งตามประเภทเจ้าหนี้ หน่วย : % จานวนบัญชีลูกหนี้ SM ทั้งหมด ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลเครดิตบูโร ระยะเวลาที่บัญชีของลูกหนี้จะเปลี่ยนสถานะจาก SM กลายไปเป็น NPL โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.6 ไตรมาส หรือโดยประมาณ 5-6 เดือน สัดส่วนบัญชีลูกหนี้สถานะ SM ที่กลายไปเป็น NPL สัดส่วนบัญชีลูกหนี้ SM ที่กลายไปเป็น NPL แบ่งตามประเภทสินเชื่อและเจ้าหนี้ หน่วย : % , นับตั้งแต่เกิด COVID-19 – ไตรมาส 4/2023 แบ่งตามประเภทเจ้าหนี้ 82.3% 81.8% 80.4% 48.1% 0% 20% 40% 60% 80% 100% Personal Loan Credit Card Other loans Auto Loan Non-Bank 97.7% 81.1% 68.0% 62.6% 48.0% 45.9% 0% 20% 40% 60% 80% 100% Loan for agriculture Personal Loan Credit Card Commercial Loan Housing / Mortgage Auto Loan Bank (include SFIs) ปิดได้แล้ว, 1.8% กลับมาจ่าย สม่าเสมอ, 16.9% กลับมาจ่ายไม่ สม่าเสมอ, 81.3% Non-Bank ปิดได้แล้ว, 1.4% กลับมาจ่าย สม่าเสมอ, 25.4% กลับมาจ่ายไม่ สม่าเสมอ, 73.2% Bank (include SFIs) 74% 79%
  • 21.
    21 มาตรการแก้หนี้ครัวเรือน “คุณสู้ เราช่วย”เน้นช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยเปราะบางน้อยลงมา แต่มีโอกาสคืนหนี้ได้ ผลสาเร็จของมาตรการขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของรายได้ลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือเป็นหลัก บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคลหมุนเวียน สินเชื่อส่วนบุคคล ผ่อนชาระเป็นงวด บัตรเครดิต สินเชื่อรถ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพ การปรับโครงสร้างหนี้ก่อนและหลังเป็นหนี้เสีย คลินิกแก้หนี้ ปิดจบหนี้เรื้อรัง *เข้าร่วมมาตรการ จ่ายตรง คงทรัพย์ ได้ผ่านมาตรการรวมหนี้* มาตรการ "จ่ายตรง คงทรัพย์” มาตรการ “จ่าย ปิด จบ” งดเก็บ ค่าธรรมเนียมปรับโครงสร้างหนี้ / ค่าปรับชาระหนี้ก่อนกาหนด / ดอกเบี้ยบนดอกเบี้ย ประเภทหนี้หลักของกลุ่มครัวเรือนเปราะบางมาก ประเภทหนี้หลักของครัวเรือนเปราะบางน้อยลงมา มาตรการหลักในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในปัจจุบัน มาตรการภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” (11 ธ.ค. 2024) มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” • สาหรับหนี้บ้าน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ สินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพ และสินเชื่อ SMEs ที่มีสถานะ (1) ค้างชาระเกิน 30 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน หรือ (2) เคยปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2023 และในปัจจุบันค้างชาระไม่เกิน 30 วัน • ลดภาระชาระหนี้ต่องวด 3 ปี ค่างวดทั้งหมดจะนาไปตัดเงินต้น และพักดอกเบี้ย 3 ปี • หากชาระได้ตามเงื่อนไขตลอด 3 ปี ลูกหนี้จะได้รับการยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมดที่พักไว้ในช่วง 3 ปี • ระหว่างเข้าโครงการจะไม่สามารถกู้เพิ่มได้ใน 12 เดือนแรก มาตรการ “จ่าย ปิด จบ” • สาหรับลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้เสียทุกประเภท ยอดคงค้างไม่เกิน 5,000 บาท • สถาบันการเงินช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน โดยลูกหนี้ชาระหนี้บางส่วน เพื่อให้สามารถจ่ายและปิดจบหนี้เร็วขึ้น เพื่อล้างประวัติหนี้เสีย ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย
  • 22.
