ภก.รชานนท์ หิรัญวงษ์
*
* ได้รับรางวัลชมเชยจากการนาเสนอผลงานโดยโปสเตอร์ในการประชุมวิชาการงานเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ประจาปี 2554 และ ตีพิมพ์ในวารสารข่าวสารด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ปี
ที่ 15 ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม 2555
*
*เทโนโฟเวียร์เป็นยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีในกลุ่ม
nucleotide reverse transcriptase inhibitors (NRTIs)
ที่มีการสั่งใช้เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันทั้งในผู้ป่วยราย
ใหม่และรายเก่าที่เกิดภาวะดื้อยาหรือเกิดผลข้างเคียง
จากยา จากข้อมูลจากการศึกษาหลังจากยาออกสู่
ตลาดพบว่ายามีความปลอดภัยค่อนข้างสูงแต่อย่างไร
ก็ตามได้มีรายงานทั้งในต่างประเทศ และในประเทศ
ไทยว่ายานี้มีผลทาให้ไตทางานได้ลดลง และในบาง
รายอาจทาให้เกิดภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลันได้
*
*จากแนวทางการรักษาปี 2553 ได้แนะนาให้ตรวจวัด
ค่าการทางานของไตทุก 6 เดือนหลังจากเริ่มใช้ยาต้าน
ไวรัสทุกตัว เพื่อปรับขนาดยา หรือปรับเปลี่ยนสูตรยา
ต้านไวรัสให้เหมาะสมกับค่าการทางานของไต เพื่อลด
ความเสี่ยงในการเกิดภาวะไตล้มเหลวเฉียบพลัน
*
*ที่ผ่านมายังไม่มีการเก็บข้อมูลดังกล่าว เพื่อความ
ปลอดภัยของผู้ป่วย จึงจาเป็นต้องมีการดาเนินการ
เก็บข้อมูลการตรวจวัดค่าการทางานของไตของผู้ป่วย
ติดเชื้อเอชไอวีที่ใช้ยาเทโนโฟเวียร์ตั้งแต่เริ่มใช้ยา เพื่อ
ศึกษาว่ามีการดาเนินการอย่างเหมาะสมตามแนว
ทางการรักษาหรือไม่ และทาการศึกษาผลต่อไตและ
ปัจจัยที่อาจมีผลต่อไตของผู้ป่วยกลุ่มนี้
*
*เพื่อศึกษาการตรวจติดตามการทางาน
ของไต และผลต่อไตในผู้ป่วยติดเชื้อ
เอชไอวีที่ได้รับยาเทโนโฟเวียร์ ใน
โรงพยาบาลบางละมุง
*
*เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาโดยการรวบรวมข้อมูล
ย้อนหลัง (retrospective descriptive study) กลุ่ม
ตัวอย่างที่ศึกษาได้แก่ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยา
เทโนโฟเวียร์ครั้งแรก ณ คลินิกผู้ติดเชื้อเอชไอวี รพ.
บางละมุง ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552 ถึง
วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
*
*เกณฑ์การคัดเลือกผู้ป่วยเข้าการศึกษา คือ
มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป และได้รับยาต้านไวรัส
เอชไอวีสูตรการรักษาที่มียาเทโนโฟเวียร์
*เกณฑ์การคัดออกจากการศึกษา คือ ไม่มี
ข้อมูลการรักษา หรือเคยใช้ยาเทโนโฟเวียร์มา
ก่อน
*
*ค้นหารายชื่อผู้ป่วยเอชไอวีที่ได้รับยาต้านไวรัส
เอชไอวีสูตรการรักษาที่มียาเทโนโฟเวียร์
ระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2552 ถึง เดือน
พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 จากฐานข้อมูลผู้ป่วย
ติดเชื้อเอชไอวีของกลุ่มงานเภสัชกรรม
*
*รวบรวมและตรวจสอบข้อมูลตัวแปรต่างๆ ได้แก่ อายุ,
เพศ, ค่า Cluster of differentiation (CD) 4 count
เมื่อเริ่มรับยาเทโนโฟเวียร์, สาเหตุของการเปลี่ยนสูตร
ยาเป็นสูตรการรักษาที่มียาเทโนโฟเวียร์, น้าหนัก,
ส่วนสูง, ค่าดัชนีมวลกาย, ระยะเวลาการใช้ยาเทโนโฟ
เวียร์, ระดับ serum creatinine (Scr) เมื่อเริ่มใช้ยา
และหลังจากใช้ยา จากเวชระเบียนอิเล็กโทรนิกส์ของ
โรงพยาบาล
*
*บันทึกข้อมูลลงในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์
ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป และสรุปผลการวิจัย
*สถิติที่ใช้วิเคราะห์ ประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย
ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การทดสอบของฟิชเชอร์
(The Fisher exact probability test) สาหรับหาค่า
ความแตกต่างของกลุ่มประชากร
*
*ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาเทโนโฟเวียร์ครั้งแรก
ณ คลินิกผู้ติดเชื้อเอชไอวี รพ.บางละมุง ระหว่างวันที่
1 มกราคม พ.ศ. 2552 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.
