ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง
                                                                        ่ ั
             “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็ นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวทรงมีพระราชดารัส
ชี้แนะแนวทาง การดาเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิด
วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้า แนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และ
                    ่
สามารถดารงอยูได้อย่างมันคงและยังยืนภายใต้กระแสโลกาภิวตน์และความเปลี่ยนแปลง
                                ่      ่                        ั
มีหลักพิจารณา ดังนี้
                                                                  ่
             กรอบแนวคิด เป็ นปรัชญาที่ช้ ีแนะแนวทางการดารงอยูและปฏิบติตนในทางที่ควรจะเป็ น
                                                                            ั
โดยมีพ้ืนฐานมาจากวิถีชีวตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็ น
                                  ิ
การมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤติ เพื่อ
                                               ่
ความมันคงและความยังยืนของการพัฒนา
        ่                   ่
                                                                    ั
             คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนามาประยุกต์ใช้กบการปฏิบติตนได้ในทุกระดับ
                                                                                 ั
โดยเน้นการปฏิบติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็ นขั้นตอน
                      ั
             คานิยาม ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะพร้อม ๆ กัน ดังนี้
          1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่นอยเกิดไปและไม่มากเกินไป โดยไม่
                                                         ้
                                                              ่
เบียดเบียนตนเองและผูอื่น เช่น การผลิตและการบริ โภคที่อยูในระดับพอประมาณ
                              ้
          2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสิ นใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้นจะต้องเป็ นไป
อย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคานึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการ
กระทานั้น ๆ อย่างรอบคอบ
          3. การมีภูมิคุมกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรี ยมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการ
                        ้
เปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคานึงถึงความเป็ นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะ
เกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล
                                                                      ่
             เงื่อนไข การตัดสิ นใจและการดาเนิ นกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยูในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัย
ทั้งความรุ ้ และคุณธรรมเป็ นพื้นฐาน กล่าวคือ
          1. เงื่อนไขความรู ้ ประกอบด้วย ความรอบรู ้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน
ความรอบคอบที่จะนาความรู ้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่ อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและ
ความระมัดระวังในขั้นปฏิบติ          ั
          2. เงื่อนไขความธรรม ที่จะต้องเสริ มสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มี
ความชื่อสัตย์สุจริ ต และมีความอดทน มีความพากเพียร ใช้สติปัญญาในการดาเนินชีวิต
          แนวทางปฏิบติ/ผลที่คาดว่าจะได้รับ จากการนาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมา
                          ั
ประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุลและยังยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้าน
                                           ่
เศรษฐกิจ สังคมสิ่ งแวดล้อม ความรู ้และเทคโนโลยี
จุดเริ่มต้ นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
            ผลจากการใช้แนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่ ความทันสมัย ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
                                    ่
แก่สังคมไทยอย่างมากในทุกด้าน ไม่วาจะเป็ นด้านเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม สังคมและ
สิ่ งแวดล้อม อีกทั้งกระบวนการของความเปลี่ยนแปลงมีความสลับซับซ้อนจนยากที่จะอธิ บายใน
เชิงสาเหตุและผลลัพธ์ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดต่างเป็ นปั จจัยเชื่ อมโยงซึ่ งกันและกัน
สาหรับผลของการพัฒนาในด้านบวกนั้น ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของอัตราการเจริ ญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ความเจริ ญทางวัตถุ และสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบสื่ อสารที่ทนสมัย หรื อการขยายปริ มาณและ
                                                              ั
กระจายการศึกษาอย่างทัวถึงมากขึ้น แต่ผลด้านบวกเหล่านี้ส่วนใหญ่กระจายไปถึงคนในชนบท
                           ่
หรื อผูดอยโอกาสในสังคมน้อย
         ้้
       ่
แต่วา กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้เกิดผลลบติดตามมาด้วย เช่น การขยายตัวของรัฐเข้า
ไปในชนบท ได้ส่งผลให้ชนบทเกิดความอ่อนแอในหลายด้าน ทั้งการต้องพึ่งพิงตลาดและพ่อค้าคน
กลางในการสั่งสิ นค้าทุน ความเสื่ อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพันธ์แบบเครื อ
ญาติ และการรวมกลุ่มกันตามประเพณี เพื่อการจัดการทรัพยากรที่เคยมีอยูแต่เดิมแตกสลายลง ภูมิ
                                                                         ่
ความรู ้ที่เคยใช้แก้ปัญหาและสังสมปรับเปลี่ยนกันมาถูกลืมเลือนและเริ่ มสู ญหายไป
                              ่
สิ่ งสาคัญ ก็คือ ความพอเพียงในการดารงชี วต ซึ่ งเป็ นเงื่อนไขพื้นฐานที่ทาให้คนไทยสามารถ
                                          ิ
พึ่งตนเอง และดาเนิ นชีวตไปได้อย่างมีศกดิ์ศรี ภายใต้อานาจและความมีอิสระในการกาหนดชะตา
                         ิ            ั
ชีวตของตนเอง ความสามารถในการควบคุมและจัดการเพื่อให้ตนเองได้รับการสนองตอบต่อความ
     ิ
ต้องการต่างๆ รวมทั้งความสามารถในการจัดการปั ญหาต่างๆ ได้ดวยตนเอง ซึ่ งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็ น
                                                                  ้
                                                 ่
ศักยภาพพื้นฐานที่คนไทยและสังคมไทยเคยมีอยูแต่เดิม ต้องถูกกระทบกระเทือน ซึ่ งวิกฤต
เศรษฐกิจจากปั ญหาฟองสบู่และปั ญหาความอ่อนแอของชนบท รวมทั้งปั ญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ล้วน
แต่เป็ นข้อพิสูจน์และยืนยันปรากฎการณ์น้ ีได้เป็ นอย่างดี

พระราชดาริว่าด้ วยเศรษฐกิจพอเพียง
         “...การพัฒนาประเทศจาเป็ นต้องทาตามลาดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน
พอใช้ของประชาชนส่ วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วธีการและอุปกรณ์ท่ีประหยัดแต่ถูกต้องตาม
                                                ิ
หลักวิชาการ เมื่อได้พ้ืนฐานความมันคงพร้อมพอสมควร และปฏิบติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริ ม
                                   ่                         ั
ความเจริ ญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลาดับต่อไป...” (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗)
                                                                  ่ ั
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็ นแนวพระราชดาริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว ที่พระราชทานมานาน
                            ั ่
กว่า ๓๐ ปี เป็ นแนวคิดที่ต้ งอยูบนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็ นแนวทางการพัฒนาที่ต้ งบน
                                                                                 ั
พื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คานึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้าง
ภูมิคุมกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู ้และคุณธรรม เป็ นพื้นฐานในการดารงชี วต ที่สาคัญจะต้องมี
      ้                                                                 ิ
“สติ ปัญญา และความเพียร” ซึ่ งจะนาไปสู่ “ความสุ ข” ในการดาเนินชีวิตอย่างแท้จริ ง
“...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่
                       ่
สมัยใหม่ แต่เราอยูพอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยูพอกิน มี       ่
                                                                               ่
ความสงบ และทางานตั้งจิตอธิ ษฐานตั้งปณิ ธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยูแบบพออยูพอกิน      ่
ไม่ใช่วาจะรุ่ งเรื องอย่างยอด แต่วามีความพออยูพอกิน มีความสงบ เปรี ยบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้า
       ่                               ่           ่
                         ่
เรารักษาความพออยูพอกินนี้ ได้ เราก็จะยอดยิงยวดได้...” (๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)
                                                 ่
พระบรมราโชวาทนี้ ทรงเห็นว่าแนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็ น