    22 SCB EIC ประเมินเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับสู่กรอบเป้าหมายในเดือนธ.ค. และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเข้าใกล้ขอบล่าง ของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อในปี 2025 ที่ 1% ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป รายหมวดสินค้า หน่วย : %YOY อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อผู้ผลิตอยู่ในระดับต่า หน่วย : %YOY %YOY Jul-24 Aug-24 Sep-24 Oct-24 Nov-24 YTD ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป 0.8% 0.4% 0.6% 0.8% 0.9% 0.3% อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1.3% 1.8% 2.3% 1.9% 1.3% 0.7% อาหารสด 1.1% 1.9% 2.3% 1.6% 0.2% 0.1% เนื้อสัตว์ -5.2% -2.9% -2.1% 0.1% 0.3% -7.5% อาหารบริโภค-ในบ้าน 1.5% 1.9% 2.1% 1.8% 1.8% 1.3% อาหารบริโภค-นอกบ้าน 1.6% 1.7% 2.8% 3.0% 2.8% 1.4% เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า -0.5% -0.6% -0.7% -0.5% -0.5% -0.4% เคหสถาน -0.8% -0.9% 0.4% 0.4% 0.4% -0.2% ไฟฟ้า เชื้อเพลิง น้าประปาและแสงสว่าง -3.3% -3.3% 1.4% 1.5% 1.5% -1.1% การตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล -0.4% 0.0% -0.1% -0.6% -0.3% 0.2% พาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร 2.0% -1.0% -1.8% -0.3% 1.4% 0.2% การบันเทิงการอ่าน การศึกษา 0.6% 0.6% 0.6% 0.6% 0.5% 0.6% ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ 1.5% 1.6% 1.3% 0.9% 0.8% 1.3% ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน 0.5% 0.6% 0.8% 0.8% 0.8% 0.5% -10 -5 0 5 10 15 01/2022 03/2022 05/2022 07/2022 09/2022 11/2022 01/2023 03/2023 05/2023 07/2023 09/2023 11/2023 01/2024 03/2024 05/2024 07/2024 09/2024 11/2024 PPI CPI เงินเฟ้อไทยต่า ส่วนหนึ่งสะท้อนกาลังซื้อฟื้นช้า ประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไป รายไตรมาส โดย SCB EIC หน่วย : %YOY 0% 1% 2% Q3-24 Q4-24F Q1-25F Q2-25F Q3-25F Q4-25F ราคาพลังงาน เช่น น้ามันและไฟฟ้า มีแนวโน้มสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ราคาเนื้อสัตว์ และอาหารสด เช่น ผัก ผลไม้ มีแนวโน้มเร่งตัว ผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้า โลกส่งผ่านมาที่เงินเฟ้อมากขึ้น
  • 23.
    23 ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยเริ่มเชื่อมโยงไปยังภาคการเงิน ฐานะการเงินครัวเรือนอ่อนแอลงกระทบ คุณภาพสินเชื่อ ทาให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยกู้ เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าเปราะบาง และไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้ฐานะการเงินของครัวเรือนอ่อนแอลงและความสามารถในการชาระหนี้ด้อยลง ธนาคารจึงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ครัวเรือน เข้าถึงสินเชื่อยากขึ้นนาไปสู่ปัญหาสภาพคล่องรุนแรงขึ้น ภาวะการเงินที่ตึงตัวเช่นนี้ยิ่งซ้าเติมฐานะการเงินครัวเรือน และส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอลงในเชิงวัฏจักรตามมา สัดส่วน NPL ของสินเชื่อภาคครัวเรือนของธนาคารพาณิชย์ หน่วย : % ยอดคงค้างสินเชื่อ มาตรฐานการให้สินเชื่อครัวเรือนของสถาบันการเงิน หน่วย : Z-score, 4QMA ถัวเฉลี่ยตามยอดคงค้างแต่ละประเภทสินเชื่อ, Senior Loan Officer Survey การขยายตัวของหนี้ครัวเรือน และ Trend** หน่วย : %YOY, **HP-filter 3.3 3.8 2.3 4.6 2.7 0 1 2 3 4 5 2022Q1 2022Q2 2022Q3 2022Q4 2023Q1 2023Q2 2023Q3 2023Q4 2024Q1 2024Q2 2024Q3 Overall Consumer Loans Housing Automobile Credit Card Other Personal Loan -1 -0.8 -0.6 -0.4 -0.2 0 0.2 0.4 0.6 เข้มงวด ผ่อนคลาย Median ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย และ Bank of International Settlements (BIS) -4 0 4 8 12 16 2013Q1 2014Q1 2015Q1 2016Q1 2017Q1 2018Q1 2019Q1 2020Q1 2021Q1 2022Q1 2023Q1 2024Q1 Trend Consumer credit growth
  • 24.