2553 มีจานวนทั้งหมด 108 ราย เป็นผู้ป่วยที่ไม่
เข้าเกณฑ์การศึกษาหรือถูกคัดออกจากการศึกษา
รวม 3 ราย เหลือผู้ป่วย 105 ราย
*
*ในผู้ป่วยที่ได้รับยาเทโนโฟเวียร์จานวน 105 ราย เป็น
ผู้หญิง 56 ราย (ร้อยละ 53) มีอายุเฉลี่ย 41.3 ปี มี
ระยะเวลาการใช้ยาเทโนโฟเวียร์เฉลี่ย 14 เดือน ส่วน
ใหญ่มีค่า GFR เริ่มต้นน้อยกว่า 90 ml/min/1.73 m2
(ร้อยละ 60) โดยเหตุผลที่ใช้ยาเทโนโฟเวียร์ เนื่องจาก
ดื้อยาและเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา ร้อยละ 57
และ 43 ตามลาดับ
*
*ผู้ที่ได้รับการตรวจติดตามการทางานของไตทุก 6
เดือนตามคาแนะนาของแนวทางการตรวจวินิจฉัยและ
การดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์
ระดับชาติ ปี พ.ศ. 2553 เพียง 18 ราย (ร้อยละ 17)
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ใช้ยามาแล้ว 6 - 11 เดือน (ร้อยละ
83)
*
*พบผู้ป่วยมีค่าซีรัมครีเอตินินเพิ่มขึ้นมากกว่า 0.5
mg/dl จากค่าพื้นฐานและเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 เท่าใน
จานวนที่ใกล้เคียงกันหลังจากใช้ยาไปแล้ว 6, 12 และ
18 เดือน เช่นเดียวกันกับจานวนผู้ป่วยที่มีค่า CrCl
ลดลงมากกว่าร้อยละ 25 จากค่าพื้นฐาน แต่พบว่ามี
จานวนผู้ป่วยที่มีค่า GFR ลดลงมากกว่าร้อยละ 25
จากค่าพื้นฐานมากในช่วง 6 และ 12 เดือนหลังจากใช้
ยา (ร้อยละ 8 และร้อยละ 9 ตามลาดับ)
*
*เมื่อนาผลลัพธ์ที่ได้มาวิเคราะห์เปรียบเทียบตามตัวแปรที่
สนใจ 4 ชนิดคือ น้าหนัก ค่าดัชนีมวลกาย ค่า CrCl และ ค่า
GFR กับ การเพิ่มขึ้นของระดับ Scr การลดลงของค่า CrCl
และ GFR พบว่าที่ 6 เดือนหลังจากใช้ยา ผู้ป่วยที่มีค่า GFR
เมื่อเริ่มต้นใช้ยาน้อยกว่า 90 จะมีค่า GFR ลดลงมากกว่าร้อย
ละ 25 จากค่าพื้นฐาน แตกต่างกับผู้ป่วยที่มีค่า GFR เมื่อ
เริ่มต้นใช้ยามากกว่าเท่ากับ 90 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p -
value = 0.02) ในขณะที่ความแตกต่างในตัวแปรอื่นไม่มี
นัยสาคัญทางสถิติ
*
*จากข้อมูลบ่งชี้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังได้รับการตรวจ
ติดตามการทางานของไตไม่เหมาะสม โดยเฉพาะ
ผู้ป่วยที่ใช้ยานานกว่า 11 เดือน เมื่อเทียบกับ
คาแนะนาของแนวทางการตรวจวินิจฉัยและการดูแล
รักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ ระดับชาติ ปี
พ.ศ. 2553 ที่แนะนาให้ตรวจติดตามทุก 6 เดือน
*
*และมีความเหมาะสมน้อยลงไปอีกเมื่อเทียบกับคาแนะนาของ
แนวทางการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ใน
ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2549/2550 ซึ่งเป็นแนวทางที่ออกมาใน
ช่วงเวลาของการศึกษานี้ ที่แนะนาให้ตรวจติดตามทุก 3 เดือน
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจส่งผลให้ตรวจพบผลต่อไตได้ช้าเกินไป ทาให้
ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับไตของผู้ป่วย อาจไม่คุ้มกับ
ค่าใช้จ่ายในการตรวจติดตามการทางานของไตที่ประหยัดได้
*
*และจากข้อมูลที่ได้จากการศึกษานี้บ่งชี้ว่า ผู้ป่วยที่มีค่า GFR
เมื่อเริ่มต้นใช้ยาน้อยกว่า 90 ml/min/1.73 m2 จะได้รับ
ผลกระทบจากยาเทโนโฟเวียร์มากกว่าผู้ป่วยที่มีค่า GFR เมื่อ
เริ่มต้นใช้ยามากกว่าเท่ากับ 90 ml/min/1.73 m2 ผู้ป่วยกลุ่มนี้
จึงควรได้รับการตรวจติดตามการทางานของไตที่เร็วกว่า 6
เดือนหลังจากเริ่มใช้ยาและถี่กว่าทุก 6 เดือน โดยตรวจ
ติดตามการทางานของไตทุก 3 เดือนในช่วงปีแรก และตรวจ
ติดตามทุก 6 เดือนในปีต่อๆ ไป
*
*จากผลการศึกษาสรุปได้ว่าสามารถพบการเปลี่ยนแปลงของไต
ในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่ใช้ยาเทโนโฟเวียร์ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป
โดยพบมากในช่วง 6 – 12 เดือน หลังจากเริ่มใช้ยา โดยปัจจัยที่
มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือ ค่า GFR เมื่อเริ่มต้นใช้ยา
น้อยกว่า 90 ml/min/1.73 m2 ดังนั้นจึงแนะนาให้ตรวจติดตาม
การทางานของไตทุก 3 เดือนในช่วงปีแรก และตรวจติดตามทุก
6 เดือนในปีต่อๆ ไป สาหรับผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว และตรวจ
ติดตามทุก 6 เดือนหลังจากเริ่มใช้ยาในผู้ป่วยที่มีค่า GFR เมื่อ
เริ่มต้นใช้ยามากกว่า 90 ml/min/1.73 m2

การเฝ้าระวังผลต่อไตจากการใช้ยา เทโนโฟเวียร์ในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีโรงพยาบาลบางละมุง