แนวปฏิบัติการพยาบาล
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตภายในโรงพยาบาล
INTRAHOSPITAL TRANSFER GUIDELINE
โดย นางสาวปิยรัตน์ วงค์หนายโกฏ พยาบาลวิชาชีพ
ICU trauma รพ ขอนแก่น
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตภายในโรงพยาบาล
เพราะอะไร
ถึงเกิดความเสี่ยงนั้นๆในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤต
แรงสั่นสะเทือน
อัตรา
ความเร็ว
เพราะอะไร
ถึงเกิดความเสี่ยงนั้นๆในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤต
• ร่างกายจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้ที่ 0.1-40Hz แต่อวัยวะ
ในร่างกายมีความสามารับในการรับสัมผัสต่างกัน
• สมองจะสามารถรับแรงสั่นสะเทือนได้เพียง 6Hz.
• ในระหว่างการเคลื่อนย้าย จึงอาจเกิดภาวะหายใจตื้น เจ็บ
หน้าอก และการบาดเจ็บจากกระดูกหักเพิ่มมากขึ้น
แรงสั่นสะเทือน
เพราะอะไร ถึงเกิดความเสี่ยงนั้นๆในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
วิกฤต
• ขณะการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ในอัตราเร่งจะทาให้เลือดไหลเวียนลง
ไปยังเท้าและค้างอยู่ที่ส่วนปลายเท้าตราบเท่าที่ยังมีการเคลื่อนที่
ด้วยอัตราเร่ง
อัตราเร่ง
ของเหลวในร่างกาย
ทิศทางการเคลื่อนที่
เพราะอะไร ถึงเกิดความเสี่ยงนั้นๆในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
วิกฤต
• ขณะการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ในอัตราเร่งจะทาให้เลือดไหลเวียนลง
ไปยังเท้าและค้างอยู่ที่ส่วนปลายเท้าตราบเท่าที่ยังมีการเคลื่อนที่
ด้วยอัตราเร่ง
ชะลอความเร็ว
ทิศทางของเหลวในร่างกาย
ผลกระทบต่อร่างกายที่อันตรายขณะทาการเคลื่อนย้าย
Increase Intracranial Pressure
Cardiac arrhythmias
• Cardiac arrest
Pulmonary edema
• Hypoxia จากความดันในช่องอกเพิ่มมากขึ้น
แนวปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤต
ภายในโรงพยาบาล
ทีมสหสาขาวิชาชีพทางการแพทย์
ของหลากหลายสถานบันทั้งในและต่างประเทศ
เพื่อลดการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ โดยการใช้ ....
โดยการใช้ ....
ดัดแปลงจาก (Whiteley, Macarthey, Mark, Barratt, Bink., 2011:level of evidence 5b; Kue
et al., 2011:level of evidence 2d) *SBP= systolic blood pressure GCS=Glasgow coma
score , ,HR=heart rate, PEEP= Positive End Expiratory Pressure
ในผู้ป่วยที่มีภาวะ Shock
• ทีมแพทย์ควร Resuscitate และ stabilization ที่เหมาะสมก่อนการเคลื่อนย้าย
• ควรมีการประเมินสารนา (CVP) ร่วมกับการ resuscitate ให้มี circulation
volume ใกล้เคียงกับปกติ (SBP > 80 mmHg., MAP > 65 mmHg.)ก่อนการ
เคลื่อนย้าย
• ควรให้ crystalloid , colloid หรือ เลือด (ตามคาสั่งแพทย์)
• ถ้าระดับความดันโลหิตไม่คงที่ควรพิจารณาให้ยากระตุ้นหัวใจก่อนการเคลื่อนย้าย
ผู้ป่วย
• ใช้เครื่อง infusion pump ให้ยา vasopressor ในการเคลื่อนย้าย
• ตลอดการเคลื่อนย้ายติดตาม HR, BP ปรับเพิ่มยา vasopressor ถ้า BP
<90/60mmHg.