    24 SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงอีก1 ครั้งในเดือน ก.พ. 2025 เหลือ 2% และคงไว้ระดับนี้ ในระยะปานกลาง ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากขอมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย • ส่วนหนึ่งเพราะ กนง. ให้ความสาคัญกับการ Deleverage ในระบบเศรษฐกิจ จึงไม่ควรให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ใน ระดับต่ามากเกินไป • นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศเศรษฐกิจหลักมีแนวโน้มสูงกว่าค่าเฉลี่ยอดีต ตามอัตราเงินเฟ้อ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะต่อไป • ความจาเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากภาวะการเงินตึงตัวกระทบต่อกิจกรรม ทางเศรษฐกิจ ขณะที่ความเสี่ยงเศรษฐกิจด้านต่าสูงขึ้นจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ • ทิศทางนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักที่จะปรับลดลง เอื้อต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย นโยบายของไทยมากขึ้น SCB EIC ประเมิน กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 2% ใน Q1/25 และคงตลอดปี อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะไม่กลับไปต่าเช่นในอดีต คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยและสหรัฐฯ (โดย SCB EIC) หน่วย : % 0 1 2 3 4 5 6 Mar-20 Jun-20 Sep-20 Dec-20 Mar-21 Jun-21 Sep-21 Dec-21 Mar-22 Jun-22 Sep-22 Dec-22 Mar-23 Jun-23 Sep-23 Dec-23 Apr-24 Jul-24 Oct-24 Jan-25 Apr-25 Jul-25 Oct-25 1H26 2H26 1H27 2H27 1H28 2H28 1H29 2H29 Fed Funds Rate TH Policy Rate ค่าเฉลี่ยไทย 2015-2019 = 1.5% ค่าเฉลี่ย US 2015-2019 = 1.1% 2.25 3.13 from 1H26 4.88 3.38 end of 25 2.0 from 1Q25 4.38 end of 24 Forecast >>
  • 25.
    25 เงินบาทอาจยังอ่อนค่าต่อในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 แต่กลับมาแข็งค่าในช่วงครึ่งปีหลังจากหลายปัจจัยเช่น การลดดอกเบี้ยของ Fed เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับ ราคาน้ามันโลกมีแนวโน้มลดลง และราคาทองคาอาจสูงขึ้น GS FX Positioning Scores หน่วย : ดัชนี (std dev) ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB FM จากข้อมูลของ Bloomberg และ Goldman Sachs US Dollar Sensitivity 5-year weighted dollar beta of individual markets in MSCI EFM index 25 ➢ การลดดอกเบี้ยของ Fed ทาให้ Treasury yields และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐปรับลดลงได้ ➢ รัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มขาดดุลมากขึ้น จากการลดภาษี และการใช้จ่ายที่มากขึ้น ซึ่งจะทาให้เงินดอลลาร์สหรัฐอาจอ่อนค่าได้ ➢ การไหลกลับของเงินทุนเคลื่อนย้ายสู่ EM รวมถึงตลาดเอเชียและไทย ➢ ราคาน้ามันโลกมีแนวโน้มลดลงในปี 2025 ทาให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยอาจสูงขึ้น ➢ ราคาทองคาอาจปรับสูงขึ้นจาก Global yields ที่อาจลดลง สนับสนุนเงินบาทแข็ง ➢ US Exceptionalism: เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ โดยเฉพาะยุโรป ทาให้เงินดอลลาร์จะยังแข็งค่า และเงินยูโรอาจยังอ่อนค่าต่อได้ ➢ Trade protectionism: การขึ้นภาษีนาเข้าของสหรัฐฯ จะกดดันเงินภูมิภาคต่อเนื่อง โดยเฉพาะเงินหยวน ที่ Trump อาจใช้ Executive orders เพื่อขึ้น Tariffs ได้เร็ว ➢ Economic fundamental: เศรษฐกิจไทยและคู่ค้าสาคัญ เช่น จีน ยังอาจอ่อนแอ เงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าใน 2025-H2 มองกรอบปลายปี 33.50-34.50 SCB FM มองเงินบาทอาจยังอ่อนค่าต่อใน 2025-H1 โดยอาจแตะ 35.50
  • 26.