หลักแต่เพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปั ญหาได้ จึงทรงเน้นการมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่ วนใหญ่
ในเบื้องต้นก่อน เมื่อมีพ้ืนฐานความมันคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริ ญและฐานะทาง
                                           ่
เศรษฐกิจให้สูงขึ้น
                   ซึ่งหมายถึง แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนาการพัฒนาประเทศ
ควรที่จะสร้างความมันคงทางเศรษฐกิจพื้นฐานก่อน นันคือ ทาให้ประชาชนในชนบทส่ วนใหญ่
                           ่                               ่
พอมีพอกินก่อน เป็ นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมันงคง       ่
ทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนเน้นการพัฒนาในระดับสู งขึ้นไป
                                         ่
             ทรงเตือนเรื่ องพออยูพอกิน ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ คือ เมื่อ ๓๐ กว่าปี ที่แล้ว
             แต่ทิศทางการพัฒนามิได้เปลี่ยนแปลง
                             “...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบติให้พอมีพอกิน
                                                                            ั
พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนันเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิงถ้าทั้งประเทศ
                                              ่                                     ่
พอมีพอกินก็ยงดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่ มจะเป็ นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มี
                ิ่
เลย...” (๔ ธันวาคม ๒๕๔๑)

ประเทศไทยกับเศรษฐกิจพอเพียง
          เศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้ผผลิต หรื อผูบริ โภค พยายามเริ่ มต้นผลิต หรื อบริ โภคภายใต้
                                      ู้          ้
                                                    ่
ขอบเขต ข้อจากัดของรายได้ หรื อทรัพยากรที่มีอยูไปก่อน ซึ่ งก็คือ หลักในการลดการพึ่งพา เพิ่มขีด
ความสามารถในการควบคุมการผลิตได้ดวยตนเอง และลดภาวะการเสี่ ยงจากการไม่สามารถ
                                         ้
ควบคุมระบบตลาดได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ
เศรษฐกิจพอเพียงมิใช่หมายความถึง การกระเบียดกระเสี ยนจนเกินสมควร หากแต่อาจฟุ่ มเฟื อยได้
เป็ นครั้งคราวตามอัตภาพ แต่คนส่ วนใหญ่ของประเทศ มักใช้จ่ายเกินตัว เกินฐานะที่หามาได้
               เศรษฐกิจพอเพียง สามารถนาไปสู่ เป้ าหมายของการสร้างความมันคงในทาง ่
เศรษฐกิจได้ เช่น โดยพื้นฐานแล้ว ประเทศไทยเป็ นประเทศเกษตรกรรม เศรษฐกิจของประเทศจึง
ควรเน้นที่เศรษฐกิจการเกษตร เน้นความมันคงทางอาหาร เป็ นการสร้างความมันคงให้เป็ นระบบ
                                           ่                                  ่
เศรษฐกิจในระดับหนึ่ง จึงเป็ นระบบเศรษฐกิจที่ช่วยลดความเสี่ ยง หรื อความไม่มนคงทางเศรษฐกิจ
                                                                                  ั่
ในระยะยาวได้
เศรษฐกิจพอเพียง สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ทุกสาขา ทุกภาคของเศรษฐกิจ ไม่จาเป็ น
จะต้องจากัดเฉพาะแต่ภาคการเกษตร หรื อภาคชนบท แม้แต่ภาคการเงิน ภาคอสังหาริ มทรัพย์ และ
การค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยมีหลักการที่คล้ายคลึงกันคือ เน้นการเลือกปฏิบติอย่าง
                                                                           ั
พอประมาณ มีเหตุมีผล และสร้างภูมิคุมกันให้แก่ตนเองและสังคม
                                  ้

ทฤษฎีใหม่
       ความสาคัญของทฤษฎีใหม่
๑. มีการบริ หารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็ นสัดส่ วนที่ชดเจน เพื่อประโยชน์สูงสุ ดของ
                                                           ั
เกษตรกร ซึ่ งไม่เคยมีใครคิดมาก่อน
๒. มีการคานวณโดยใช้หลักวิชาการเกี่ยวกับปริ มาณน้ าที่จะกักเก็บให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้
อย่างเหมาะสมตลอดปี
๓. มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบสาหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง ๓ ขั้นตอน

ทฤษฎีใหม่ข้ นต้นั
                  ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็ น ๔ ส่ วน ตามอัตราส่ วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ซึ่งหมายถึง
                  พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง ประมาณ ๓๐% ให้ขดสระเก็บกักน้ าเพื่อใช้เก็บกักน้ าฝนในฤดูฝน
                                                          ุ
และใช้เสริ มการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และพืชน้ าต่างๆ
                  พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็ นอาหารประจาวัน
สาหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้
                  พื้นที่ส่วนที่สาม ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร
                                                                        ื
ฯลฯ เพื่อใช้เป็ นอาหารประจาวัน หากเหลือบริ โภคก็นาไปจาหน่าย
                  พื้นที่ส่วนที่สี่ ประมาณ ๑๐% เป็ นที่อยูอาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรื อน
                                                              ่
อื่นๆ
         ทฤษฎีใหม่ข้ นที่สอง
                         ั
                  เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ตองเริ่ ม
                                                                ั                               ้
ขั้นที่สอง คือให้เกษตรกรรวมพลังกันในรู ป กลุ่ม หรื อ สหกรณ์ ร่ วมแรงร่ วมใจกันดาเนินการใน
ด้าน
                            (๑) การผลิต (พันธุ์พืช เตรี ยมดิน ชลประทาน ฯลฯ)
                            - เกษตรกรจะต้องร่ วมมือในการผลิต โดยเริ่ ม ตั้งแต่ข้ นเตรี ยมดิน การหา
                                                                                 ั
พันธุ์พืช ปุ๋ ย การจัดหาน้ า และอื่นๆ เพื่อการเพาะปลูก
                            (๒) การตลาด (ลานตากข้าว ยุง เครื่ องสี ขาว การจาหน่ายผลผลิต)
                                                            ้         ้
- เมื่อมีผลผลิตแล้ว จะต้องเตรี ยมการต่างๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้
ประโยชน์สูงสุ ด เช่น การเตรี ยมลานตากข้าวร่ วมกัน การจัดหายุงรวบรวมข้าว เตรี ยมหาเครื่ องสี ขาว
                                                                  ้                           ้
ตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดีและลดค่าใช้จ่ายลงด้วย
                        (๓) การเป็ นอยู่ (กะปิ น้ าปลา อาหาร เครื่ องนุ่งห่ม ฯลฯ)
                                                                         ่
                        - ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็ นอยูที่ดีพอสมควร โดยมี
ปั จจัยพื้นฐานในการดารงชีวิต เช่น อาหารการกินต่างๆ กะปิ น้ าปลา เสื้ อผ้า ที่พอเพียง
                        (๔) สวัสดิการ (สาธารณสุ ข เงินกู) ้
                        - แต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริ การที่จาเป็ น เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อ
                                ู้ ื
ยามป่ วยไข้ หรื อมีกองทุนไว้กยมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน
                        (๕) การศึกษา (โรงเรี ยน ทุนการศึกษา)
                        - ชุมชนควรมีบทบาทในการส่ งเสริ มการศึกษา เช่น มีกองทุนเพื่อการศึกษา
เล่าเรี ยนให้แก่เยาวชนของชมชนเอง
                        (๖) สังคมและศาสนา
                        - ชุมชนควรเป็ นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็ นที่ยด   ึ
เหนี่ยว
                 โดยกิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น จะต้องได้รับความร่ วมมือจากทุกฝ่ ายที่
เกี่ยวข้อง ไม่วาส่ วนราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนนั้นเป็ นสาคัญ
               ่

ทฤษฎีใหม่ข้ นที่สาม
             ั
                   เมื่อดาเนินการผ่านพ้นขั้นที่สองแล้ว เกษตรกร หรื อกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนา
ก้าวหน้าไปสู่ ข้ นที่สามต่อไป คือติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรื อแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรื อ
                 ั
บริ ษท ห้างร้านเอกชน มาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวต
     ั                                                                  ิ
                   ทั้งนี้ ทั้งฝ่ ายเกษตรกรและฝ่ ายธนาคาร หรื อบริ ษทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน
                                                                      ั
กล่าวคือ
                               - เกษตรกรขายข้าวได้ราคาสู ง (ไม่ถูกกดราคา)
                               - ธนาคารหรื อบริ ษทเอกชนสามารถซื้ อข้าวบริ โภคในราคาต่า (ซื้ อ
                                                      ั
ข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสี เอง)
                               - เกษตรกรซื้ อเครื่ องอุปโภคบริ โภคได้ในราคาต่า เพราะรวมกันซื้ อเป็ น
จานวนมาก (เป็ นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ ง)
                               - ธนาคารหรื อบริ ษทเอกชน จะสามารถกระจายบุคลากร เพื่อไปดาเนินการ
                                                    ั
ในกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดผลดียงขึ้น      ิ่

เศรษฐกิจพอเพียง

  • 1.
    ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ่ ั “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็ นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหวทรงมีพระราชดารัส ชี้แนะแนวทาง การดาเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิด วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้า แนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และ ่ สามารถดารงอยูได้อย่างมันคงและยังยืนภายใต้กระแสโลกาภิวตน์และความเปลี่ยนแปลง ่ ่ ั มีหลักพิจารณา ดังนี้ ่ กรอบแนวคิด เป็ นปรัชญาที่ช้ ีแนะแนวทางการดารงอยูและปฏิบติตนในทางที่ควรจะเป็ น ั โดยมีพ้ืนฐานมาจากวิถีชีวตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็ น ิ การมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยูตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤติ เพื่อ ่ ความมันคงและความยังยืนของการพัฒนา ่ ่ ั คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนามาประยุกต์ใช้กบการปฏิบติตนได้ในทุกระดับ ั โดยเน้นการปฏิบติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็ นขั้นตอน ั คานิยาม ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะพร้อม ๆ กัน ดังนี้ 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่นอยเกิดไปและไม่มากเกินไป โดยไม่ ้ ่ เบียดเบียนตนเองและผูอื่น เช่น การผลิตและการบริ โภคที่อยูในระดับพอประมาณ ้ 2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสิ นใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้นจะต้องเป็ นไป อย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคานึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการ กระทานั้น ๆ อย่างรอบคอบ 3. การมีภูมิคุมกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรี ยมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการ ้ เปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคานึงถึงความเป็ นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะ เกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล ่ เงื่อนไข การตัดสิ นใจและการดาเนิ นกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยูในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัย ทั้งความรุ ้ และคุณธรรมเป็ นพื้นฐาน กล่าวคือ 1. เงื่อนไขความรู ้ ประกอบด้วย ความรอบรู ้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนาความรู ้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่ อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและ ความระมัดระวังในขั้นปฏิบติ ั 2. เงื่อนไขความธรรม ที่จะต้องเสริ มสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มี ความชื่อสัตย์สุจริ ต และมีความอดทน มีความพากเพียร ใช้สติปัญญาในการดาเนินชีวิต แนวทางปฏิบติ/ผลที่คาดว่าจะได้รับ จากการนาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมา ั ประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุลและยังยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้าน ่ เศรษฐกิจ สังคมสิ่ งแวดล้อม ความรู ้และเทคโนโลยี
  • 2.
    จุดเริ่มต้ นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ผลจากการใช้แนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่ ความทันสมัย ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ่ แก่สังคมไทยอย่างมากในทุกด้าน ไม่วาจะเป็ นด้านเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม สังคมและ สิ่ งแวดล้อม อีกทั้งกระบวนการของความเปลี่ยนแปลงมีความสลับซับซ้อนจนยากที่จะอธิ บายใน เชิงสาเหตุและผลลัพธ์ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดต่างเป็ นปั จจัยเชื่ อมโยงซึ่ งกันและกัน สาหรับผลของการพัฒนาในด้านบวกนั้น ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของอัตราการเจริ ญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเจริ ญทางวัตถุ และสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบสื่ อสารที่ทนสมัย หรื อการขยายปริ มาณและ ั กระจายการศึกษาอย่างทัวถึงมากขึ้น แต่ผลด้านบวกเหล่านี้ส่วนใหญ่กระจายไปถึงคนในชนบท ่ หรื อผูดอยโอกาสในสังคมน้อย ้้ ่ แต่วา กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้เกิดผลลบติดตามมาด้วย เช่น การขยายตัวของรัฐเข้า ไปในชนบท ได้ส่งผลให้ชนบทเกิดความอ่อนแอในหลายด้าน ทั้งการต้องพึ่งพิงตลาดและพ่อค้าคน กลางในการสั่งสิ นค้าทุน ความเสื่ อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพันธ์แบบเครื อ ญาติ และการรวมกลุ่มกันตามประเพณี เพื่อการจัดการทรัพยากรที่เคยมีอยูแต่เดิมแตกสลายลง ภูมิ ่ ความรู ้ที่เคยใช้แก้ปัญหาและสังสมปรับเปลี่ยนกันมาถูกลืมเลือนและเริ่ มสู ญหายไป ่ สิ่ งสาคัญ ก็คือ ความพอเพียงในการดารงชี วต ซึ่ งเป็ นเงื่อนไขพื้นฐานที่ทาให้คนไทยสามารถ ิ พึ่งตนเอง และดาเนิ นชีวตไปได้อย่างมีศกดิ์ศรี ภายใต้อานาจและความมีอิสระในการกาหนดชะตา ิ ั ชีวตของตนเอง ความสามารถในการควบคุมและจัดการเพื่อให้ตนเองได้รับการสนองตอบต่อความ ิ ต้องการต่างๆ รวมทั้งความสามารถในการจัดการปั ญหาต่างๆ ได้ดวยตนเอง ซึ่ งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็ น ้ ่ ศักยภาพพื้นฐานที่คนไทยและสังคมไทยเคยมีอยูแต่เดิม ต้องถูกกระทบกระเทือน ซึ่ งวิกฤต เศรษฐกิจจากปั ญหาฟองสบู่และปั ญหาความอ่อนแอของชนบท รวมทั้งปั ญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ล้วน แต่เป็ นข้อพิสูจน์และยืนยันปรากฎการณ์น้ ีได้เป็ นอย่างดี พระราชดาริว่าด้ วยเศรษฐกิจพอเพียง “...การพัฒนาประเทศจาเป็ นต้องทาตามลาดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่ วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วธีการและอุปกรณ์ท่ีประหยัดแต่ถูกต้องตาม ิ หลักวิชาการ เมื่อได้พ้ืนฐานความมันคงพร้อมพอสมควร และปฏิบติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริ ม ่ ั ความเจริ ญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลาดับต่อไป...” (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗) ่ ั “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็ นแนวพระราชดาริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหว ที่พระราชทานมานาน ั ่ กว่า ๓๐ ปี เป็ นแนวคิดที่ต้ งอยูบนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็ นแนวทางการพัฒนาที่ต้ งบน ั พื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คานึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้าง ภูมิคุมกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู ้และคุณธรรม เป็ นพื้นฐานในการดารงชี วต ที่สาคัญจะต้องมี ้ ิ “สติ ปัญญา และความเพียร” ซึ่ งจะนาไปสู่ “ความสุ ข” ในการดาเนินชีวิตอย่างแท้จริ ง
  • 3.