• อย่าลืมตรวจสอบ battery เครื่องมือทางการแพทย์(เครื่องmonitor,infusion
pump)
• (Goldhill et al., 2009; Kue, 2011)
ประเมิน Circulation
• ววนยส
• มสว
• มบงมฝ
อุปกรณ์การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตที่ประสิทธิภาพสูง
12Your footer here
ผู้ป่วยวิกฤตทุกรายจะต้อง
ติดตาม HR,
O2 sat
parapack,self -infalting : กรณี
PEEP <5 ,FiO2 < 0.4
Carina : กรณี ใช้ parapac แล้ว O2
sat < 95%, PEEP > 5, Fio2 > 0.5
สาหรับผู้ป่วยทีมีภาวะช็อก หัว
ใจเต้นผิดปกติ หรืออาการไม่คงที่
รุนแรง
ทดลองการช่วยหายใจก่อนอย่างน้อย 5 นาที ถ้า
O2 sat < 95% ให้ใช้ carina
เกณฑ์ระงับการ
เคลื่อนย้าย
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและการแก้ไข
Shock BP< 80/60
mmHg.
และให้ได้รับยา
กระตุ้นความดัน
โลหิต
1) อาจเกิด hemodynamic unstable รุนแรงจนส่งผลให้เกิด
cardiac arrest ได้ ดังนันจึงไม่ควรทาการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอันขาด
2) เมื่อพิจารณาแล้วว่าการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพื่อให้ได้รับการรักษาที่
ดีกว่าและไม่สามารถชักช้าได้
3) ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยพยาบาลจะต้องนากล่องยาฉุกเฉินไปในการ
เคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วย พร้อมทังติดตามอาการผู้ป่วยวิกฤตEKG, BP,
HR, Oxygen saturation ด้วยเครื่อง multiple parameter patient
monitoring ตลอดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
เกณฑ์ระงับการ
เคลื่อนย้าย
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและการแก้ไข
Arrhythmia Tachycardia,
bradycardia
1)ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่ไม่รุนแรง ควรได้รับการหาสาเหตุ
และทาการรักษาก่อนทาการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทุกครัง
2) ควรได้รับการรักษาและติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจตลอดการเคลื่อนย้าย
ผู้ป่วยที่มีภาวะ
SVT, VT, VF,
AF
ผู้ป่วยที่มีภาวะ SVT VT VF AF ไม่ควรเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างเด็ดขาด
แม้ว่าจะได้รับการรักษาแล้วก็ตาม ควรติดตามอาการผู้ป่วยสักระยะก่อน
จนกว่าจะไม่เกิดหัวใจเต้นผิดปกติขึนมาอีก เพราะอาจเกิดภาวะ cardiac
arrest ได้
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤต
ขอบคุณคะ
Richmond Agitation-Sedation Scale
คะแนน ลักษณะ คาอธิบาย
+4 ต่อสู้ ต่อสู้ มีความรุนแรง เป็นอันตรายต่อบุคลากรในทันทีทันใด
+3 กระวนกระวายมาก ดึงท่อ หรือ สายสวนต่างๆ ก้าวร้าว
+2 กระวนกระวาย มีการเคลื่อนไหวอย่างไม่มีเป้าหมายบ่อยครัง ต้านเครื่องช่วยหายใจ
+1 พักไม่ได้ กระสับกระส่าย หวาดวิตก มีการเคลื่อนไหวที่ไม่ก้าวร้าวรุนแรง
0 ตื่นตัว สงบ
-1 ง่วงซึม ปลุกตื่นด้วยเสียงเรียก แต่ตื่นไม่เต็มที่ และสบตาได้นาน ≥ 10 วินาที
-2 หลับตืน ปุกตื่นในช่วงสันๆ และสบตาเมื่อเรียกได้ <10 วินาที
-3 หลับปานกลาง มีการเคลื่อนไหว หรือลืมตาเมื่อเรียก(ไม่สบตา)
-4 หลับลึก ไม่ตอบสนองต่อเสียง แต่มีการเคลื่อนไห หรือลืมตาเมื่อกระตุ้นทางกาย
-5 ปลุกไม่ตื่น ไม่ตอบสนองต่อเสียง หรือการกระตุ้นทางกาย
เกณฑ์ระงับการ
เคลื่อนย้าย
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
Agitation RASS score > 3 + 1) ผู้ป่วยวิกฤตที่มีภาวะดิน พบว่าเป็นสาเหตุให้เกิดการเลื่อนหลุดของ
ท่อช่วยหายใจ หายใจไม่สัมพันธ์กับเครื่องช่วยหายใจ
2) ถ้าผู้ป่วยมีคะแนน RASS score > 3 + รายงานแพทย์เพื่อ
พิจารณาให้ยาลดปวด หรือยาคลายกล้ามเนือ เพื่อให้ผู้ป่วยอยู่ใน
ภาวะสงบ หรือ RASS score ≤ 2 +
เกณฑ์ระงับการ
เคลื่อนย้าย
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและการแก้ไข
Increase
intracranial
pressure
Intracranial
pressure > 20
mmHg.
1) พยาบาลควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนการเคลื่อนย้าย เพื่อพิจารณา
ให้การรักษา ภาวะ IICP อาทิเช่น ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาลด
สมองบวม( 20% manital ) เป็นต้น
2) หลังจากให้การรักษาเบื้องต้น พยาบาลควรติดตาม ICP ถ้าน้อยกว่า
20 mmHg. สามารถทาการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยภายในโรงพยาบาลได้
3) ถ้าหากแม้ให้การรักษาภาวะ IICP แล้ว ยังพบว่า IICP > 20 mmHg.
และผู้ป่วยวิกฤตยังมีความจาเป็นต้องทาการเคลื่อนย้าย พยาบาลต้อง
ปรึกษาแพทย์อีกครั้งเพื่อให้แพทย์ยืนยันให้ทาการเคลื่อนย้าย(Bérubé et
al., 2013)

แนวปฏิบัติการพยาบาลการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตภายในโรงพยาบาล

Editor's Notes

  • #4 พยาธิสภาพการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤต สมมติถ้าทำการเคลื่อนย้ายด้วยเปล (ศีรษะนำทาง)
  • #5 พยาธิสภาพการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤต สมมติถ้าทำการเคลื่อนย้ายด้วยเปล (ศีรษะนำทาง)
  • #6 พยาธิสภาพการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤต สมมติถ้าทำการเคลื่อนย้ายด้วยเปล (ศีรษะนำทาง) Handy&Zwanenberg (2007)ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ขณะการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ในอัตราเร่งจะทำให้เลือดไหลเวียนลงไปยังเท้าและค้างอยู่ที่ส่วนปลายเท้าตราบเท่าที่ยังมีการเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร่ง กลไกนี้ทำให้ Cardiac preload ลดลง Cardiac outputลดลง ทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ(Hypotension) แต่ในคนที่สุขภาพปกติ Baroreceptor reflex และ Vasoconstrictor reflex จะช่วยลดผลกระทบดังกล่าว หากแต่ในผู้ป่วยวิกฤตนั้นการทำงานของ Baroreceptor reflex และ Vasoconstrictor reflex ถูกขัดขวางหรือไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง(Absent reflex) เหตุจากการเจ็บป่วยในภาวะวิกฤตหรือจากการได้รับยา ทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายของผู้ป่วยวิกกฤต
  • #7 พยาธิสภาพการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤต สมมติถ้าทำการเคลื่อนย้ายด้วยเปล (ศีรษะนำทาง) Handy&Zwanenberg (2007)ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ขณะการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ในอัตราเร่งจะทำให้เลือดไหลเวียนลงไปยังเท้าและค้างอยู่ที่ส่วนปลายเท้าตราบเท่าที่ยังมีการเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร่ง กลไกนี้ทำให้ Cardiac preload ลดลง Cardiac outputลดลง ทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ(Hypotension) แต่ในคนที่สุขภาพปกติ Baroreceptor reflex และ Vasoconstrictor reflex จะช่วยลดผลกระทบดังกล่าว หากแต่ในผู้ป่วยวิกฤตนั้นการทำงานของ Baroreceptor reflex และ Vasoconstrictor reflex ถูกขัดขวางหรือไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง(Absent reflex) เหตุจากการเจ็บป่วยในภาวะวิกฤตหรือจากการได้รับยา ทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายของผู้ป่วยวิกกฤต
  • #13 1) เครื่องช่วยหายใจชนิด volume การตั้งค่าเครื่องช่วยหายใจTransport ventilator ชนิด volume/minute, pressure, PEEP และ FiO2 นั้น ควรเหมาะสมกับอาการของผู้ป่วยเพื่อให้ได้ออกซิเจนที่เพียงพอ ในระหว่างการเคลื่อนย้ายควรติดตามค่าแจ้งเตือนดังต่อไปนี้ ประกอบด้วย airway pressure, apnea , high pressure และ disconnections (The Association of Anaesthetists of Great Britain and Ireland, 2009; Gupta et al. 2004) 2) Transport monitor : ที่ควรติดตามต่อเนื่องตลอดการเคลื่อนย้าย คือ Electrocardiograph , Pulse Oximetry และการประเมินเป็นครั้งและบันทึก คือ Blood Pressure ,Heart rate , Respiratory rates (Gupta et al. 2004) ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ ควรมีเครื่อง defribillation พร้อม jelly และ paddle (The Association of Anaesthetists of Great Britain and Ireland, 2009) 3) กล่องยาฉุกเฉินที่ใช้การเคลื่อนย้าย อย่างน้อยที่สุดควรจะมียาฉุกเฉินดังนี้ คือ adrenaline,lignocaine, atropine,diazepam และ sodium-bicarbonate ( Gupta et al. 2004) และอุปกรณ์ในการฉีดยา คือ syringes, เข็มฉีดยา (Australasian College for Emergency Medicine, 2013) 4) ยาที่ควรให้ก่อน/ระหว่างการเคลื่อนย้าย เพื่อให้การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตเป็นไปได้โดยสะดวก ควรให้ผู้ป่วยอยู่ในภาวะสงบ หรือไม่มีการ agitation ซึ่งสามารถทำให้ผู้ป่วยอยู่ในภาวะสงบได้ โดยให้ยาแก้ปวด (อาทิเช่น morphine , fentanyl ) ยานอนหลับ (อาทิเช่น midazolam , diazepam , propofal, ethomidate ) และยาคลายกล้ามเนื้อ (อาทิเช่น succinylcholine, atracurium, rocuronium) หลังได้รับยาควรประเมินผลข้างเคียงของยา โดยเฉพาะผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด บางรายอาจมีความดันโลหิตต่ำได้(สมาคมเวชบำบัดวิกฤตแห่งประเทศไทย, มปป ) 5) Air way equipment ประกอบด้วย Oxygen mask, self-inflating bag for hand ventilation, oxygen supply ควรมีปริมานเพียงพอในการเคลื่อนย้ายแต่ละครั้ง (Australasian College for Emergency Medicine., 2013) 6) เครื่อง infusion pump ตรวจสอบการทำงานและแบตเตอร์รี่ ควรมีปริมาณพลังงานเพียงพอในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย (Australasian College for Emergency Medicine., 2013) ตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤต อาทิเช่น ป้ายข้อมือ กล่องยาฉุกเฉิน เครื่องช่วยหายใจชนิดเคลื่อนย้าย Oxygen saturation monitor, ปริมานออกซิเจน ปริมานแบตเตอร์รี่ ปริมานสารน้ำ ปริมานยาที่ผู้ป่วยได้รับต่อเนื่องเป็นต้น โดยอุปกรณ์ในการเคลื่อนย้าย ควรมีประสิทธิภาพในการทำงานครบถ้วน ระยะเวลาการใช้งานเพียงพอสำหรับการเคลื่อนย้าย บันทึกการเตรียมความพร้อมในแบบประเมินก่อนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตภายในโรงพยาบาล(Jarden & Quirke, 2010; Blakeman & Branson, 2013; Day, 2010)