    26 การกลับมาของ Trump คาดว่าจะส่งผลลบต่อภาคธุรกิจไทยจากการค้าโลกชะลอตัว สินค้าจีนทะลักเข้ามามากขึ้น และผลกระทบนโยบายพลังงานสหรัฐฯ ที่ไม่ต้องการสนับสนุน Energy transition อย่างไรก็ดี ต้องจับตา ผลบวกจากการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย หมายเหตุ : บางอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบในหลายด้าน ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ส่งผลให้ผลกระทบเชิงบวกที่ได้รับลดทอนลงไป และส่งผลให้ภาพรวมผลกระทบอาจเป็นในลักษณะ Neutral impacts ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC • Logistics • Power Conventional • Home appliances • Food & beverages • Hotel & tourism • Logistics • E&E • Auto parts • Warehouse Overall impacts from Trump's win Negative Positive Low High Negative China supply chain China’s economic slowdown/ Chinese product influx Relocation of investment • Steel producer • Petrochemical & plastic products • Automotive Energy policy & collapse of commodity prices • IC • Semiconductor • Rubber wood • PCB • Computer parts • HDD • Oil and gas/ Refining • Petrochemical • Power RE • Rubber US demand/ investment slowdown • Industrial estate • Real estate (Residential & Office) • Construction Moderate • Auto parts • Solar PV • Seafood Positive Impacts by channel ➢ Demand ในสินค้าขั้นกลางที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อผลิตเป็นสินค้าขั้นปลายอาจชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่ม สินค้าขั้นปลายที่มีการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ • E&E • Rubber glove • Animal feed ➢ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลต่อความต้องการนาเข้าสินค้าจากไทย รวมถึง ภาคบริการอื่น ๆ ➢ ปัญหา Over capacity จะรุนแรงขึ้น ส่งผลให้จีนระบายสินค้ามาไทยมากขึ้น ✓ บางอุตสาหกรรมจะได้ประโยชน์จากวัตถุดิบราคาถูกที่นาเข้ามาจากจีน ส่งผลดีต่อต้นทุน ➢ นโยบาย American first มีแนวโน้มทาให้ US พึ่งพาการนาเข้าจากต่างประเทศน้อยลง โดยเฉพาะจาก มาตรการ Universal tariff ➢ การปรับขึ้นภาษีนาเข้าของสหรัฐฯ กับประเทศอื่น ๆ ส่งผลต่อ Demand ในสินค้าไทย ✓ การปรับขึ้นภาษีนาเข้าของสหรัฐฯ กับจีนในอัตราสูงกว่าประเทศอื่น ๆ อาจส่งผลให้สหรัฐฯ หันมานาเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้น Impacted industries ➢ ความเสี่ยงในตะวันออกกลางอาจเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ามันผันผวนมากขึ้น ❑ Oil supply เพิ่มขึ้นจากการให้ใบอนุญาตขุดเจาะน้ามันเพิ่มขึ้น เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน ❑ Energy transition มีโอกาสเกิดช้าลง เนื่องจากอาจเกิดการ Rollback นโยบายสนับสนุนพลังงานสะอาด รวมถึงโอกาสในการถอนตัวออกจาก Paris agreement ➢ นโยบาย America first จะส่งผลให้มีการดึงฐานการผลิตในอุตสาหกรรมสาคัญกลับไปในสหรัฐฯ ซึ่งจะ ส่งผลต่อการเข้ามาลงทุนในไทย ✓ ไทยอาจได้ประโยชน์จากการกระจายฐานการผลิตออกจากจีนเพิ่มขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกาแพงภาษี • Wholesale & retail trade • Residential RE & Construction
  • 27.