    “...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชยว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่ ่ สมัยใหม่ แต่เราอยูพอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยูพอกิน มี ่ ่ ความสงบ และทางานตั้งจิตอธิ ษฐานตั้งปณิ ธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยูแบบพออยูพอกิน ่ ไม่ใช่วาจะรุ่ งเรื องอย่างยอด แต่วามีความพออยูพอกิน มีความสงบ เปรี ยบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้า ่ ่ ่ ่ เรารักษาความพออยูพอกินนี้ ได้ เราก็จะยอดยิงยวดได้...” (๔ ธันวาคม ๒๕๑๗) ่ พระบรมราโชวาทนี้ ทรงเห็นว่าแนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็ น หลักแต่เพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปั ญหาได้ จึงทรงเน้นการมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่ วนใหญ่ ในเบื้องต้นก่อน เมื่อมีพ้ืนฐานความมันคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริ ญและฐานะทาง ่ เศรษฐกิจให้สูงขึ้น ซึ่งหมายถึง แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนาการพัฒนาประเทศ ควรที่จะสร้างความมันคงทางเศรษฐกิจพื้นฐานก่อน นันคือ ทาให้ประชาชนในชนบทส่ วนใหญ่ ่ ่ พอมีพอกินก่อน เป็ นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมันงคง ่ ทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนเน้นการพัฒนาในระดับสู งขึ้นไป ่ ทรงเตือนเรื่ องพออยูพอกิน ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ คือ เมื่อ ๓๐ กว่าปี ที่แล้ว แต่ทิศทางการพัฒนามิได้เปลี่ยนแปลง “...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบติให้พอมีพอกิน ั พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนันเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิงถ้าทั้งประเทศ ่ ่ พอมีพอกินก็ยงดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่ มจะเป็ นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มี ิ่ เลย...” (๔ ธันวาคม ๒๕๔๑) ประเทศไทยกับเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้ผผลิต หรื อผูบริ โภค พยายามเริ่ มต้นผลิต หรื อบริ โภคภายใต้ ู้ ้ ่ ขอบเขต ข้อจากัดของรายได้ หรื อทรัพยากรที่มีอยูไปก่อน ซึ่ งก็คือ หลักในการลดการพึ่งพา เพิ่มขีด ความสามารถในการควบคุมการผลิตได้ดวยตนเอง และลดภาวะการเสี่ ยงจากการไม่สามารถ ้ ควบคุมระบบตลาดได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ เศรษฐกิจพอเพียงมิใช่หมายความถึง การกระเบียดกระเสี ยนจนเกินสมควร หากแต่อาจฟุ่ มเฟื อยได้ เป็ นครั้งคราวตามอัตภาพ แต่คนส่ วนใหญ่ของประเทศ มักใช้จ่ายเกินตัว เกินฐานะที่หามาได้ เศรษฐกิจพอเพียง สามารถนาไปสู่ เป้ าหมายของการสร้างความมันคงในทาง ่ เศรษฐกิจได้ เช่น โดยพื้นฐานแล้ว ประเทศไทยเป็ นประเทศเกษตรกรรม เศรษฐกิจของประเทศจึง ควรเน้นที่เศรษฐกิจการเกษตร เน้นความมันคงทางอาหาร เป็ นการสร้างความมันคงให้เป็ นระบบ ่ ่ เศรษฐกิจในระดับหนึ่ง จึงเป็ นระบบเศรษฐกิจที่ช่วยลดความเสี่ ยง หรื อความไม่มนคงทางเศรษฐกิจ ั่ ในระยะยาวได้
  • 4.
    เศรษฐกิจพอเพียง สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ทุกสาขาทุกภาคของเศรษฐกิจ ไม่จาเป็ น จะต้องจากัดเฉพาะแต่ภาคการเกษตร หรื อภาคชนบท แม้แต่ภาคการเงิน ภาคอสังหาริ มทรัพย์ และ การค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยมีหลักการที่คล้ายคลึงกันคือ เน้นการเลือกปฏิบติอย่าง ั พอประมาณ มีเหตุมีผล และสร้างภูมิคุมกันให้แก่ตนเองและสังคม ้ ทฤษฎีใหม่ ความสาคัญของทฤษฎีใหม่ ๑. มีการบริ หารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็ นสัดส่ วนที่ชดเจน เพื่อประโยชน์สูงสุ ดของ ั เกษตรกร ซึ่ งไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ๒. มีการคานวณโดยใช้หลักวิชาการเกี่ยวกับปริ มาณน้ าที่จะกักเก็บให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้ อย่างเหมาะสมตลอดปี ๓. มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบสาหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง ๓ ขั้นตอน ทฤษฎีใหม่ข้ นต้นั ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็ น ๔ ส่ วน ตามอัตราส่ วน ๓๐:๓๐:๓๐:๑๐ ซึ่งหมายถึง พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง ประมาณ ๓๐% ให้ขดสระเก็บกักน้ าเพื่อใช้เก็บกักน้ าฝนในฤดูฝน ุ และใช้เสริ มการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และพืชน้ าต่างๆ พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็ นอาหารประจาวัน สาหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้ พื้นที่ส่วนที่สาม ประมาณ ๓๐% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ื ฯลฯ เพื่อใช้เป็ นอาหารประจาวัน หากเหลือบริ โภคก็นาไปจาหน่าย พื้นที่ส่วนที่สี่ ประมาณ ๑๐% เป็ นที่อยูอาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรื อน ่ อื่นๆ ทฤษฎีใหม่ข้ นที่สอง ั เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ตองเริ่ ม ั ้ ขั้นที่สอง คือให้เกษตรกรรวมพลังกันในรู ป กลุ่ม หรื อ สหกรณ์ ร่ วมแรงร่ วมใจกันดาเนินการใน ด้าน (๑) การผลิต (พันธุ์พืช เตรี ยมดิน ชลประทาน ฯลฯ) - เกษตรกรจะต้องร่ วมมือในการผลิต โดยเริ่ ม ตั้งแต่ข้ นเตรี ยมดิน การหา ั พันธุ์พืช ปุ๋ ย การจัดหาน้ า และอื่นๆ เพื่อการเพาะปลูก (๒) การตลาด (ลานตากข้าว ยุง เครื่ องสี ขาว การจาหน่ายผลผลิต) ้ ้
  • 5.
    - เมื่อมีผลผลิตแล้ว จะต้องเตรียมการต่างๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้ ประโยชน์สูงสุ ด เช่น การเตรี ยมลานตากข้าวร่ วมกัน การจัดหายุงรวบรวมข้าว เตรี ยมหาเครื่ องสี ขาว ้ ้ ตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดีและลดค่าใช้จ่ายลงด้วย (๓) การเป็ นอยู่ (กะปิ น้ าปลา อาหาร เครื่ องนุ่งห่ม ฯลฯ) ่ - ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็ นอยูที่ดีพอสมควร โดยมี ปั จจัยพื้นฐานในการดารงชีวิต เช่น อาหารการกินต่างๆ กะปิ น้ าปลา เสื้ อผ้า ที่พอเพียง (๔) สวัสดิการ (สาธารณสุ ข เงินกู) ้ - แต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริ การที่จาเป็ น เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อ ู้ ื ยามป่ วยไข้ หรื อมีกองทุนไว้กยมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน (๕) การศึกษา (โรงเรี ยน ทุนการศึกษา) - ชุมชนควรมีบทบาทในการส่ งเสริ มการศึกษา เช่น มีกองทุนเพื่อการศึกษา เล่าเรี ยนให้แก่เยาวชนของชมชนเอง (๖) สังคมและศาสนา - ชุมชนควรเป็ นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็ นที่ยด ึ เหนี่ยว โดยกิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น จะต้องได้รับความร่ วมมือจากทุกฝ่ ายที่ เกี่ยวข้อง ไม่วาส่ วนราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนนั้นเป็ นสาคัญ ่ ทฤษฎีใหม่ข้ นที่สาม ั เมื่อดาเนินการผ่านพ้นขั้นที่สองแล้ว เกษตรกร หรื อกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนา ก้าวหน้าไปสู่ ข้ นที่สามต่อไป คือติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรื อแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรื อ ั บริ ษท ห้างร้านเอกชน มาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวต ั ิ ทั้งนี้ ทั้งฝ่ ายเกษตรกรและฝ่ ายธนาคาร หรื อบริ ษทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน ั กล่าวคือ - เกษตรกรขายข้าวได้ราคาสู ง (ไม่ถูกกดราคา) - ธนาคารหรื อบริ ษทเอกชนสามารถซื้ อข้าวบริ โภคในราคาต่า (ซื้ อ ั ข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสี เอง) - เกษตรกรซื้ อเครื่ องอุปโภคบริ โภคได้ในราคาต่า เพราะรวมกันซื้ อเป็ น จานวนมาก (เป็ นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ ง) - ธนาคารหรื อบริ ษทเอกชน จะสามารถกระจายบุคลากร เพื่อไปดาเนินการ ั ในกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดผลดียงขึ้น ิ่