    27 • การบริโภคในประเทศเปราะบาง • Demandโลกผันผวน • ปัญหา Geopolitics • การกลับมาของทรัมป์ที่ส่งผล กระทบหลายด้าน ทั้งการค้าการ ลงทุน และด้านพลังงาน • โครงสร้างการผลิตปรับตัวช้า • การแข่งขันรุนแรง ทั้งภายใน และภายนอกประเทศ • แรงกดดันจาก Mega trend อาทิ Digital disruption, Climate change & transition risk ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC แนวโน้มธุรกิจไทยยังมีความเสี่ยงอยู่มาก ทั้งความผันผวนของเศรษฐกิจโลก นโยบาย Trump 2.0 ปัญหาเชิงโครงสร้าง ของไทย การแข่งขันรุนแรง และแรงกดดันจาก Mega trends แต่ขนาดของผลกระทบขึ้นอยู่กับความสามารถในการ ปรับตัวของแต่ละธุรกิจ ความเสี่ยงที่ต้องติดตาม Low Moderate High Negative Positive Average 2019-2024 Average 2025-2028F Risk level/Level of impacts มีความสามารถในการปรับตัวได้ดีมาก ยังมีอุปสรรค/ความท้าทายในการปรับตัวอีกมาก Adaptability Industry growth 2025 & medium term Risk level Trump 2.0 impacts* Adaptability ธุรกิจที่มีแนวโน้มฟื้นช้า/ชะลอตัว แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในปี 2025 และ Medium-term 0 50 100 150 Auto OEM Car dealer Steel producer Commercial RE Construction Residential RE Petrochemical Computer & parts Trucking & Logistics ธุรกิจที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง Industry growth 2025 & medium term Risk level Trump 2.0 impacts* Adaptability Index 2019=100 0 50 100 150 200 Fruits Warehouses Hospital Packaged foods Power Industrial estate Beverages Agri products Seafood W&R Hotel Electronic Components Power Electronics Index 2019=100 *ผลกระทบโดยรวมจากนโยบายของ Trump 2 ประเมินภาพรวมทั้งผลกระทบเชิงลบและเชิงบวก
  • 28.
    28 ก้าวต่อไปของเศรษฐกิจไทยบน ‘โลกสองใบ’ เศรษฐกิจไทยโตช้ำ เปรำะบำงและไม่แน่นอนมำกขึ้น จำกทั้งควำมท้ำทำยภำยนอกและควำมอ่อนแอภำยใน ผลกระทบที่ส่งต่อกัน ระหว่ำงกำรชะลอตัวระยะสั้นและปัญหำเชิงโครงสร้ำงระยะยำว นำไปสู่กิจกรรมทำงเศรษฐกิจไทย ‘สองใบ’ ที่แตกต่ำงกัน
  • 29.
    29 ก้าวต่อไปของเศรษฐกิจไทยบน ‘โลกสองใบ’ ความท้าทายภายนอกและความอ่อนแอภายในของประเทศไทยที่เห็นนี้ กาลังสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตต่าลงในระยะสั้นและมีปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวขณะที่แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ ผ่านมาไม่ค่อยเปิดโอกาสให้คนสามารถเคลื่อนตัวขึ้นลงในโครงสร้างทางสังคมได้อย่างเสรี ข้อจากัดเหล่านี้นาพาให้เศรษฐกิจไทยอยู่บนโลก ‘สองใบ’ ที่แตกต่างกันใน 3 มิติ คือ 1. มิติ: อ่อน-แข็ง โลกสองใบของครัวเรือนฐานะการเงินอ่อนแอกับครัวเรือนฐานะการเงินเข้มแข็ง สะท้อนครัวเรือนไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้าเชิงความมั่งคั่งรุนแรงมาก โดยครัวเรือนที่มีฐานะการเงินอ่อนแอมี รายได้ไม่พอรายจ่าย และมีรายได้เข้ามาไม่สม่าเสมอ เมื่อครัวเรือนที่มีฐานะการเงินอ่อนแอเผชิญสถานการณ์ที่ทาให้ขาดรายได้ โลกของครัวเรือนกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบมากกว่าและฟื้นตัวช้ากว่าครัวเรือนที่มีฐานะ การเงินเข้มแข็ง 2. มิติ: เก่า-ใหม่ โลกสองใบของภาคการผลิตโลกเก่ากับโลกใหม่ ภาคการผลิตโลกเก่าไม่ได้เติบโตไปกับกระแสการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยี หรือจะเผชิญความเสี่ยงในรูปแบบ ต่างๆ ขณะที่ภาคการผลิตโลกใหม่มีโอกาสเติบโตตามการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์และได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงน้อยกว่า 3. มิติ: ใหญ่-เล็ก โลกสองใบของธุรกิจใหญ่กับธุรกิจเล็ก กาไรของธุรกิจขนาดเล็กมีความผันผวนมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ผ่านมารายได้ธุรกิจขนาดใหญ่ในช่วงโควิด-19 ไม่ได้ลดลงเลย และสามารถเติบโตได้ เกือบ 10% หลังจากวิกฤตสิ้นสุดลง ในทางตรงข้ามรายได้ของธุรกิจขนาดเล็กหดตัวราว 2-3% ในช่วงโควิด-19 และยังไม่ฟื้นตัว แนวทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าจึงควรมุ่งลดระยะห่างระหว่างโลกสองใบ ผ่านเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ 3 ประการ ดังต่อไปนี้ 1. คนไทยควรมีภูมิคุ้มกันต่อสถานการณ์เลวร้าย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่มั่นคงให้คนในโลกที่รายได้น้อยกว่าออกไปคว้าโอกาสในการเติบโต ผ่านการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนรายได้น้อย โดยผู้ดาเนินนโยบายมีบทบาท เป็นกลไกเสริมผ่านการช่วยเหลือทางสังคมและประกันทางสังคม ควบคู่ไปกับการออกแบบกติกาในภาคการเงินเพื่อเอื้อให้เกิดการพัฒนาตลาดประกันภัยสาหรับผู้มีรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็ก 2. คนไทยควรเติบโตจากการพัฒนาและปรับตัวทันกับภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยีที่กาลังเปลี่ยนไป โดยในการสนับสนุนให้เกิดการปรับตัวและพัฒนาให้ทันภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ ผู้ดาเนินนโยบาย จะเป็นกลไกเสริมผ่านการหาโอกาสทางธุรกิจผ่านการเจรจาทางการค้าและการลงทุนกลับมาให้ธุรกิจภายในประเทศ 3. คนไทยควรมีโอกาสสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และเติบโตไปพร้อมกัน ผู้ดาเนินนโยบายจะมีบทบาทในฐานะผู้ออกแบบกติกาของการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจ และการแข่งขัน เพื่อสร้างโอกาสให้คนจาก โลกที่รายได้ต่ากว่าเข้าถึงทรัพยากร สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างทั่วถึง
  • 30.
    30 (1) ‘อ่อน-แข็ง’ ครัวเรือนไทยยังมีความไม่พร้อมในหลายมิติโดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยทั้งรายได้ฟื้นตัวไม่ทัน รายจ่าย กันชนทางการเงินต่า รวมถึงขาดการป้องกันความเสี่ยงด้านรายจ่ายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด หมายเหตุ : นับเฉพาะผู้บริโภคที่มีหนี้สิน ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลสานักงานสถิติ, SCB EIC Consumer survey 2023 สารวจ ณ 20 ต.ค.-3 พ.ย 2023 (จานวนตัวอย่าง 2,090 คน) และจากข้อมูล SCB EIC Consumer survey 2024 สารวจ ณ 14 - 22 ต.ค. 2024 (จานวนตัวอย่าง 1,869 คน) กลุ่มผู้บริโภครายได้น้อยส่วนมากมีปัญหารายได้ ไม่พอรายจ่าย โดยเฉพาะผู้มีรายได้ต่อเดือนไม่ เกิน 15,000 บาท สัดส่วนมากกว่า 80% ที่มี ปัญหารายได้ไม่พอจ่าย ส่วนมากมีปัญหา ส่วนน้อยมีปัญหา 80% น้อยกว่า 30,000 บาท 30,000 – 50,000 บาท 65% มากกว่า 50,000 บาท 37% รายได้ต่อเดือน 83% 40% 23% รายได้ไม่พอ เงินออมไม่พอ ป้องกันความเสี่ยงไม่พอ 1 ใน 3 1 ใน 5 < 1 ใน 10 ทาให้ครัวเรือนกลุ่มนี้เกือบทั้งหมดไม่มีเงิน สารองใช้ยามฉุกเฉินหากขาดรายได้ ส่วนใหญ่ เป็นวัยทางาน อายุ 31-40 ปี เป็นลูกจ้าง บริษัทเอกชน/ประกอบอาชีพอิสระ นอกจากนั้นกลุ่มนี้มากกว่า 1 ใน 3 ไม่มีประกัน ชนิดใดเลย จึงเป็นความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายที่ อาจเกิดขึ้น หากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิด สะท้อน ความเปราะบางสูงของผู้บริโภคกลุ่มนี้ 68.4% 19.0% สัดส่วน จานวนครัวเรือน 12.6%
  • 31.
    31 ทาให้ 1 ใน3 ของครัวเรือนที่มีหนี้จะยังไม่หลุดพ้นจากปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย ขณะที่ยังมีลูกหนี้กลุ่ม Potential ราว 20% ที่ประสบปัญหาการชาระหนี้ชั่วคราวจะกลับมาได้หากเข้าถึงสภาพคล่อง หมายเหตุ : (1) ระยะเวลาฟื้นตัว ประเมินจากระยะเวลาที่ประมาณรายได้ครัวเรือนจะเริ่มสูงกว่ารายจ่าย (รวมรายจ่ายชาระหนี้) (2) กลุ่มที่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ หรือสถาบันการเงิน ส่วนใหญ่จะได้รับความช่วยเหลือผ่านมาตรการพักชาระหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ และสินเชื่อดอกเบี้ยต่าพิเศษ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสานักงานสถิติแห่งชาติ และจากข้อมูล SCB EIC Consumer survey 2024 สารวจ ณ 14 - 22 ต.ค. 2024 (จานวนตัวอย่าง 1,869 คน) ประเมินระยะเวลาฟื้นตัวของครัวเรือนไทยที่มีหนี้ภายใน 5 ปี โดย SCB EIC Economic activity Working status HH income per month (Baht) < 10K 10 – 20K 20 – 30K 30 – 40K 40 – 50K 50 – 60K 60 – 100K > 100K Agriculture Employers Self-employed Employees N/A Service Employers Self-employed Employees Industrial Employers Self-employed Employees 32.46 16.77 26.59 19.56 13.62 ไม่ฟื้นใน 5 ปี ฟื้นใน 3-5 ปี ฟื้นใน 1-3 ปี ฟื้นใน 1 ปี ฟื้นแล้ว ประสบปัญหาในการชาระหนี้ มีความสามารถในการชาระหนี้ (35.7%) ไม่ได้รับความช่วยเหลือ (37.2% ของผู้บริโภคในกลุ่มมีหนี้) ได้รับความช่วยเหลือแต่ไม่ฟื้นตัว (6.8%) ได้รับความช่วยเหลือและมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ (20.3%) Persona ตามรายได้ต่อเดือน ⚫ 15,000-30,000 ⚫ <30,000 ⚫ 30,000-50,000 ⚫ >50,000 ประเภทสินเชื่อ สินเชื่อบัตรเครดิต ที่อยู่อาศัย และบัตรกดเงินสด สินเชื่อบัตรเครดิต ที่อยู่อาศัย และบัตรกดเงินสด สินเชื่อบัตรเครดิต ที่อยู่อาศัย และบัตรกดเงินสด สินเชื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต และรถยนต์ พฤติกรรมการชาระหนี้ ⚫ 53% ชาระหนี้ขั้นต่า / ผิดนัดชาระหนี้บางครั้ง ⚫ 39% ชาระหนี้ขั้นต่า / ผิดนัดชาระหนี้บางครั้ง ⚫ 84% ชาระหนี้สม่าเสมอ ⚫ 97% ชาระหนี้สม่าเสมอ ความต้องการแก้หนี้ สินเชื่อดอกเบี้ยต่า การปรับโครงสร้าง และรวมหนี้ การปรับโครงสร้าง สินเชื่อดอกเบี้ยต่า การปรับโครงสร้าง และรวมหนี้ - ธนาคารจะเสี่ยงมากถ้าช่วยแก้หนี้ ธนาคารจะเสี่ยงถ้าช่วยแก้หนี้ แก้หนี้ได้ N.A. ลักษณะลูกหนี้และรูปแบบความช่วยเหลือที่ต้องการ แบ่งตามความสามารถกลับมาจ่ายหนี้หลังได้รับความช่วยเหลือ
  • 32.
    32 (2) ‘เก่า-ใหม่’ แม้ธุรกิจดั้งเดิมหลายกลุ่มยังมีความเสี่ยงอยู่มากแต่บางส่วนยังไปต่อได้ จากความสามารถในการปรับตัว เพิ่มประสิทธิภาพและนาเทคโนโลยีมาใช้ ขณะเดียวกัน ยังมีธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีแนวโน้มเติบโตตอบโจทย์เทรนด์โลกได้ เสี่ยงสูง-อยู่ยาก ปรับตัว-ไปต่อ เกาะเทรนด์-เติบโต • ธุรกิจที่ยังดาเนินธุรกิจในลักษณะเดิม สินค้า/ บริการไม่ตอบโจทย์ความต้องการตลาด • ธุรกิจไม่มีการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต • ธุรกิจที่ขาดการพัฒนาเทคโนโลยี • ธุรกิจที่ขาดการพัฒนา Brand โดยเฉพาะ SME • ธุรกิจที่ยังพึ่งพาตลาดเดิม ๆ • ธุรกิจที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ได้ยาก • ธุรกิจที่มีการพัฒนารูปแบบสินค้า/บริการ ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และสอดรับกับเทรนด์โลก • ธุรกิจที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง • ธุรกิจที่มีการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพ • ธุรกิจที่มีการกระจายตลาดหลากหลาย และหาตลาดใหม่ • ธุรกิจที่ดาเนินธุรกิจแบบครบวงจร • ธุรกิจที่มีการลด GHG ในกระบวนการดาเนินธุรกิจ • ออกจากธุรกิจ หรือ Segment ที่ไม่มีศักยภาพ • เน้นปรับปรุงโครงสร้างการผลิต ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต • มองหาตลาดใหม่ ๆ กระจายความเสี่ยง • มองหา Partnership เสริมความแข็งแกร่ง • เพิ่มการลงทุนวิจัยและพัฒนา • เน้นการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้มีความยืดหยุ่น รับมือความเสี่ยงได้ดีขึ้น • พัฒนาต่อยอดสินค้าและบริการให้เท่าทันกระแสการ เปลี่ยนแปลงของโลกอย่างสม่าเสมอ • ธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีการพัฒนาสินค้า/บริการ สอดรับ กระแส Mega trends ของโลก โดยเฉพาะ ความยั่งยืน • ธุรกิจที่มีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ • ธุรกิจที่มีการพัฒนา Business model ใหม่ ๆ ที่แตกต่างและตอบโจทย์โลกยุคใหม่ • ต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่ตอบโจทย์เทรนด์โลก • ใช้ Digital transformation สร้างการเปลี่ยนแปลง และขยายโอกาสทางธุรกิจ • สร้างองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล • เน้นพัฒนาสินค้า/บริการเจาะ Niche market กลยุทธ์ การรับมือ ธุรกิจดั้งเดิม ธุรกิจใหม่ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC
  • 33.
    33 88 56 62 (3) ‘ใหญ่-เล็ก’ธุรกิจขนาดเล็กฟื้นตัวช้า และปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่ มีศักยภาพการปรับตัวมากกว่า MICRO SMALL MEDIUM สัดส่วนที่เผชิญ ปัญหากู้ยาก/กู้ไม่ได้ % ผู้ตอบแบบสอบถาม ในแต่ละขนาดวิสาหกิจ ธุรกิจขนาดเล็กมีปัญหาสภาพคล่องและการเข้าถึงสินเชื่อ เป็นข้อจากัดการลงทุนเพิ่มความสามารถการแข่งขัน 3.5% 1.6% 0.8% 1.0% 1.2% 1.4% 1.6% 1.8% 3.0% 3.5% 4.0% 4.5% 5.0% 2013 2014 2015 2016 2017 2018 2019 2020 2021 2022 อัตราการเลื่อนชั้นขึ้นเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในปีถัดไป อัตราการเลิกกิจการในปีถัดไป (RHS) อัตราการเลื่อนชั้นขึ้นเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ และอัตราการเลิกกิจการของธุรกิจขนาดเล็ก หน่วย : % ต่อธุรกิจขนาดเล็ก รายได้ของธุรกิจขนาดเล็กยังฟื้นตัวจาก COVID-19 ได้ช้า การฟื้นตัวของดัชนีรายได้ภาคธุรกิจ แยกตามขนาด* หน่วย : ดัชนี 90 95 100 105 110 115 Pre-COVID COVID Post-COVID Pre-COVID COVID Post-COVID Pre-COVID COVID Post-COVID Small Business Medium Business Large Business Avg 2017-2019 = 100 ธุรกิจขนาดเล็กในปี t ที่เลื่อนชั้นขึ้นเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในปี t+1 หมายถึง ธุรกิจขนาดเล็กที่ปี t มีรายได้และอัตราการเติบโตของรายได้สูง กว่า P75 ในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ต่อมาในปี t+1 ธุรกิจมีรายได้มากกว่า 500 ล้านบาท และมี ROA สูงกว่า P25 ของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ธุรกิจขนาดเล็กมีอุปสรรคในการขยายกิจการ และมีโอกาสเลิกกิจการสูง หมายเหตุ : *ธุรกิจขนาดใหญ่ กลางและขนาดย่อมและขนาดย่อย คือ ธุรกิจที่มีรายได้มากกว่า 500 ไม่เกิน 300 และไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อปีสาหรับภาคการผลิต ตามลาดับ และมากกว่า 300 ไม่เกิน 300 และไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อปีสาหรับภาคการค้าและบริการ ตามลาดับ ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และการสารวจความคิดเห็นผู้ประกอบการ SME จานวน 102 ราย ระหว่างเดือน มี.ค. – พ.ค. 2024